บทที่ 14 ฉันถูกบีบบังคับให้ต้องผิดใจกับพี่
เฟิงหนานขมวดคิ้ว มองโทรศัพท์อยู่พักหนึ่ง จึงจะเชื่อว่าคนที่พูดคือซูเนี่ยนเวย
แววตาเย็นชาของชายหนุ่มมีดวงไฟที่ลุกโชนขึ้น
ซูเนี่ยนเวยเองก็ไม่กล้าแน่ใจว่าเฟิงหนานซิวที่กำลังโกรธจะช่วยเธอหรือเปล่า จึงทำได้เพียงพูดด้วยน้ำเสียงที่ยิ่งเบาและอ่อนโยน
“ฉันเจอปัญหานิดหน่อย นายช่วยฉันหน่อยได้หรือเปล่า?”
“ได้”
เฟิงหนานซิวตอบตกลงทันที จากนั้นก็กดวางสาย
ภายในห้องประชุมที่กว้างใหญ่ ทั้งที่มีคนนั่งอยู่นับสามสิบกว่าคน ทว่าชั่วพริบตาหนึ่งราวกับว่าเหลือแค่เสียงใจเต้นของเฟิงหนานซิวเพียงคนเดียว
คำขานที่เสนาะหูประสานกับเสียงชองซูเนี่ยนเวย ประหนึ่งได้วาดวงโคจรที่เล่นเสียงซ้ำไปซ้ำมาที่ข้างหู
เฟิงหนานซิวเหมือนได้กลับมาเป็นหนุ่มอายุยี่สิบต้นๆที่เพิ่งรู้จักความรัก เขาหายใจแรง ใจเต้นระส่ำ ตอนที่วางโทรศัพท์ลง ฝ่ามือเขาก็ชุ่มไปด้วยเหงื่อ
ผู้บริการระดับสูงที่กำลังรอเฟิงหนานซิวตัดสินความเป็นความตาย เมื่อเห็นแววตาที่แปรปรวนและคาดเดายากของเฟิงหนานซิว ก็ต่างตกใจจนหัวใจแทบตกไปอยู่ตาตุ่ม
มีเพียงฉินเจิงที่ดูออก ว่าอารมณ์ของเฮียเฟิงเหมือนจะดีขึ้นแล้ว
เขารู้ว่าทั้งหมดนี้เป็นเพราะซูเนี่ยนเวย ดังนั้นหลังจากที่ได้รับภารกิจเขาก็รีบไปจัดการทันที
อีกด้านหนึ่ง ซูเนี่ยนเวยมองโทรศัพท์ที่จู่ ๆก็ถูกวางสาย สีหน้าแววตาเต็มไปด้วยความฉงoสงสัย เธอเม้มปากไว้แน่น กลายเป็นเส้นตรงที่ไร้ซึ่งอุณหภูมิ
ทั้งที่ตอบตกลงว่าจะช่วยแล้ว ยังกดวางสายเร็วขนาดนี้อีก พูดกับเธอแล้วมันจะร้อนปากหรือยังไง?
คนอื่นๆเมื่อเห็นสายโทรศัพท์ถูกวางเร็ว ก็นึกโดยอัตโนมัติว่าซูเนี่ยนเวยถูกปฏิเสธ
เจิ้งอิงรู้สึกสะใจ ก่อนจะยื่นตัวไปเยาะเย้ยซูเนี่ยนเวยว่า “ซูเนี่ยนเวย ถ้าเธอไปแอบคุยโทรศัพท์ แล้วค่อยกลับมาพูดโว ไม่แน่ก็อาจจะมีคนเชื่อก็ได้ และไม่มีใครู้ว่าเธอโกหก แต่ตอนนี้เป็นไงล่ะ ขายหน้าจนไม่เหลือเศษหน้าแล้ว”
ผู้จัดการตู้ได้ยินดังนั้นก็สีหน้าเปลี่ยนทันที
เมื่อกี้เธอยังนึกว่าซูเนี่ยนเวยมีเบื้องหลังอะไรจริง ๆ เสียอีก เมื่อรู้ว่าตัวเองถูกหลอก ก็โกรธจนเรียกรปภ.มา จะบีบบังคับให้ซูเนี่ยนเวยออกไป
ซูเนี่ยนเวยเผยสีหน้านิ่งเฉยดังเดิม นั่งอยู่บนโซฟาไม่ขยับ
เธอคำนวณประสิทธิภาพการทำงานของเฟิงหนานซิว แล้วนับเวลารอเงียบๆ
“สาม สอง หนึ่ง”
โทรศัพท์ของผู้จัดการตู้ดังขึ้นไปตามที่คาดคิด
เป็นมือถือที่ใช้ทำงาน ปกติจะรับเพียงสายจากผู้นำระดับสูง
ผู้จัดการตู้ไม่กล้าชักช้า พลันรีบกดรับสายทันที หลังจากฟังไปสองประโยค ก็มองไปที่ซูเนี่ยนเวยด้วยสีหน้าซีดเผือด
“คุณผู้หญิงคะ” ผู้จัดการตู้วางสาย แล้วเดินมาหาเธออย่างนอบน้อม “ขออภัยค่ะ เมื่อกี้ฉันสะเพร่าเอง เกือบจะพลาดสมาชิกผู้ถือบัตรท๊อปการ์ดอย่างคุณแล้ว”
บัตรท๊อปการ์ด!
