บทที่ 10 ทั้งชีวิตนี้จะอยู่แต่กับนาย
ซูเนี่ยนเวยรู้สึกจุกที่คอ ความรู้สึกแสบตรงจมูกทำให้น้ำตารื้นจนตาพร่ามัว
“ไม่ใช่นะ เฟิงหนานซิว”
ซูเนี่ยนเวยพยายามมองชายหนุ่มที่อยู่หลังม่านน้ำตา ก่อนจะฉีกรอยยิ้มที่ดูย่ำแย่กว่าร้องไห้
ไม่รอให้เฟิงหนานซิวตอบสนอง ซูเนี่ยนเวยก็วิ่งเข้าไปโผกอดชายหนุ่ม
“ไม่ยุ่ง เสื้อผ้าไม่ยุ่ง”
“โชคดีที่มาทัน ทำฉันตกใจแทบแย่”
“ฉันบื้อ ฉันโง่ แต่ก่อนฉันมองคนไม่ออก แต่ตอนนี้ฉันตาสว่างแล้ว ฉันเสียใจภายหลังแล้ว เข้าใจหรือยัง?”
“นายอย่าเกลียดฉันเลยนะ เฟิงหนานซิว นายต้องชอบฉัน ต้องชอบฉันต่อไป”
ซูเนี่ยนเวยสะอึกสะอื้น พูดจาสะเปะสะปะเหมือนเด็กผู้หญิงที่ทั้งกลัวจะสูญเสียทั้งกลัวว่าจะไม่ได้ของสำคัญมาครอบครอง เธอกลัวว่าถ้าเฟิงหนานซิวหมดความอดทนแล้วจะยอมแพ้ในตัวเธอไปจริงๆ
เฟิงหนานซิวต้องการแช่แข็งหัวใจดวงนั้นในอกที่เต็มไปด้วยบาดแผล
ทว่าน้ำตาของหญิงสาวกลับร้ายแรงถึงชีวิต ใจของเฟิงหนานพลันอ่อนยวบลงในพริบตา
เขายื่นมือโอบกอดซูเนี่ยนเวย จึงจะเพิ่งสังเกตว่าเสื้อที่เธอใส่นั้นบางมาก ตัวเธอเย็นจัดเสมือนแท่งน้ำแข็งในฤดูหนาวเหน็บ
“เธอ......”
พูดยังไม่ทันจบ ก็เห็นลิฟท์ค่อยๆเลื่อนขึ้นมา ด้านในยังมีเสียงเซ็งแซ่ชุลมุน
“นักข่าว?” เฟิงหนานซิวเผยแววตาอันตราย
“ไม่รู้ ไม่ใช่ฉัน” ซูเสวี่ยอวิ่นเองก็เคยเสนอให้เรียกนักข่าวมากดดันให้เฟิงหนานซิวเข้าตาร้าย ทว่าถูกเธอปฏิเสธไปแล้ว
คิดไม่ถึงเลยว่าซูเสวี่ยอวิ่นจะแอบทำทีเดียวลับหลังเธอ ถึงว่าทำไมชาติก่อนเฟิงหนานซิวถึงโกรธจนขังเธอนานหลายเดือน
ความไม่เชื่อใจในแววตาของเฟิงหนานซิวบาดใจเธอ แต่เธอก็รู้ว่าทั้งหมดนี้เป็นสิ่งที่ตัวเองสมควรได้รับ
“ฉันจะอธิบายกับนายทีหลัง ตอนนี้ซ่อนตัวก่อนเถอะ”
ซูเนี่ยนเวยผลักชายหนุ่มเข้าไปในห้อง
ไม่รู้ว่าทำไมผู้หญิงที่เธอเตรียมไว้ให้ถึงสลบ นอนแน่นิ่งอยู่บนเตียงด้วยชุดตัวบาง
