4 ผมเลือกคุณแล้ว
ลูกบิดประตูห้องดูภาพยนตร์ภายในบ้านถูกขยับ ก่อนที่บานประตูจะแง้มเปิด คนนั่งบนโซฟากำลังจดจ่ออยู่ที่หน้าจอทีวีซึ่งกำลังฉายซีรีส์เกาหลี เธอยังนิ่งเฉย ไม่รู้ตัวว่าเขาเข้ามาในห้องแล้ว
ติณณ์มองศีรษะทุยสวยที่มีเส้นผมยาวปกคลุม ส่วนปลายผมดัดเป็นลอน เขายังจำสัมผัสยามสอดนิ้วสางกลุ่มผมได้ดีว่ามันนุ่มมือมากแค่ไหน
ชายหนุ่มยืนอยู่หลังประตูห้องหลายวินาที นึกเอะใจว่ามันดูแปลกๆ ที่ขวัญรดาไม่รับรู้ถึงการมาของเขา ดวงตาคมกวาดมองรอบๆ ห้อง...ห้องนี้ไม่ใช่ห้องเก็บเสียง เมื่อกี้เธอน่าจะได้ยินเสียงเรียกของเขาแล้วไม่ใช่หรือ
“ขวัญ” ตัดสินใจเรียกเธอออกไป ขวัญรดายังนั่งอยู่เช่นเดิม หากเขาสังเกตเห็นไหล่บางเกร็งขึ้นมาเล็กน้อย
มือหนาร้อนผ่าววางบนลาดไหล่มน หญิงสาวสะดุ้งน้อยๆ คราวนี้ถึงคราวนี้เธอขยับตัวออกห่าง เขาจึงปล่อยมือจากเธอ
“ผมมารับคุณ”
“คุณทำงานเสร็จแล้วหรือคะ”
เธอดูเกร็งๆ ติณณ์หรี่ตามอง นึกสงสัยว่าตนเองกลับมาแล้ว แต่ทำไมภรรยาถึงไม่ดีใจ แล้วทำไมเธอถึงมีท่าทางระมัดระวังตัว
“ขวัญหมายความว่ายังไง”
“คุณไปทำงานไม่ใช่หรือคะ”
จำได้ว่าตนไม่เคยบอกขวัญรดาว่าไปที่เกาะฟาตินเพื่อทำงาน เพราะตั้งใจจะให้ทุกคนเข้าใจว่าเขาไปพักผ่อนตั้งแต่แรกอยู่แล้ว ซึ่งมันก็มีส่วนที่เป็นความจริง เขาต้องการให้สมองโล่งเพื่อคิดรูปแบบรายการทีวีที่ตนอยู่ในฐานะผู้ผลิตรายการและพิธีกร เขาอยากได้ความสงบและผ่อนคลายเพื่อจะได้ไอเดียออกมา ซึ่งในช่วงเวลานั้นเขาก็ใช้วิธีประชุมทางไกลกับทีมงานไปด้วย
“อืม...ใช่ ผมไปทำงาน ตอนนี้งานเสร็จแล้ว และผมก็กลับมาแล้ว”
ดวงหน้าหวานนิ่งสงบ ท่าทางของเธอเหมือนกำลังตัดสินใจ ความนิ่งเงียบของเธอทำให้เขานึกกริ่งเกรงอยู่บ้าง พลันดวงตาหวานก็กวาดสำรวจทั่วกายเขา
ติณณ์เลิกคิ้วเป็นเชิงถาม สองมือยังล้วงอยู่ในกระเป๋ากางเกงยีน
“มีอะไรหรือเปล่า”
“คุณยังสวมแหวนแต่งงานอยู่ไหมคะ”
น้ำเสียงเจือความสั่นพร่า ติณณ์มองเธอนิ่งๆ มันเป็นคำถามง่ายแสนง่าย แต่ชายหนุ่มกลับรู้สึกเหมือนมีหินหนักมาถ่วงเขาเอาไว้
“ทำไมถึงถามเรื่องนี้ มันสำคัญยังไง มันทำให้ขวัญตัดสินใจว่าจะกลับหรือไม่กลับบ้านไปพร้อมผมงั้นหรือ”
“ขวัญถามคุณค่ะ”
ติณณ์ไม่รู้หรอกว่าขวัญรดาต้องใช้ความกล้าสักแค่ไหนกับการย้อนถามคำพูดนี้ออกมา เขาไม่ควรรุกต้อนเธอ ทั้งที่เห็นอยู่ว่าเขาควรเป็นฝ่ายทำให้เธอกระจ่างในตัวเขาเสียก่อน
มือแข็งแรงค่อยๆ ดึงออกจากกระเป๋ากางเกงยีน ขวัญรดาเมินหน้าไปทางอื่น ไม่อยากรอลุ้นว่าแหวนแต่งงานอยู่บนนิ้วของเขาหรือเปล่า เพราะแวบหนึ่งนั้นเธอรู้สึกตัวเองไร้ค่าอยู่เหมือนกันที่ต้องมาคาดคั้นถามเขาเรื่องนี้
