บทที่ 11 ครั้งนี้ตายแน่ๆ
หลังจากที่แสงแฟลชกระพริบไปสามวินาที ทุกคนก็หยุดการเคลื่อนไหวกันอย่างพร้อมเพรียง มองไปที่เฟิงหนานซิวที่ยืนอยู่ตรงหน้าและโกรธเกรี้ยวจนตัวสั่นเทิ้ม
จบแล้ว!
ทำไมถึงซวยมาเจอเฟิงหนานซิวได้
รบกวนเรื่องดีๆของยมราช พวกเขาจะยังมีชีวิตรอดอยู่หรือเปล่า?
“เอ่อ ท่านประธานเฟิง ต้องเป็นเรื่องเข้าใจผิดแน่ ๆ”
“ใช่ๆ ๆ พวกผมต้องเข้าผิดห้องแล้วแน่ ๆ”
“ใช่แล้วล่ะ เข้าผิดห้องแล้ว”
คนกลุ่มหนึ่งเข้ากันเป็นปี่เป็นขลุ่ย พลางเอาเมมโมรี่การ์ดออกมาจากกล้องถ่ายรูปแล้วหักทิ้งลงบนพื้น
เมื่อเห็นสีหน้าของเฟิงหนานซิวเริ่มดีขึ้น พวกเขาก็จึงจะรู้สึกว่าหินที่ถูกแขวนห้อยอยู่เหนืออกหดเล็กลงครึ่งหนึ่ง
“ไสหัวไปซะ” เฟิงหนานซิวชี้ไปที่ประตู
พวกนักข่าวพลันเหมือนหลุดพ้นจากภัย รีบชิ่งหนีออกไปทันที
ตั้งแต่ต้นจนจบ ซูเนี่ยนเวยก็เหมือนนกกระจอกเทศตัวหนึ่งที่ขดตัวอยู่ในอ้อมกอดของเฟิงหนานซิว กระทั่งเสียงฝีเท้าที่วุ่นวายวิ่งไปไกล ก็จึงจะคอยๆเงยหน้าขึ้น
ดวงตาใสสะอาดจดจ้องใบหน้าหล่อเหลาที่อยู่ตรงหน้า “เฟิงหนานซิว ฉันสงสัยว่านายกำลังกลั่นแกล้งคน”
ทั้งที่แค่สายตาเดียวของเขาก็สามารถจัดการเรื่องราวได้แล้ว ทว่ากลับเลือกที่จะทำเธอตกใจจนเป็นแบบนี้ ซ้ำยังให้ความร่วมมือกับเธอซ่อนตัวในตู้เสื้อผ้าที่คับแคบขนาดนี้อีก
เฟิงหนานซิวถูกจ้องจนร่างกายเริ่มร้อนรุ่ม พลันหันหัวไปทางอื่นอย่าไม่เป็นธรรมชาติ
“ไปกันเถอะ”
“ไม่เอา” ซูเนี่ยนเวยดึงเขาไว้
“เดินไม่ไหวแล้ว เจ็บเท้า หนาว เหนื่อย แล้วยังมึนอีกด้วย”
พูดเสร็จก็เบะปาก เอนตัวพิงเฟิงหนานซิวสุดชีวิต
ให้เขาอุ้มเธอ ก็ถือซะว่าเป็นดอกเบี้ยที่เขากลั่นแกล้งเธอก็แล้วกัน
เฟิงหนานซิวรู้ทันความคิดเธอ จึงโน้มตัวอุ้มเธอขึ้นอย่างจนใจ
ก่อนจะออกจากห้อง ซูเนี่ยนเวยยังไม่ลืมมอบรางวัลให้ผู้หญิงที่อยู่บนโซฟาหนึ่งฝ่าเท้า
แม้คนวางแผนหลักจะเป็นซูเสวี่ยอวิ่น ทว่าหากผู้หญิงคนนี้กล้าเข้าร่วมก็ต้องไม่ใช่คนดีอะไรแน่ ๆ
เท้าที่เต็มไปด้วยบาดแผล เตะต้นขาของผู้หญิงเต็มแรง ดูแล้วเหมือนจะเจ็บ แต่ในความเป็นกลับเบาเหมือนหมัดฝ้าย ต้นขาของผู้หญิงไม่สะเทือนเลยสักนิด
สายตาเหลือบเห็นการกระทำเล็กๆของเธอ และสีหน้าที่เผยแววภูมิใจ ก่อนที่เฟิงหนานซิวจะค่อยๆเผยรอยยิ้มที่น่ามอง
