2 โดดเดี่ยว
คู่สามีภรรยาใหม่อยู่ที่บ้านของหม่อมหลวงอิงอรจนถึงเวลาบ่าย อาหารมื้อเช้าของขวัญรดาถูกรวบไปเป็นมื้อเที่ยง ยังดีที่ตลอดเวลาที่นั่งฟังติณณ์กับแม่ของเขาคุยกัน คนรับใช้ได้นำอาหารว่างมาเสิร์ฟให้กินรองท้อง...เธอหิว เพราะปกติเธอกินมื้อเช้าทุกวัน แต่เธอไม่กล้าบอกใคร แม้แต่คนเป็นสามี
“ติณณ์จะไปที่เกาะวันนี้ใช่ไหม เตรียมข้าวของเสร็จแล้วหรือยัง แม่ว่ากลับบ้านกันเถอะ เพราะกว่าจะขับรถไปลงเรือได้ก็คงมืดค่ำ ยังไงก็อย่าให้ดึกเกินไป”
คุณอิงอรพูดขึ้นหลังจากมื้ออาหารจบลงแล้ว ขวัญรดาจึงได้ลาแม่สามีที่เพิ่งพบกันครั้งแรก เมื่อกลับเข้ามานั่งในรถพร้อมกับกล่องเครื่องเพชรที่ถือไว้ในมือ เธอเพ่งพิศมัน ก่อนจะเปรยออกมาเบาๆ
“มาพบคุณแม่ของคุณ ฉันน่าจะมีอะไรติดมือมาด้วย”
“คุณจะซื้ออะไรมาให้แม่ของผม”
คำถามกลั้วหัวเราะนั้นทำให้ขวัญรดาคอแข็ง เธอรู้ว่าติณณ์หมายความว่าอย่างไร คนอย่างเธอจะมีกำลังซื้อหาอะไรมาให้หม่อมหลวงอิงอร...หากหญิงสาวก็เลือกที่จะปัดทุกอารมณ์ขุ่นเคืองออกไป
“ผลไม้ค่ะ เราซื้อผลไม้มาเป็นของฝากผู้ใหญ่ได้”
คนขับรถไหวไหล่ บอกให้รู้ว่ามันไม่สำคัญสำหรับเขา ก่อนที่เขาจะบังคับรถให้เคลื่อนผ่านประตูรั้วบ้านออกไป
รถแล่นออกจากบ้านของแม่สามี กระทั่งมาถึงบ้านสองชั้นหลังค่อนข้างใหญ่ที่บางกรวย โดยใช้เวลาเพียงครึ่งชั่วโมงก็มาถึง หากเมื่อรถจอดนิ่งสนิทแล้ว คนขับรถไม่ดับเครื่องยนต์ แต่เขากลับบอกเธออย่างที่ทำให้งุนงง
“ผมมาส่งคุณ”
“มาส่งฉันหรือคะ? คุณมีธุระไปที่ไหนอีก”
“ผมจะไปที่เกาะ”
“แล้วฉัน...”
ขวัญรดาพยายามจับต้นชนปลาย เมื่อสักครู่ติณณ์บอกคุณอิงอรว่าเขาจะเดินทางไปพักผ่อนที่เกาะฟาติน เธอรู้ว่ามันเป็นเกาะของครอบครัวของเขา ซึ่งปัจจุบันอยู่ในการดูแลของอาคนเล็ก ขวัญรดาเข้าใจว่ามันเป็นการเดินทางไปฮันนีมูนของทั้งสองคน คิดว่าเขาจะพาเธอไปด้วย...แต่ไม่ใช่หรอกหรือ
หญิงสาวรู้สึกมึนงง ไม่อยากเชื่อว่าเธอเข้าใจผิดไปเอง
“มีอะไร”
“คุณจะไปที่เกาะคนเดียวหรือคะ”
ขวัญรดาหลุดปากถามย้ำ ทั้งที่รู้แก่ใจแล้วว่าตนไม่มีส่วนร่วมในการเดินทางครั้งนี้ ติณณ์ถามกลับด้วยสีหน้ายิ้มๆ แต่เป็นรอยยิ้มที่เธอไม่อยากเห็นเอาเสียเลย
“คุณกำลังทำหน้าที่เมียอยู่หรือไง”
“ปละ...เปล่าค่ะ”
“งั้นลงไปได้แล้ว”
หญิงสาวพยักหน้ารับคำ ก่อนจะเปิดประตูรถแล้วก้าวออกมา เธอยืนอยู่ที่เดิม มองตามท้ายรถที่เคลื่อนกลับออกไปสู่ทิศทางเดิมด้วยหัวใจที่เจ็บแปลบ
