บทที่ 12 เหยียบเรือสองแคม
ซูเนี่ยนเวยออกมาจากห้องน้ำ พลันสะดุ้งตกใจเมื่อเห็นเฟิงหนานซิวนอนอยู่บนเตียง ในใจลอบภาวนาให้เมื่อกี้เขาไม่ได้ยินอะไรทั้งนั้น
เธอเดินย่องไปที่ข้างเตียงเหมือนแนวน้อยตัวหนึ่ง
ชายหนุ่มนอนหลับตา เหมือนจะหลับสนิทไปแล้ว หัวคิ้วที่ขมวดเข้าหากันบ่งบอกว่า ณ ตอนนี้เขาอารมณ์ไม่ค่อยดีนัก
ซูเนี่ยนเวยรู้สึกปวดใจเล็กน้อย พลันเอื้อมมือไปคลายปมคิ้วบนหน้าผากเขาให้เรียบ
“ไม่แล้วล่ะ จากนี้ไปจะไม่มีอีกแล้ว”
ทั้งชีวิตนี้ เธอจะไม่ให้ผู้ชายคนนี้ต้องตระหนกตื่นกลัว และโมโหอัดอั้นเพราะเธออีกแล้ว
นึกถึงที่เฟิงหนานซิวอธิบายเมื่อกี้นี้ เธอก็อดรู้สึกครึ้มอกครึ้มใจไม่ได้
ถ้าหากว่าเหล้าแก้วนั้นไม่มีผลกับเฟิงหนานซิว งั้นก็พิสูจน์ว่า ชาติก่อนเขากับผู้หญิงคนนั้นยังไม่มีอะไรเกิดขึ้นใช่หรือเปล่า?
ซูเนี่ยนเวยแอบยิ้มดีใจ นอนลงข้างกายเฟิงหนานซิวและผล็อยหลับไปโดยไม่รู้ตัว
เช้าวันที่สองเธอตั้งใจตื่นเช้า เพื่อจะทานอาหารเช้ากับเฟิงหนานซิวโดยเฉพาะ
ทว่า ตอนที่ลงมาชั้นล่าง ชายหนุ่มกลับวางตะเกียบลงพอดี แม้จะรับรู้ว่าซูเนี่ยนเวยเดินมา ก็ไม่มองสักแวบหนึ่ง กลับออกบ้านไปด้วยสีหน้าถมึงทึง
สีหน้าแบบนั้นที่ราวกับโลกกำลังจะแตก ทำให้ฉินเจิงที่เดินตามหลังเฟิงหนานซิวต้องระมัดระวังขึ้นอีกสองเท่า
สัญชาตญาณบอกเขา ว่าสองวันนี้จะเอาใจเฮียเฟิงได้ค่อนข้างยาก
ซูเนี่ยนเวยเร่งฝีเท้าตามมา รั้งฉินเจิงเอาไว้ ความฉงนสงสัยในแววตาทำให้ฉินเจิงปวดหัวขึ้นมาอีกครั้ง
“คุณหญิง นอกจากคุณ จะมีใครอีกที่สามารถทำให้เฮียเฟิงโกรธได้ขนาดนี้? คุณคิดดูดีๆเถอะว่าทำอะไรลงไปบ้าง”
มีหรือที่เขาจะไม่อยากให้เฮียเฟิงอารมณ์ดี ตัวเขาเองก็จะได้สุขสงบสักสองวัน
ซูเนี่ยนเวยจุกกับคำพูดของเขา ก่อนจะเม้มปากปล่อยเขาไปด้วยสีหน้าที่ดูสลดเล็กน้อย
หรือว่าคำพูดเมื่อคืน เฟิงหนานซิวได้ยินหมดแล้วงั้นเหรอ?
ฉินเจิงเดินไปขึ้นรถอย่างเร่งรีบ ภายในรถเต็มไปด้วยรังสีอำมหิตที่เฟิงหนานซิวแผ่ออกมา
“เฮียเฟิง” เขารีบทำหน้ายิ้มสู้ “คุณหญิง......”