เมื่อกลับมาถึงคฤหาสต์ ความร้อนรุ่มในร่างกายของเฟิงหนานซิวก็ถึงจุดสูงสุดแล้ว ใบหน้าเขาแดงก่ำ ซ้ำยังหายใจแรง
โซฟาสีขาวที่เย็นเฉียบราวกับถูกจุดกำแพงไฟเมื่อเขาเข้าใกล้ ร้อนจนซูเนี่ยนเวยต้องยืนห่างออกไปสามเมตร
เธอเม้มปากแน่น สายตาจับจ้องนิ้วมือของชายหนุ่มที่กดลูบกระดุมเสื้อสีดำ ก่อนจะค่อยๆกลั้นลมหายใจ
จบแล้ว ครั้งนี้ต้องตายแน่ ๆ
หาเรื่องใส่ตัวแบบนี้ สมน้ำหน้าที่ชาติก่อนตายอย่างอนาถขนาดนั้น
แกรก แกรก แกรก......หลังจากเสียงดังขึ้นอยู่ครู่หนึ่ง เสื้อสูทก็ถูกทิ้งที่อีกฟากหนึ่งของโซฟา
ซูเนี่ยนเวยิ่งอยู่ยิ่งรู้สึกหายใจลำบาก หัวใจกลับเต้นระส่ำอย่างไม่ได้เรื่อง หัวสมองหมุนอย่างรวดเร็วครุ่นคิดวิธีแก้ไข
เธอมองไปที่ชายหนุ่มอย่างระมัดระวัง พลันปะทะกับสายตาเย็นเยือกและกระหายดุจหมาป่าที่หิวโซ
ราวกับว่าเธอก็คือเนื้อรสเลิศชิ้นหนึ่งที่สนองความอยากและทำให้อิ่มท้อง
“ไม่อร่อย ฉันไม่อร่อย” ซูเนี่ยนเวยส่ายหัวรัวๆ
แผลบนร่างกายยังไม่หายดี ถ้าเกิดว่าถูกทรมานอีกรอบหนึ่ง งั้นเธอก็จะไม่ได้เห็นพระอาทิตย์วันพรุ่งนี้แน่ ๆ
เฟิงหนานซิวยิ้มเย็น “ซูเนี่ยนเวย ฉันดูน่ากลัวขนาดนั้นเลยหรือไง?”
น่ากลัว!
น่ากลัวมากๆ!
หญิงสาวกลอกลูกตา แม้ไม่ได้พูด แต่กลับใช้การกระทำตอบคำถามข้อนี้
เขาถูกยั่วโมโหจนหัวเราะ “มานี่”
รอยยิ้มนี้ของเขา ราวกับแต่งแต้มทั้งห้องโถงเป็นสีดำ หมาป่าหิวโซเฟิงหนานซิวซ่อนตัวอยู่ในมุมที่มืดที่สุด ค่อยๆเผยเขี้ยวแหลมคมมาที่เธอ
ซูเนี่ยนเวยไม่กล้าไม่ทำตาม เธอเดินไปหาเขาทีละก้าว ก่อนจะนั่งลงที่ข้างกายเขา
“เอ่อ นายอย่าโกรธเลยนะ ฉันไม่ได้กลัวนาย ฉันแค่......กลัวเจ็บ”
มือของเฟิงหนานซิวโอบรัดเอวของซูเนี่ยนเวยไว้แน่น ลมหายใจเป่ารดจากหูเธอมาที่มุมปาก ในขณะที่ซูเนี่ยนเวยตกใจจนแทบจะหายใจไม่ออก เขาจึงจะยิ้มขำเสียงเบา เอ่ยว่า “วางใจเถอะ ยาหมดฤทธิ์แล้ว”
พวกเขาที่เป็นผู้สืบทอดของตระกูลแบบนี้ ได้ฝังยาแก้พิษที่ต่อต้านของพวกนี้ไว้ในร่างกายนานแล้ว แม้ฤทธิ์ยาจะรุนแรงขนาดไหน ก็สามารถสร่างได้ภายในครึ่งชั่วโมง
ซูเนี่ยนเวยพลันเข้าใจอย่างแจ่มแจ้ง
“เฟิงหนานซิว นายหลอกฉัน”
เธอโกรธจนทุบหลังเฟิงหนานซิวหนึ่งที
อีกฝ่ายหยุดเสียงหัวเราะและปริเสียงร้องในลำคอทันที
“ฉันไม่ได้ใช้แรงเยอะเสียหน่อย นายจะหลอก......”