ซูเนี่ยนเวยรู้สึกระคายตา พลันรีบลากเฟิงหนานซิวหันไปที่อื่นทันที
ห้องของคลับกว้างใหญ่มากๆ ทว่าเฟอร์นิเจอร์กลับมีน้อยจนไม่อาจซ่อนตัวได้ ซูเนี่ยนเวยหาไปพักหนึ่ง จึงจะฝืนพาชายหนุ่มมุดเข้าไปในตู้เสื้อผ้า
จากนั้น ด้านนอกก็มีเสียงเคาะประตูดังลั่นขึ้นรัวๆ
ทั้งคู่สบตามองอีกฝ่าย ไม่มีใครพูดอะไร
ไม่นาน ความหนาวเย็นบนตัวซูเนี่ยนเวยก็ทำให้อุณหภูมิในตู้เสื้อผ้าลดลง
เฟิงหนานซิวก้มหัวก็เห็นเท้าซูเนี่ยนเวยสวมรองเท้าแตะสีขาวของโรงพยาบาลข้างหนึ่ง ส่วนอีกข้างก็เปลือยเปล่า บนเท้าเต็มไปด้วยรอยแผล เลือดและเศษดินปนเปกัน ทั้งสกปรกและน่าอนาถ
เขาขมวดคิ้ว เห็นได้ชัดว่าไม่สบอารมณ์เล็กน้อย
เมื่อสังเกตเห็นความเปลี่ยนแปลงของเขา ซูเนี่ยนเวยก็อ้อนวอนเสียงเบา
“ฉันหนาว”
หญิงสาวน้ำตารื้น นอกจากความรู้สึกร้อนรนก็เหลือเพียงความหวาดกลัว น่าสงสารประหนึ่งหมาน้อยที่ถูกทิ้ง
ความเย็นชาภายในใจของเฟิงหนานซิวถูกทลายลงอีกเล็กน้อย ทว่าเขาก็ยังคงเผยสีหน้าไร้ความรู้สึกไม่พูดอะไร
ซูเนี่ยนเวยพยายามต่อ
เธอสูดจมูก แสร้งทำเป็นน่าสงสาร “เจ็บ”
หนึ่งวินาที สองวินาที สามวินาที จนในที่สุดชายหนุ่มก็ขยับตัว
เขาใช้พื้นที่ที่มีอยู่เพียงเล็กน้อยถอดเสื้อสูทออกมาให้ซูเนี่ยนเวยใส่ แล้วจับเท้าของเธอขึ้นมา เลี่ยงบาดแผลและถูเท้า จากนั้นก็ยัดเข้ามาในอ้อมกอด ปล่อยให้เศษดินตรงฝ่าเท้าเหยียบเสื้อเชิ้ตจนสกปรก
ความอบอุ่นจากฝ่าเท้าลุกลามมาถึงหัวใจ ซูเนี่ยนเวยพลันรู้สึกแสบจมูก
เธอรู้ว่าผู้ชายคนนี้ทำร้ายเธอไม่ลงหรอก
“อบอุ่นจัง”
ซูเนี่ยนเวยตาเป็นประกาย จงใจใช้นิ้วเท้าจิ้มที่แผงอกเขาหนึ่งที
ดวงตาของชายหนุ่มฉาบด้วยสีแดงในพริบตา
ซูเนี่ยนเวยแสร้งทำเป็นไม่เห็น ถอดเสื้อสูทที่คลุมอยู่บนตัวออก ก่อนจะยื่นตัวไปข้างหน้า ซบอกของเฟิงหนานซิว
“อันที่จริง ฉันไม่ใช่แค่เท้าเย็น นายช่วยฉันอุ่นร่างกายอีกหน่อยได้หรือเปล่า?”
มนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตที่แปลกประหลาดมากจริงๆ ชาติก่อนเธอล็อกตัวเองเอาไว้ ไม่อยากมองเฟิงหนานซิวแม้เพียงแวบเดียว ทว่าตอนนี้กลับรู้สึกว่าบนตัวเฟิงหนานซิวเหมือนมีแม่เหล็กที่ดึงดูดเธอให้อดเข้าใกล้เขาไม่ได้
ซ้ำยังยอมเข้าใกล้ด้วยความเต็มใจและยินดี
เธอยังตกอยู่ในภวังค์ตัวเอง ไม่รับรู้เลยสักนิดว่าตั้งแต่ที่เธอเข้ามาใกล้ ทั้งแผ่นหลังของเฟิงหนานซิวก็แข็งเกร็ง แม้แต่ลมหายใจก็ยังแรงกว่าปกติ
ครู่หนึ่ง เขาจึงจะปริปากอย่างยากลำบากว่า “ซูเนี่ยนเวย เธอรู้ไหมว่าฉันดื่มเหล้าอะไร?”
“รู้!”
ซูเนี่ยนเวยอึ้งชะงัก คิดไม่ถึงว่าทั้งที่เขารู้ว่าเหล้ามีปัญหาก็ยังจะดื่มลงไป
ไม่นาน ความเปลี่ยนแปลงบนร่างกายเฟิงหนานซิวก็ขัดความคิดเธอ
มือเล็กดันแผงอกเอาไว้ ขยับก็ไม่ใช่ ไม่ขยับก็ไม่ดี
“นาย ที่นี่แคบเกินไป น่าจะไม่ค่อยสะดวกหรอกนะ?”
ติ่งหูเจ็บแปลบ ร่างกายบอบบางของซูเนี่ยนเวยพลันเกร็งเหมือนถูกไฟดูด
“ไม่ลองแล้วจะรู้ได้ยังไง ซูเนี่ยนเวย เธอไม่เชื่อในเทคนิคฉันงั้นเหรอ?”
“ไม่ใช่นะ ฉัน......อุบ!”
ความดื้อดึงสุดท้ายของซูเนี่ยนเวยถูกหมาป่ากลืนลงท้องไปอย่างไร้ความปราณี
ซูเนี่ยนเวยตาพร่ามัว คิดแม้กระทั่งอยากตาย เธอเขินอายจนตัวสั่น แต่ก็รู้ว่าตอนนี้ไม่อาจขัดขืนเฟิงหนานซิวได้
เขายังโกรธอยู่ จำเป็นต้องทำให้เขาหายโกรธ
ยิ่งไปกว่านั้น พวกนักข่าวที่อยู่ด้านนอกก็เริ่มทุบประตูแล้ว ถ้าสมมติว่าทำอะไรเสียงดัง พวกเขาก็จะถูกพบเจอทันทีแน่ ๆ
คิดได้ดังนั้น ซูเนี่ยนเวยก็เป็นฝ่ายโอบคอเขา
เฟิงหนานซิวหยุดชะงักอย่างฉับพลัน แล้วจ้องมองเธอด้วยแววตาเย็นเยือก
ความรุ่มร้อนในร่างกายเองก็หดหายไปจนสิ้น
สิ่งที่เขาต้องการ ไม่เคยเป็นซูเนี่ยนเวยที่ว่านอนสอนง่ายอย่างไร้ขอบเขต
“เพื่อจะไปจากฉัน ยอมทำทุกวิถีทางเพื่อให้บรรลุเป้าหมาย ยอมกล้ำกลืนความอัปยศ กระทั่งยอมทรยศตัวเองโดยไม่คิดเสียดาย ซูเนี่ยนเวย คุ้มหรือเปล่า? บางที......”
“อย่าพูดมั่วซั่วนะ”
ซูเนี่ยนเวยใช้มือปิดปากของเฟิงหนานซิว คำพูดทำร้ายจิตใจพวกนั้นเธอไม่อยากฟังเลยสักนิด
ผู้ชายคนนี้น่าหงุดหงิดชะมัด ทั้งที่เมื่อกี้ใจอ่อนกับเธอแล้วแท้ๆ ตอนนี้ผุดความคิดประหลาดขึ้นมาจากไหนอีกกัน?