“เรื่องของเธอ ไม่จำเป็นต้องพูดกับฉัน”
“ครับ เฮียเฟิง”
ฉินเจิงพยักหน้ารัวๆ แต่พอเขาคาดเข็มขัดได้ไม่นาน ก็รู้สึกถึงความเย็นเฉียบที่หลังคอ ราวกับถูดมีดน้ำแข็งกรีดจนเป็นแผลนับไม่ถ้วน
“เฮียเฟิง แม้คุณจะไม่อยากฟัง แต่ผมก็ต้องรายงานคุณ”
ฉินเจิงสังเกตสีหน้าของเฟิงหนานซิว เมื่อเห็นว่าความเย็นเยือกบนใบหน้าเขาสลายไปเล็กน้อย ฉินเจิงก็รู้ว่าตัวเองมาถูกทางแล้ว
เขารีบพูดต่อทันทีว่า “คุณหญิงตั้งใจตื่นเช้าเพราะอยากทานอาหารกับคุณโดยเฉพาะ คุณไปแล้ว เธอดูสลดมากๆ แล้วก็ เหมือนว่าเท้าของคุณหญิงจะบาดเจ็บด้วย”
ถ้าเขาจำไม่ผิด เมื่อกี้ซูเนี่ยนเวยน่าจะเขย่งเท้าขึ้นบันได
“อืม”
เฟิงหนานซิวเอาเอกสารข้างๆมาเปิดอ่าน ท่าทางเป็นการเป็นงาน “ไปเถอะ”
รอกระทั่งรถถูกขับออกไปไกลไม่กี่เมตร ก็พูดเสริมด้วยน้ำเสียงอึมครึม
“เรียกเฉินเจิงหรงมาตรวจดู”
“ครับ รับรองว่าหมอเฉินจะมาถึงภายในครึ่งชั่วโมงแน่ครับ”
ฉินเจิงตอบรับไปพลางป้องปากแอบยิ้มไปพลาง
เขารู้ว่าเฮียเฟิงทนได้ไม่นานหรอก
เมื่อกี้ตอนที่พูดถึงแผลของคุณหญิง เฮียเฟิงก็ขมวดคิ้วปวดใจแล้ว
ซูเนี่ยนเวยไม่สบายใจมาทั้งเช้า เมื่อเฉินเจิงหรงมาดูแผลให้เธอก็จึงจะโล่งอก
เฉินเจิงหรงเป็นหมอบ้าน และเป็นเพื่อนสนิทของเฟิงหนานซิว เมื่อเห็นเธออยู่ในสภาพนี้ก็อดหยอกล้อไม่ได้
“ครั้งนี้วิ่งหนีท่าไหนอีกล่ะ บาดเจ็บแค่เท้าข้างเดียวเหรอ?”
ซูเนี่ยนเวยขมวดคิ้ว “ฉันบาดเจ็บแค่เท้าข้างเดียวนี่น้อยไปสำหรับนายหรือไง?”
ความประทับใจที่เธอมีต่อเฉินเจิงหรงนับว่าไม่เลว ชาติก่อนตอนที่เธอถูกทุกคนทรยศ เขาเป็นเพียงคนเดียวที่ยอมช่วยเธอนอกจากเฟิงหนานซิว
เธอขมวดคิ้วแน่น ถลึงตากลมโต เหมือนแมวน้อยที่เพิ่งตื่นก็ถูกกลั่นแกล้งจนโมโห ดูน่ารักน่าชัง
ซูเนี่ยนเวยไม่ใช่ไทป์ที่เขาชอบ ทว่าทุกครั้งที่เห็นใบหน้านี้ เฉินเจิงหรงก็มักจะรู้สึกสนิทสนมอย่างบอกไม่ถูก ดังนั้นเขาที่ปกติไม่ชอบพูดอะไรมากกับคนแปลกหน้า จึงแหกกฎยกเว้นต่อหน้าซูเนี่ยนเวยทุกครั้ง
“ต้องวางแผนเตรียมตัวไว้ให้รอบคอบ ถึงจะสามารถหนีออกไปได้ อย่างเธอ มากสุดก็ได้แค่รอยแผลกลับมา” เฉินเจิงหรงเก็บกล่องยาไปพลาง พูดเตือนไปพลาง
ทว่าซูเนี่ยนเวยไม่แยแส
“นายมาเป็นไส้ศึกให้เฟิงหนานซิวหรือเปล่า? มาหยั่งเชิงฉัน?”
พูดจบก็กลอกตาบนใส่เขาหนึ่งที “เพียงแต่นายน่าจะต้องผิดหวัง เพราะตอนนี้ฉันเปลี่ยนใจไม่อยากหนีแล้ว”
กำลังจะพูดอะไรต่อ อีเมลของซูเนี่ยนเวยก็พลันส่งเสียงแจ้งเตือน
นี่เป็นเสียงแจ้งเตือนเฉพาะของสถาบันวิจัย
เฉินเจิงหรงเห็นซูเนี่ยนเวยก้มหน้าง่วนอยู่กับโทรศัพท์ก็ไม่พูดอะไรอีก
“อย่าลืมเปลี่ยนยาด้วยล่ะ ฉันไปก่อนล่ะ”
ซูเนี่ยนเวยโบกมืออย่างขอไปที “ช่วยฉันเทน้ำผลไม้ก่อนค่อยไป”
เฉินเจิงหรงไปเทน้ำผลไม้โดยอัตโนมัติ เมื่อถือกลับมาแล้วก็จึงจะเพิ่งรู้สึกตัว
เขาอยู่บ้านมีคนใช้ อยู่โรงพยาบาลมีผู้ช่วย แต่พอมาอยู่ตรงนี้ ทำไมถึงถูกเด็กผู้หญิงคนหนึ่งควบคุมได้อย่างง่ายดายล่ะ?
