ความแค้น(2)
วรภพไม่ได้อยากสานต่อตำแหน่งงานของผู้เป็นพ่อ แต่เขาเป็นลูกชายคนเดียวจึงไม่สามารถปฏิเสธภาระยิ่งใหญ่นี้ได้
ชายหนุ่มเกิดและเติบโตในเมืองหลวงชีวิตเขาจึงวนเวียนอยู่กับความหรูหรา จนบางครั้งเขาเองก็รู้สึกว่านี่ไม่ใช่สิ่งที่ต้องการ แม้เงินจะเป็นปัจจัยหลักในชีวิตแต่นี่ไม่ใช่ไลฟ์สไตล์ที่เขาชอบ วรภพชื่นชอบธรรมชาติและคาดหวังว่าบั้นปลายชีวิตเขาจะได้เดินทางไปอยู่ต่างจังหวัดอยู่กับไร่กับสวน อยู่กับผู้หญิงที่เขารักและสร้างครอบครัวที่อบอุ่น
“ช่วงนี้ยอดขายตกคงต้องหาแผนการเพื่อกระตุ้นยอดขาย ผมมอบหมายงานให้ฝ่ายการตลาดแล้ว ไม่รู้ว่าผลจะเป็นยังไง”
ชายหนุ่มกล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบ พนักงานชุดใหม่แผนกการตลาดทำงานไม่ค่อยดีนัก นอกจากจะทำงานช้าแล้วคุณภาพของงานก็ยังไม่เป็นที่น่าพอใจ ทำให้ชายหนุ่มนั้นรู้สึกกังวลกับทิศทางของบริษัทในอนาคต
“เชื่อมั่นพวกเขาสักครั้งเถอะค่ะ คุณเรียกเขามาอบรมแล้ว คงจะปรับปรุงขึ้น”
แผนกนี้มีความสำคัญต่อการประชาสัมพันธ์โปรโมทสินค้าให้เป็นที่รู้จัก วรภพจึงเคี่ยวเข็ญแผนกนี้เป็นพิเศษ แต่พนักงานก็ไม่ได้กระตือรือร้น อีกทั้งหัวหน้าแผนกที่เป็นคนเก่าแก่อยู่มานานตั้งแต่สมัยที่พ่อเขายังเป็นผู้บริหาร ก็ยังอีโก้สูงและไม่ยอมฟังคำแนะนำของเด็กรุ่นลูกอย่างเขา จะทำงานตามแบบแผนของตัวเองเท่านั้น ส่งผลให้ทุกอย่างล่าช้า
“ผมก็หวังว่าจะเป็นอย่างนั้น แต่ดูแล้วคงยาก ถ้าหากไม่มีอะไรดีขึ้นผมคงต้องเชิญเขาออก”
วรภพกล่าว เขาไตร่ตรองเรื่องนี้มานานและหากอีกฝ่ายนั้นไม่เปิดใจรับฟังข้อเสนอแนะของผู้อื่น จนทำให้ส่งผลกระทบต่อบริษัท เขาคงไม่มีทางเลือกจำต้องให้อีกฝ่ายออกจากงานเพื่อเปิดรับคนรุ่นใหม่เข้ามาในแผนกแทน
“ให้โอกาสเขาอีกสักครั้งเถอะค่ะ”
พลอยไพลินเป็นคนใจอ่อน เธอพิจารณาดูแล้ว หัวหน้าแผนกการตลาดไม่ใช่คนเลวร้ายอะไร เพียงแต่เขาอยู่ที่นี่มานานและเชื่อมั่นในการทำงานของตัวเองเป็นอย่างมาก แม้ว่าเทคโนโลยีจะก้าวหน้า แต่เขาก็ยังวนลูปอยู่กับการทำงานแบบเดิมๆ ซึ่งไม่ทันใจผู้บริหารหนุ่มไฟแรงอย่างวรภพ
“คุณรู้ไหมว่าทำไมผมถึงรักคุณ เพราะคุณเป็นคนจิตใจดีแบบนี้ไง ผมถามจริงๆ คุณเคยโกรธใครบ้างไหม”