“ผมสวมมันอยู่”
ติณณ์บอกเสียงเบา หญิงสาวพยักหน้ารับรู้ แต่ไม่ยอมหันไปมองเขา เธอเดินเบี่ยงกายแล้วเปิดประตูห้องออกมาข้างนอก พลันเท้าบางต้องชะงักกึกเมื่อเห็นว่ามีคนยืนไม่ห่างจากประตู
“พี่ภัส คุณเอเดน มีอะไรหรือเปล่าคะ”
ขวัญรดาถามเสียงซื่อ แกล้งทำเป็นไม่เห็นสีหน้าเลิ่กลั่กของทั้งสองคนที่มีอาการส่อพิรุธเต็มพิกัด
“เปล่า ฉันแค่เข้ามาในบ้าน”
เสียงสูงไปสักหน่อย ดาราเจ้าบทบาทนึกขัดใจตัวเอง ทักษะการแสดงของเธอไม่เคยนำมาใช้ในชีวิตจริงได้สักทีสิน่า..และหากภัสสราคิดว่าตัวเองทำได้แย่แล้ว เอเดนยังทำได้แย่กว่าเธอเสียอีก
“ใช่ ผมตามคุณภัสเข้ามาในบ้านด้วย”
“จีบกันอยู่เหรอ”
เสียงโพล่งถามดังมาจากคนที่เดินตามขวัญรดาออกมา สายตาคมมองทั้งสองคนอย่างพิจารณา จนภัสสรานึกอยากหาอะไรมาปาปากน้องเขยตัวดีจริงๆ
“จีบบ้านนายสิ ฉันไม่สนตาคนนี้หรอก”
“ผมเสียหายตรงไหน”
“โอ๊ย! ไม่ต้องถาม ไม่สนก็คือไม่สน ของพวกนี้มันไม่มีเหตุผล”
“คุณทำให้ผมขาดความมั่นใจ”
“ไปหาความมั่นใจกับสาวๆ ข้างหน้าเลย อย่ามาวอแวฉัน”
นางร้ายคนดังกับพระเอกที่กำลังขึ้นหม้อโต้เถียงกันอย่างมันหยด ขวัญรดาอยากเดินหนีไปจริงๆ แต่ติดตรงที่ติณณ์ยกมือขึ้นมาโอบไหล่ของเธอไว้...
“ถ้าเขาไม่จีบภัส แล้วเขามาหาใคร”
ติณณ์ถามภัสสราเสียงเนิบ เจ้าหล่อนทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้ หากเป็นเอเดนเองที่ออกอาการอึกอัก คนถามจึงเบนเข็มไปหาเขาแทน
“ตอนผมโทร.มาหาขวัญ ผมได้ยินเสียงของคุณด้วย คุณคงมาเป็นแขกของบ้านนี้นานแล้วสินะ งั้นคุณควรกลับไปได้แล้ว ละครของคุณกำลังออนแอร์ ผมคิดว่าช่วงนี้คุณควรรักษาเนื้อรักษาตัวให้ดี”
มันเป็นคำขู่หรือคำเตือนด้วยความปรารถนาดี ติณณ์คงรู้แก่ใจดี ส่วนเอเดนเองก็รับรู้ได้เช่นกัน
ใบหน้าหล่อเหลาเรียบตึง มองติณณ์อย่างให้รู้ว่าตนไม่กลัว แม้รู้อยู่เต็มอกว่าติณณ์มีเส้นสายในวงการบันเทิงอยู่ไม่น้อย รวมถึงเส้นสายภายในช่องที่ตนเองสังกัดอยู่ด้วย
“ผมกลับก่อนครับ”
เอเดนบอกเสียงเรียบ สายตามองไปยังขวัญรดา ก่อนจะปรายมองภัสสราที่ยังยืนทำตาปริบๆ ด้วยไม่รู้จะจัดการสถานการณ์อย่างไรดี
ติณณ์ตามขวัญรดาเข้าไปในห้องนอนบนชั้นสอง เขาตามเข้าไปได้ทันก่อนที่เธอจะปิดประตู
เขาไม่รู้ว่าเธอเข้ามาทำไมและไม่รู้ด้วยว่าเธอจะกลับบ้านไปกับเขาหรือเปล่า เจ้าหล่อนยังปิดปากเงียบ ติณณ์รู้นิสัยนี้ของภรรยาเป็นอย่างดี นี่เป็นอีกเหตุผลที่เขาเลือกแต่งงานกับเธอ แต่ให้ตายเถอะ การนิ่งเงียบของเธอในคราวนี้มันกลับทำให้เขาอึดอัด
“คุณทำอะไร?”