ซูเนี่ยนเวยไม่สนว่าเขาคิดอะไรอยู่ ดื่มน้ำผลไม้เสร็จก็พลิกสีหน้าไล่คนออกไปจากคฤหาสต์ทันที
ยาของเฉินเจิงหรงถูกทำขึ้นมาโดยเฉพาะ ตอนเย็นก็ไม่รู้สึกเจ็บเท้าแล้ว
ซูเนี่ยนเวยไปห้องแต่งตัวเลือกรองเท้าส้นเตี้ยคู่หนึ่งออกมาใส่ จากนั้นก็เรียกรถไปที่ร้านเสริมสวยใจกลางเมือง
อีเมลที่เธอได้รับบอกให้เธอติดต่อผู้รับผิดชอบของสถาบันวิจัยแห่งนั้นกงจื่อชิง พวกเขาสองคนนัดเจอกันที่ร้านนี้
นี่คือร้านเสริมสวยที่ใหญ่ที่สุดและหรูหราที่สุดในเมืองหลิน ให้บริการแค่พวกชนชั้นสูงเท่านั้น
ห้องโถงไม่มีความโอ่อ่าอลังการ กลับมีวัตถุโบราณในแต่ละยุคสมัยตั้งแต่หน้าประตู ในความสูงศักดิ์และสง่างาม ก็แฝงไว้ซึ่งความหรูหราที่แปลกใหม่
เมื่อนึกถึงว่าความหรูหราพวกนี้เป็นของที่คุณยายยกมาไว้ภายใต้ชื่อสถาบันวิจัยของเธอ ซูเนี่ยนเวยก็รู้สึกเบิกบานใจ
หลังจากที่พูดกับเคาน์เตอร์แล้ว เธอก็หาที่นั่งในห้องโถงแล้วนั่งลง
เพื่อให้เข้ากับรองเท้าส้นเตี้ย ซูเนี่ยนเวยจึงสวมชุดลำลอง แม้จะเป็นเสื้อทรงหลวม ก็ไม่อาจบดบังรูปร่างที่มีเสน่ห์ของเธอได้
ภายใต้แสงอาทิย์ตกดิน ใบหน้าของหญิงสาวประณีตงดงาม ผิวขาวผ่องกระจ่างใส แค่นั่งอยู่ตรงนั้น ก็เพียงพอที่จะดึงดูดสายตาของคนที่เดินผ่าน
ซูเสวี่ยอวิ่นเองก็เป็นสาวสวยที่ใครๆต่างก็ชื่นชม ทว่าตอนนี้แม้เธอจะแต่งตัวจัดเต็ม เมื่อยืนในห้องโถงเดียวกันกับซูเนี่ยนเวย ก็ราวกับว่าเทียบไม่ติดแม้แต่ชายเสื้อของเธอ
ซูเสวี่ยอวิ่นลูบรอยแผลบนข้อมือที่ยังรู้สึกเจ็บ ดวงตาฉายแววอิจฉาริษยา
เธอต้องประหยัดกินประหยัดใช้ถึงจะมาสามารถมาสถานที่แบบนี้ พอฝืนประคับประคองที่จะดูแลตัวเองให้อยู่ในสภาพ ณ ตอนนี้ได้ ซูเนี่ยนเวยถ้าขี้เกียจขึ้นมาก็ไม่ใช้แม้แต่ครีมบำรุงด้วยซ้ำ เธอมีสิทธิ์อะไรกัน
เจิ้งอิงที่มากับเธอเองก็สังเกตเห็นซูเนี่ยนเวยด้วยเช่นกัน ความอิจฉาริษยาในแววตาไม่น้อยไปกว่าซูเสวี่ยอวิ่นเลยสักนิด
ไม่ใช่เพราะเหตุผลอื่นใด เพียงเพราะว่าซูเนี่ยนเวยแต่งงานกับผู้ชายที่เธอต้องใจ
“พี่คะ ยัยผู้หญิงต่ำทรามนั่นทำให้พี่บาดเจ็บ มันยังกล้ามาเหิมเกริมต่อหน้าพี่ได้ยังไงกัน เราจะปล่อยมันไปแบบนี้ไม่ได้เด็ดขาด”
ได้ยินเจิ้งอิงพูดดังนั้น ซูเสวี่ยอวิ่นกลับอ่อนน้อมถ่อมตัวขึ้นมาอย่างผิดวิสัย
มีหมากให้ใช้ประโยชน์ เธอก็ไม่ชอบที่จะลงมือด้วยตัวเอง
“อิงอิง พี่เขาก็แค่โกรธชั่วคราว ไม่ได้ตั้งใจหรอก เธอ......”
“จะไม่ได้ตั้งใจได้ยังไง พี่จวิ้นเจี๋ยชอบพี่ไม่ใช่ความผิดพี่สักหน่อย ยัยนั่นมีสิทธิ์อะไรมาทำแบบนี้?”
เจิ้งอิงเดินไปตรงหน้าซูเนี่ยนเวยอย่างโมโห
“ซูเนี่ยนเวย ทำไมเธอถึงต่ำทรามขนาดนี้ ทั้งที่แต่งงานแล้ว ก็ยังจะระรานพี่จวิ้นเจี๋ยไม่เลิก ความรู้สึกเหยียบเรือสองแคมนี่มันดีมากใช่หรือเปล่า?”