“ตาข้างไหนนายเห็นว่าฉันจะไปกัน? เฟิงหนานซิว นายฟังไว้ให้ดี ฉันไม่เพียงแค่จะไม่ไปจากนาย ซ้ำยังจะอยู่กับนายด้วย ชาตินี้ ชาติหน้า ทุกชาติภพ ก็จะอยู่แต่กับนาย”
ซูเนี่ยนเวยกัดริมฝีปาก ยื่นมือไปดึงเนคไทของเฟิงหนานซิว ก่อนจะยื่นตัวเข้าไปใกล้ภายใต้สายตาที่ยิ่งอยู่ยิ่งเย็นชาของเฟิงหนานซิว แล้วจุ๊บริมฝีปากเขาหนึ่งที
ทั้งที่เบาเหมือนแมลงปอแตะน้ำ ทว่ากลับเหมือนอุกกาบาตขนาดใหญ่ ที่ระเบิดในส่วนลึกของวิญญาณเฟิงหนานซิว
นี่คือครั้งแรก
ครั้งแรกที่ซูเนี่ยนเวยเป็นฝ่ายเข้าใกล้เขาก่อน
ความเคลือบแคลงและความระมัดระวังทุกอย่าง ต่างพังทลายลง ณ วินาทีนี้
เขาฝืนทนความสั่นสะท้านของหัวใจ ทับตัวลงไปในพื้นที่ที่คับแคบ
“เฟิงหนานซิว!”
ขณะเดียวกันกับที่เสียงเรียกขานดังขึ้น ประตูของคลับเองก็ส่งเสียงดังลั่น ตามด้วยเสียงกดชัตเตอร์ที่ดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ซูเนี่ยนเวยกลั้นลมหายใจ ไม่กล้าแม้แต่จะหายใจแรง
เฟิงหนานซิวจับประตูตู้เสื้อผ้าไว้ด้วยสีหน้าถมึงทึง อยากจะปล่อยหมัดต่อยให้แหลก แต่ก็กลัวว่าจะทำให้ซูเนี่ยนเวยตกใจ จึงทำได้เพียงมองริมฝีปากเล็กของอีกฝ่ายอย่างอ้อยอิ่ง แล้วทนเอาไว้
“เกิดอะไรขึ้น ไม่ใช่บอกว่าที่นี่มีข่าวใหญ่หรอกเหรอ ทำไมถึงมีแต่ผู้หญิงนิรนามคนหนึ่ง”
“สำนักข่าวหลายเจ้าขนาดนี้คงไม่ใช่ว่าถูกหลอกแล้วหรอกนะ?”
“ซู่ ผู้หญิงก็อยู่นี่แล้ว ผู้ชายจะหนีไปไหนไกลได้? ไม่แน่......”
นักข่าวบันเทิงที่พูดคนสุดท้ายมองไปรอบๆห้อง ชักนำทุกคนหันไปที่ทิศทางของตู้เสื้อผ้า
ซูเนี่ยนเวยเองก็รู้สึกได้ พลันจับคอเสื้อของเฟิงหนานซิวไว้แน่นอย่างตื่นเต้น ใจเต้นจนแทบตกไปอยู่ตาตุ่ม
ถูกพบเจอก็ไม่มีอะไรหรอก เธอแค่กลัวว่าเฟิงหนานซิวถูกถ่ายแล้วจะโกรธ ทำให้ความพยายามทั้งหมดที่ผ่านมาสูญเปล่า
เฟิงหนานซิวนึกว่าซูเนี่ยนเวยหวาดผวา พลันดึงเธอมาไว้ในอ้อมกอด
“ไม่ต้องกลัว ไม่มีใครกล้ากลั่นแกล้งผู้หญิงของฉัน”
ซูเนี่ยนเวยไม่ได้เงยหน้าขึ้น จึงพลาดความโกรธเกรี้ยวและแววอำมหิตบนใบหน้าของชายหนุ่ม
เธอรู้เพียงแค่ว่าเฟิงหนานซิวเปิดประตูตู้เสื้อผ้าออก
ก่อนที่วินาทีถัดมา ชัตเตอร์ก็เล็งมาที่ทั้งคู่อย่างบ้าคลั่ง