หญิงสาวร่างบางนั่งกอดเข่าอยู่ตรงระเบียงห้องนอนบนชั้นสองของบ้าน สายตาทอดมองไปยังทุ่งหญ้าที่เห็นอยู่ไกลๆ ละแวกนี้ยังเป็นพื้นที่สวน แรกทีเดียวเธอนึกชอบในความเงียบสงบ แต่พอถึงเวลาเย็น ความรู้สึกนั้นมันกลับทวีขึ้นอีกเท่าตัว
โดดเดี่ยว อ้างว้าง...มีผู้หญิงคนไหนบ้างนะที่ผจญกับความรู้สึกนี้หลังจากวันวิวาห์ผ่านไปได้แค่วันเดียว
เสียงเคาะประตูระเบียงดังขึ้นเบาๆ ขวัญรดาสะดุ้งสุดตัว เมื่อบางอย่างแวบเข้ามาในหัว เธอจึงรีบลุกขึ้นแล้วเปิดประตูทันใด
ความดีใจที่กำลังทออยู่ในดวงตาหวานค่อยๆ เลือนหายเมื่อเห็นว่าใครยืนอยู่ที่หลังประตู
“หนูขอโทษค่ะที่เข้ามาในห้องนอน พอดีหนูเคาะประตูห้องเรียกคุณหลายครั้ง แต่คุณคงไม่ได้ยิน หนูเป็นห่วงว่าคุณจะเป็นอะไร เลยเปิดประตูเข้ามาเอง”
เพราะเห็นสีหน้าของขวัญรดาเปลี่ยนเป็นจืดเจื่อน คนรับใช้จึงคิดว่าเธออาจไม่พอใจที่มีคนถือวิสาสะเข้ามาในห้องนอนก่อนได้รับอนุญาต
“ไม่เป็นไรจ้ะ หนูมีอะไรหรือเปล่าจ๊ะ”
“ป้านิ่มให้หนูมาถามคุณว่าจะรับประทานอาหารเลยไหม ตอนนี้หกโมงเย็นแล้ว ปกติคุณติณณ์จะให้ตั้งโต๊ะเวลานี้ค่ะ”
ขวัญรดานิ่งคิด เหมือนว่าคำถามนั้นยากแก่การตัดสินใจ นานชั่วอึดใจกว่าเธอจะตอบออกมา
“ฉันไม่หิว ส่วนคุณติณณ์ก็ไม่อยู่บ้าน หนูไม่ต้องตั้งโต๊ะหรอกจ้ะ”
“คุณรับอย่างอื่นไหมคะ อย่างเช่นผลไม้ หนูจัดใส่จานมาให้คุณได้ค่ะ” ข้อเสนอนี้เด็กรับใช้คงคิดขึ้นมาเอง เพราะเจ้าตัวมีท่าทางลังเลและไม่มั่นใจที่จะถามนัก
“ฉันขอนมอุ่นๆ ก็แล้วกัน”
เด็กรับใช้เดินออกไปแล้ว เมื่อได้กลับมาอยู่ตามลำพัง ความคิดก็เริ่มฟุ้งไปว่าคนในบ้านจะมองเธออย่างไร แต่งงานกันแค่วันเดียว แต่เจ้าบ่าวก็หนีไปเที่ยวเกาะเพียงคนเดียวเสียแล้ว เท่าที่สดับตรับฟังตอนที่เขาคุยกับแม่ของเขา ติณณ์มีแผนจะอยู่ที่เกาะนานนับสิบวันทีเดียว
ขวัญรดาจับแหวนแต่งงานที่สวมนิ้วนางข้างซ้าย เธอจำความสุขกำซาบยามติณณ์สวมแหวนวงนี้ให้เธอได้ แหวนทองสีขาวเกลี้ยงประดับเพชรเม็ดเล็กที่กำลังล้อแสงไฟจากดวงไฟกลางห้อง
แหวนวงนี้ยังอยู่บนนิ้วนางของเธอ ส่วนแหวนอีกวงที่เธอเคยเห็นว่าถูกเตรียมมาคู่กัน มันไม่ได้อยู่บนนิ้วของติณณ์แล้ว เธอไม่รู้ว่าเขาถอดแหวนแต่งงานตั้งแต่ตอนไหน เธอไม่ทันสังเกต...หรือแหวนวงนั้นอาจถูกถอดตั้งแต่งานเลี้ยงแต่งงานจบแล้วก็ได้
ลมทะเลพัดมาวูบหนึ่ง ติณณ์ยกมือขึ้นเสยผมลวกๆ เมื่อก้าวลงเรือเร็วที่มารอรับตรงท่าเรือเรียบร้อยแล้ว
“คุณติณณ์มาคนเดียวหรือครับ”
“ลุงเห็นใครมากับผมหรือเปล่าล่ะ”
“ไม่เห็นครับ”