พูดยังไม่ทันจบ ก็พลันกลืนคำพูดที่เหลือลงคอเพราะหยดเลือดที่เจือจางบนมือ เธอลืมไปได้ยังไง ว่าเฟิงหนานซิวเองก็บาดเจ็บเหมือนกัน
น้ำร้อนทั้งหม้อ บนตัวเธอมีแผลพุพองเพียงไม่กี่จุด ส่วนที่เหลือสาดโดนแผ่นหลังของเฟิงหนานซิว
“นายบาดเจ็บแล้วทำไมถึงยังออกไปอีก ไม่รู้เหรอว่ารอยแผลจะอักเสบและติดเชื้อได้?”
ซูเนี่ยนเวยตาแดงก่ำ ยื่นมือไปปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตของเฟิงหนานซิว เห็นสีหน้าที่เหมือนไม่ใส่ใจของชายหนุ่ม ก็มือหนักขึ้นโดยไม่รู้ตัว
เฟิงหนานซิวไม่รู้ว่าเคยผ่านพายุฝนนองเลือดมาเท่าไหร่ เคยบาดเจ็บไปกี่ครั้ง เขาที่ไม่เคยปริเสียงร้องแม้แต่คำหนึ่ง เมื่อเห็นความห่วงใยในแววตาของซูเนี่ยนเวย ก็เอ่ยเสียงแผ่วเบา
“เจ็บ”
“รู้ว่าเจ็บก็ยังกล้าไปไหนมั่วซั่วอีก รอถ้าเดี๋ยวรอยแผลเน่าแล้ว ก็มีให้นายเจ็บแน่ ๆ”
ปากก็พูดจาอำมหิต ทว่าซูเนี่ยนเวยกลับเบามือที่สุดอย่างเห็นได้ชัด กลัวว่าจะทำให้เขาเจ็บโดยไม่ระวังตัว
ความรู้สึกที่เหมือนถูกปฏิบัติเป็นสมบัติล้ำค่า ทำให้เฟิงหนานซิวใจอ่อนยวบ
ถ้าหากบาดเจ็บเพียงเล็กน้อยก็สามารถแลกกับความห่วงใย งั้นเขายอมเจ็บไปทั้งชีวิตเลยก็ได้
ซูเนี่ยนเวยไม่รู้ว่าเขากำลังคิดอะไร หลังจากที่ตั้งใจทายาบนแผลพุพองทุกจุดแล้ว ก็จึงจะถอนหายใจยาวอย่างโล่งอก
“แผลต้องเปลี่ยนยาทุกวัน คราวหลังถ้าเลิกงานก็กลับบ้านให้ตรงเวลาด้วย”
“อืม” ชายหนุ่มเผยแววตาร้อนรุ่ม
“แผลพุพองส่วนใหญ่แตกออกแล้ว ไม่กี่วันนี้ก็พยายามอย่าโดนน้ำ ถ้ารู้สึกไม่สบายตัวก็ให้ใช้น้ำเช็ด”
ซูเนี่ยนเวยยืดเส้นยืดสาย รู้สึกง่วงเล็กน้อย
“ฉันจะนอนแล้ว นายเองก็พักผ่อนเถอะ”
วันนี้ทั้งวันเจอแต่เรื่องอกสั่นขวัญหาย เธอไม่มีเรี่ยวแรงเหลือแล้ว กลับไปถึงห้องกำลังจะพักผ่อน โทรศัพท์กลับดังขึ้นอย่างไม่รู้กาลเทศะ
ซูเนี่ยนเวยเดินเข้าไปในห้องน้ำโดยอัตโนมัติ