เมื่อได้ยินดังนั้นทุกคนก็ตะลึงจนช็อก
กว่าจะได้บัตรวีไอพีธรรมดาของที่นี่ก็ยากเย็นมากพอแล้ว สมาชิกท็อปการ์ด ทั้งเมืองหลินมีทั้งหมดไม่ถึงห้าใบ นี่ต้องมีฐานะแบบไหนถึงสามารถครอบครองบัตรนี้ได้?
ในขณะที่คนเหล่านี้ยังงุนงงกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลง ผู้จัดการใหญ่ของที่นี่ เซี่ยเหลิงเย็น ก็ถือการ์ดใสมาด้วยตัวเอง
ท๊อปการ์ดเป็นบัตรที่ถูกแกะสลักจากคริสตัลชั้นดี ลำพังแค่ตัวบัตรก็มีมูลค่าถึงหกแสนแล้ว
แววตาของซูเสวี่ยอวิ่นเต็มไปด้วยความอิจฉาริษยา
นอกจากหน้าตาที่งดงามเกินมนุษย์นั่นของซูเนี่ยนเวย มีตรงไหนกันแน่ที่เธอด้อยกว่ายัยผู้หญิงต่ำทรามคนนี้? ทำไมเธอถึงต้องเป็นฝ่ายต่ำต้อยก้มหัว ประจบคนรอบหนึ่งก็แลกมาได้แค่การดูแลตัวเองไม่กี่ครั้ง แต่ยัยนี่กลับได้มาง่ายๆด้วยโทรศัพท์เพียงสายเดียว
เธออยากจะพุ่งเข้าไปหักการ์ดใบนั้นทิ้ง แต่สุดท้ายเหตุผลก็อยู่เหนืออารมณ์
จากนี้ไปเธอยังต้องยืนหยัดในสังคมชนชั้นสูง เธอจะต้องสร้างความประทับใจให้คุณหญิงคุณนายเหล่านี้
คิดได้ดังนั้น ซูเสวี่ยอวิ่นก็ใช้ดวงตาที่ฝืนทนจนแดงก่ำ มองไปที่เจิ้งอิงด้วยท่าทางน่าสงสาร
ไม่จำเป็นต้องยุยงอะไร เจิ้งอิงเองก็ตาแดงก่ำด้วยเช่นกัน พลางเอ่ยอย่างไม่พอใจว่า “ยัยนี่เป็นสมาชิกท๊อปการ์ดได้ยังไง ทั้งที่เมื่อกี้ยังอยู่ในบัญชีดำอยู่เลย จะขอบัตรวีไอพีแบบธรรมดายังต้องรอตั้งเดือนกว่า ท๊อปการ์ดอันนี้กลับไม่ถึงห้านาทีก็เสร็จแล้ว? พวกคุณลืมกฎที่ตัวเองตั้งขึ้นมาแล้วหรือไง?”
มองดูพวกคุณนายที่เปลี่ยนสีหน้าเพราะคำพูดของเจิ้งอิง ผู้จัดการตู้ก็มองเซี่ยเหลิงเย็นแวบหนึ่งอย่างสับสน
ที่นี่ลูกค้าเยอะขนาดนี้ ถ้าทำผิดกฎระเบียบ แล้วคราวหลังเธอจะอธิบายกับคนพวกนี้ยังไง
เซี่ยเหลิงเย็นอายุประมาณสามสิบปี นิสัยเหมือนชื่อ เย็นชาไร้ความรู้สึกราวกับเขม่าควัน ใบหน้าที่งดงามถูกแต่งแต้มด้วยเครื่องสำอางอ่อนๆ ริมฝีปากแดงยกยิ้มเล็กน้อย แม้จะกำลังยิ้ม ทว่ากลับให้ความรู้สึกห่างเกินอย่างบอกไม่ถูก แม้จะทำงานบริการ แต่ก็ไม่เย่อหยิ่งไม่ต้อยต่ำ
ซูเนี่ยนเวยชื่นชมคนแบบนี้มากๆ รู้สึกถูกใจกว่าผู้จัดการตู้ที่สองจิตสองใจและเอาแต่กลัวไปหมดว่าจะทำให้ใครไม่พอใจ
“คุณผู้หญิงคะ นี่คือการ์ดของคุณค่ะ” เซี่ยเหลิงเย็นเดินมาที่ข้างซูเนี่ยนเวย
หลังจากที่ยื่นการ์ดออกไป ก็จึงจะหันกลับมามองเจิ้งอิง แล้วเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย “รอถ้าคุณไปถึงจุดที่สามารถครอบครองท๊อปการ์ดได้ ก็ถึงจะมีสิทธิ์ตั้งคำถามกับกฎระเบียบของที่นี่”
คำพูดนี้ไม่เพียงแค่กำลังย้ำเตือนเจิ้งอิงและซูเสวี่ยอวิ่น แต่รวมถึงเหล่าคุณหญิงคุณนายที่อยู่ข้างๆด้วย