คนขับเรือเร็วหัวเราะแห้งเมื่อถูกย้อนถาม มันอดสงสัยไม่ได้นี่นาที่เห็นหลานชายของเจ้านายซึ่งเพิ่งมีข่าวแต่งงานเมื่อวานจะไปพักบนเกาะคนเดียว ในตอนที่เจ้านายสั่งให้ขับเรือมารับ เขาก็ไม่ได้ถามรายละเอียดเสียด้วย คิดเองเออเองว่าตนมีหน้าที่มารับคู่สามีภรรยาใหม่เพื่อไปส่งที่เกาะฟาติน
“คุณติณณ์มีของให้ขนลงเรืออีกหรือเปล่าครับ”
“ไม่มี ผมมีเป้ใบนี้ใบเดียว”
เพียงเท่านั้น สปีดโบ้ตลำหรูก็แล่นตัดผิวน้ำจนแตกกระเซ็นเป็นทางยาว เพื่อตรงไปยังเกาะฟาตินที่อยู่ห่างจากฝั่งเกือบสามสิบกิโลเมตร ติณณ์ยกขาขึ้นมาพาดบนที่นั่งว่างๆ เอนกายกับพนักเก้าอี้ด้วยท่าทางผ่อนคลาย ตลอดสองวันที่ผ่านมา เขาเพิ่งพักกายได้จริงๆ ก็เวลานี้
ชายหนุ่มแหงนหน้ามองท้องฟ้ายามเย็นพลางนึกถึงถ้อยคำสนทนาของตัวเองกับพ่อและแม่เลี้ยงเมื่อสามชั่วโมงก่อน ในตอนที่เขาแวะไปเอาเสื้อผ้าและข้าวของที่จำเป็นสำหรับนำมาใช้บนเกาะ
‘แกจะไปอยู่ที่เกาะทั้งที่เพิ่งแต่งงานเมื่อวาน ไม่คิดจะไว้หน้าเมียบ้างหรือไง’
‘แล้วไงครับพ่อ พอแต่งงานแล้วผมกับขวัญก็ต้องทำตัวติดกันอย่างนั้นเหรอ’
เขาถามรวนๆ บอกตัวเองไม่ได้ว่าทำไมถึงรู้สึกหงุดหงิดเมื่อได้ยินพ่อถามเรื่องนี้ ซึ่งพ่อก็เป็นฝ่ายเงียบเสีย เพราะไม่อยากต่อปากต่อคำ แม่เลี้ยงที่นั่งอยู่ด้วยกันจึงช่วยถามความต่อให้
‘ความจริงคุณติณณ์พาหนูขวัญไปเที่ยวด้วยก็ได้ ถือโอกาสฮันนีมูนไปในตัว’
‘ไม่ละ ผมเตรียมแผนไปอยู่ที่เกาะไว้นานแล้ว ผมไม่อยากหาเรื่องทำให้เสียแผน’
‘ไปทำงานของแกล่ะสิ เห็นว่ารายการถูกเปลี่ยนเวลาออกอากาศไม่ใช่เหรอ แกมั่นใจหรือว่ามันจะรอด’
ติณณ์หัวเราะคำพูดของพ่อเหมือนเห็นเป็นเรื่องขัน ทั้งที่สองเดือนก่อนมันยังเป็นปัญหาใหญ่สำหรับเขาอยู่เลย
‘ไม่รอดหรอก แนวโน้มขาดทุนภายในสามเดือน ผมเลยต้องหาทางรอดใหม่ ผมจะนำรายการไปเสนอช่องใหม่ แต่ก่อนจะไป ผมต้องปรับรูปแบบรายการให้เรียบร้อยก่อน’
‘แล้วงานทางนี้ล่ะ’
‘อีกสองสัปดาห์มีนัดประชุมผู้ถือหุ้นใหญ่ของโรงแรมกับห้างฯ ผมไม่ลืมครับ ยังไงผมก็ให้ความสำคัญกับงานของเราเป็นหลักอยู่แล้ว’
‘ถ้ามันหนักเกินไป ทำไมแกไม่พักงานผลิตรายการสักระยะ จังหวะนี้มันก็เหมาะดี ความคิดดีๆ มันจะมาในเวลาที่เราว่างพอ’
‘ผมก็ทำตัวว่างโดยการไปติดเกาะนี่ไงครับ’
‘เออๆ ตามใจแก แต่งเมียได้วันเดียวก็ทิ้งเมียไปอยู่เกาะ ใครรู้เข้าคงคิดว่าแกบ้า’
ในตอนนั้นเองที่ติณณ์บอกลาพ่อกับแม่เลี้ยงเสียดื้อๆ เขาฉวยเป้ใบใหญ่แล้วลุกออกมา ก่อนจะขับรถตรงมายังท่าเรือแห่งนี้