“เวยเวย ฉันคิดถึงเธอแล้ว เธอมาเยี่ยมฉันหน่อยได้หรือเปล่า?” เสียงที่น่าขยะแขยงของเจียวจวิ้นเจี๋ยดังขึ้น
ซูเนี่ยนเวยขมวดคิ้วไม่ตอบอะไร
อีกฝ่ายรีบเอ่ยปากต่ออย่างร้อนรน
“เสวี่ยอวิ่นเล่าให้ฉันฟังแล้ว ว่าเธอเข้าใจพวกฉันผิด ตอนเย็นก็เลยเย็นชากับฉันขนาดนั้น ยังดีที่เป็นเพียงเรื่องเข้าใจผิด ถ้าเธอไม่สนใจฉันจริงๆ ฉันต้องปวดใจจนตายแน่ ๆ”
“เวยเวย ฉันอธิบายได้”
“เวยเวย เพื่อเจอเธอ ฉันถึงกับประสบอุบัติเหตุรถยนต์แล้ว เธอทำใจไม่สนใจฉันได้ลงคอจริงๆเหรอ?”
บนเตียงผู้ป่วย เจียวจวิ้นเจี๋ยฝืนกลั้นอารมณ์คุยโทรศัพท์ มืออีกข้างหนึ่งกำหมัดไว้แน่น ใช้แรงจนแทบบิดเบี้ยว เห็นได้ชัดว่าอดทนถึงขีดจำกัดแล้ว
ฟังน้ำเสียงที่ค่อยๆเปลี่ยนไปของเขา ซูเนี่ยนเวยถึงขั้นสามารถจินตนาการออกว่าตอนนี้เขากำลังทำสีหน้าแบบไหนอยู่ พลันยิ่งอยู่ยิ่งรู้สึกขยะแขยง
“ช่วงนี้ถูกจับตาดูเคร่งเกินไป ฉันไม่สะดวกไปเจอนาย” ซูเนี่ยนเวยพูดอย่างขอไปทีว่า “เรื่องที่ดินสำเร็จแล้ว งานประมูลก็เข้าร่วมและเซ็นสัญญาตามขั้นตอน เฟิงซื่อไม่เก็บเงินจริงๆหรอก”
“จริงเหรอ! เวยเวย ขอบคุณมากนะ”
ไม่ต้องเสียเงิน ซ้ำยังสามารถเอาหน้าในงานประมูลได้ แน่นอนว่าเจียวจวิ้นเจี๋ยย่อมต้องรู้สึกพึงพอใจมากอยู่แล้ว
ไม่รอให้เจียวจวิ้นเจี๋ยพูดอะไรอีก ซูเนี่ยนเวยก็กดวางสายด้วยสีหน้าเย็นเยือก
ขณะเดียวกัน มือที่ชะงักอยู่หน้าประตูห้องน้ำก็ถูกชักกลับเงียบๆ
น้ำเสียงใสกังวานของหญิงสาวดังลอดเข้ามาในหูราวกับสามารถทะลุทุกสิ่งทุกอย่างได้ ทิ่มแทงกระดูกทุกแท่ง เส้นเลือดทุกสาย เส้นผมทุกเส้นจนสั่นสะเทือนและเจ็บปวด
แววตาของเฟิงหนานซิวหม่นแสงลง สีหน้าอึมครึมราวกับมีเมฆครึ้มล่องลอยอยู่เหนือใบหน้า จนสุดท้ายก็กลายเป็นยิ้มเย็นที่เสียดสีและเศร้าโศก
เหอะ!
ที่แท้ก็เป็นเพราะ......จับตาดูเคร่งเกินไป!