ทุกคนตะลึงงัน ไม่นานความรู้สึกขัดแย้งเมื่อกี้นี้ก็หายไป
การบริการที่พวกเธอได้รับในตอนนี้ถือว่าเหมาะสมกับสถานะของตัวเองแล้ว ไม่มีความจำเป็นจะต้องมีเรื่องบาดหมางกับคนอื่นเพียงเพราะอารมณ์ชั่ววูบ ร้านเสริมสวยร้านนี้ ลึกลับกว่าที่พวกเธอคิดไว้มาก
นึกถึงว่าตัวเองเกือบถูกปั่นหัวเพราะคำพูดของเจิ้งอิง ทุกคนก็รู้สึกรำคาญและรังเกียจเธอ
ซูเสวี่ยอวิ่นเองก็ดูสถานกาณ์ออก
เธอปรามเจิ้งอิง เอ่ยว่า “อิงอิง พอเถอะ คนที่อยู่เบื้องหลังพี่ ไม่ใช่คนที่เราควรมีเรื่องด้วย”
ครั้งนี้ เธอไม่ต้องการให้เจิ้งอิงปริปากอีกแล้วจริงๆ ทว่าก็ไม่ลืมที่จะพูดประชดซูเนี่ยนเวยให้เธอรู้สึกขยะแขยง
ไม่ว่าใครหากได้ยินคำว่า ‘คนที่อยู่เบื้องหลัง’ ก็ไม่มีทางที่จะคิดไปในทางที่ดี
คุณนายพวกนั้นเกลียดคนที่อายุน้อยๆก็หาสามีคนอื่นเป็นแบคหนุนหลังที่สุด พลันรู้สึกไม่พอใจในตัวซูเนี่ยนเวย ทว่าเพราะสถานะของเธอในตอนนี้ จึงทำได้เพียงต้องกล้ำกลืนความรังเกียจลงท้องไปก่อน
แต่เดิมซูเนี่ยนเวยไม่ได้อยากจะปะทะกับสองคนนี้ให้รู้แล้วรู้รอด ทว่าตอนนี้ เธอเปลี่ยนความคิดแล้ว
ไม่นานก็จะถึงเวลานัดกับกงจื่อชิงแล้ว แต่เธอเปลี่ยนเป็นติดต่อหาเขาล่วงหน้า แล้วเสนอความต้องการเล็กๆน้อยๆกับเขาไม่กี่อย่าง
เซี่ยเหลิงเย็นเตรียมห้องส่วนตัวที่หรูหราให้ซูเนี่ยนเวยไว้แล้ว กำลังจะพาเธอไป ก็ได้เสียงที่ไร้ซึ่งมารยาทของเจิ้งอิงดังก้องขึ้นในห้องโถง
“มีสิทธิ์อะไรมาห้ามให้พวกฉันใช้ แต่ก่อนพวกฉันก็ใช้การ์ดของพี่อานฉีตลอด ครั้งนี้.......” เจิ้งอิงชะงักครู่หนึ่ง ก่อนจะถลึงตาใส่ซูเนี่ยนเวย “เป็นฝีมือยัยนั่นใช่ไหม?”
ผู้จัดการตู้ลูบโทรศัพท์ที่ร้อนมือเล็กน้อย อธิบายว่า “ขออภัยค่ะ นี่เป็นคำสั่งด่วนที่ส่วนกลางแจ้งมา จากนี้ไปจะไม่อนุญาตให้มีการยืมบัตรวีไอพี คุณซูกับคุณเจิ้งรีบไปเถอะค่ะ”
“พี่คะ ยัยผู้หญิงต่ำทรามนั่นกลั่นแกล้งคนเกินไปแล้ว พี่ติดต่อหาพี่อานฉีได้ไหม ให้เธอโอนบัตรให้เราใช้ก่อน”
หากใช้บริการที่ร้านถึงยี่สิบล้าน ก็จะมีโอกาสโอนบัตรได้หนึ่งครั้ง ส่วนจะโอนให้ใครนั้น ก็สามารถดูจากอารมณ์ของลูกค้าได้อย่างสิ้นเชิง
ซูเสวี่ยอวิ่นกัดริมฝีปาก น้ำตารื้นขอบตา พลางมองซูเนี่ยนเวยอย่างระมัดระวัง
“พี่คะ หนูไม่อยากทะเลาะกับพี่ แต่พี่จะกลั่นแกล้งคนอื่นตามอำเภอใจเพราะตัวเองมีแบคหนุนหลังไม่ได้ อิงอิงก็เป็นน้องสาวหนู หนูทนเห็นเธอน้อยเนื้อต่ำใจไม่ได้”
เห็นสีหน้า ‘ฉันถูกบีบบังคับให้ต้องผิดใจกับพี่’ ของซูเส่วยุ่น ซูเนี่ยนเวยก็รู้สึกขยะแขยง
เธอโบกมืออย่างไม่ใส่ใจเลยสักนิด เอ่ยว่า “ตามใจ”