ขวัญรดาถามพลางก้าวปราดไปหาคนร่างสูงที่กำลังเปิดตู้เสื้อผ้าของเธอ
“เก็บเสื้อผ้าให้คุณ”
โดยไม่พูดเปล่า ติณณ์หยิบเสื้อผ้าที่แขวนอยู่บนราวภายในตู้ออกมาหอบใหญ่ เสื้อผ้าที่เขาเห็นว่ามันมีอยู่ไม่กี่ชุดที่บ้านของเขา แท้จริงเป็นเพราะขวัญรดายังเก็บไว้ที่บ้านหลังนี้นี่เอง
“ไม่ต้องเอาไป ฉันจะเก็บของของฉันไว้ที่นี่”
“คุณแต่งงานแล้ว บ้านของคุณก็คือบ้านที่เราอยู่ด้วยกัน”
เฮอะ! อยู่ด้วยกัน...
ชะรอยสีหน้าของขวัญรดาคงบอกทุกความรู้สึกให้ติณณ์รู้โดยไม่ต้องอธิบายให้มากความ
“คุณก็รู้แล้วว่าผมไปทำงาน”
“ฉันไม่ได้ว่าอะไรคุณค่ะ เราไม่เคยมีข้อตกลงอะไรกัน คุณใช้ชีวิตของคุณอย่างที่เคยเป็นได้ตามสบาย”
“แล้วขวัญล่ะ คิดจะใช้ชีวิตเหมือนตอนก่อนแต่งงานด้วยไหม”
“คุณติณณ์หมายความว่ายังไง”
“ผัวไม่อยู่บ้านแค่ไม่กี่วัน แต่เมียกลับมาอยู่ที่บ้านพ่อแม่ แล้วก็มีผู้ชายหน้าไหนก็ไม่รู้มาพูดคุยอยู่ด้วย ผัวโทร.มาก็ไม่รับสาย แล้วอย่างนี้จะให้ผมคิดยังไง”
ขวัญรดาไม่เคยคิดที่จะไม่ยอมรับสายเขา เธอตั้งใจจะคุยกับเขาอยู่แล้ว แต่ภัสสราแกล้งตัดสายไปเสียเอง ดูก็รู้ว่าพี่สาวอยากแกล้งเขา...แต่นั่นแหละ ความยุ่งยากทั้งหมดกำลังตกอยู่กับเธอ
“ฉันไม่ได้ทำอะไรผิด”
“ผมก็ไม่ได้ว่าขวัญผิด”
น้ำเสียงของติณณ์อ่อนลง เขาไม่ต้องการทะเลาะกับเธอ แต่พอนึกถึงเจ้าหมอนั่นทีไร มันก็หงุดหงิดใจทุกที
ชายหนุ่มถอนหายใจแรงๆ เขานำเสื้อผ้าที่อยู่ในหอบกลับเข้าไปแขวนกลับไว้ในตู้ดังเดิม ไม่ขัดใจเธอ แล้วปิดประตูตู้เสื้อผ้าเสีย
“ผมเก็บเสื้อผ้าไว้ที่เดิมแล้ว”
เขาเปลี่ยนท่าทีปุบปับ ขวัญรดายอมรับว่าตามอารมณ์เขาไม่ทัน ไม่รู้ว่าเขากำลังคิดอะไร เห็นอยู่ชัดๆ ว่าเมื่อกี้เขายังอารมณ์เสียอยู่เลย
“กลับบ้านเราได้หรือยัง”
น้ำเสียงของเขาเว้าวอน ขวัญรดาเมินหน้าหนีไปทางอื่น ไม่ใช่เพราะสีหน้าและท่าทางอย่างนี้หรอกหรือที่ทำให้เธอตกลงแต่งงานกับเขาอย่างง่ายดาย แต่งงานทั้งที่รู้อยู่เต็มอกว่าเขาไม่ได้รักเธอ เขาแค่ต้องการใครสักคนมาเป็นคู่ชีวิตเพื่อให้บรรลุผลสำเร็จในเป้าหมายของเขาเท่านั้นเอง