หญิงสาวได้ยินแบบนั้นก็หัวเราะ เธอไม่ใช่ แม่พระ มีหัวจิตหัวใจและความรู้สึกเหมือนคนอื่นๆ ฉะนั้นหากมีคนทำไม่ดีเธอก็ต้องรู้สึกโกรธเป็นธรรมดา แต่อยู่ที่ว่าเธอจะจัดการตัวเองยังไงก็เท่านั้น
“ฉันก็โกรธเป็นนะคะ แต่โกรธไปเราก็ร้อนรนเอง”
หญิงสาวตอบตามความรู้สึกก่อนที่เธอจะหยิบสมุดเล็กๆออกมาจากกระเป๋า เพราะมัวแต่พูดคุยกับชายหนุ่มทำให้เธอนั้นลืมเรื่องตารางงานไปเสียสนิท
“อีกสองสัปดาห์ คุณต้องเดินทางไปอเมริกา เดี๋ยวฉันจะจองตั๋วและเตรียมของไว้ให้นะคะ”
ชายหนุ่มพยักหน้า เดิมทีเขาตั้งใจชวนหญิงสาวไปด้วยแต่เธอปฏิเสธ เนื่องจากเธอนั้นเป็นแค่ผู้ช่วย ไม่ใช่เลขาที่มีหน้าที่ซัพพอร์ตเรื่องงาน ดังนั้นหากเธอร่วมเดินทางไปอาจทำให้คนสงสัยความสัมพันธ์
“คุณกินข้าวหรือยัง”
“กินโจ๊กไปนิดเดียวค่ะ แต่ไม่ต้องชวนกินอะไรแล้วนะคะ ช่วงนี้น้ำหนักขึ้นไม่อยากกินเยอะ”
ระหว่างที่ติดไฟแดงชายหนุ่มหันมองหญิงสาว ก่อนจะเอื้อมมือมาแตะที่หน้าท้องเธอ
“ไม่เห็นมีพุงเลย อ้วนขึ้นยังไง”
“น้ำหนักขึ้นค่ะ แค่น้ำหนักขึ้นผู้หญิงอย่างฉันก็เครียดแล้วนะคะ”
หญิงสาวเอ่ยด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความกังวล กินอะไรนิดหน่อยน้ำหนักก็ขึ้นพรวดพราดจนน่าตกใจ ทำให้หญิงสาวนั้นต้องคอยควบคุมปริมาณในการกินอยู่เสมอ
“ผมว่าคุณคิดมากไปเอง น้ำหนักคนเรามันก็ขึ้นๆลงๆแบบนี้เป็นปกติ ว่าแต่ที่คุณบอกว่าน้ำหนักขึ้นมันขึ้นกี่กิโลล่ะ”
“ก็ประมาณสามขีดค่ะ”
วรภพหัวเราะเมื่อได้ยินแบบนั้น เขาวางมือบนศีรษะหญิงสาวก่อนจะขยี้เบาๆจนผมเธอนั้นเสียทรงเล็กน้อย
“ขึ้นแค่นั้นไม่ทำให้คุณอ้วนหรอก เดี๋ยวผมจะพาไปกินข้าว แล้วจะวนกลับไปส่งที่คอนโด”
หญิงสาวถอนหายใจยาวแต่ท้ายที่สุดแล้วเธอก็ต้องยอมไปกับชายหนุ่ม ทั้งสองมานั่งกินอาหารริมแม่น้ำ แม้จะเป็นช่วงบ่ายแต่ก็มีลมพัดตลอดเวลา ทำให้รอบบริเวณนั้นไม่ร้อนอย่างที่คิด
หลังจากที่กินอาหารเสร็จวรภพก็ขับรถมาส่งพลอยไพลินที่คอนโดของเธอ ชายหนุ่มออดอ้อนขอขึ้นไปบนห้องด้วยแต่หญิงสาวไม่อนุญาต แม้เธอจะคบกับเขามานานแต่ก็ยังไม่เคยทอดกายให้เขาชื่นชม
“ผมขอขึ้นไปแป๊บเดียวไม่ได้หรือไง สัญญาว่าผมจะไม่ทำอะไรคุณ”
“ไม่เชื่อค่ะ ไปทำงานได้แล้วค่ะ เป็นผู้บริหารแต่ไม่เข้าบริษัทระวังจะถูกหักเงินเดือนนะคะ”
หญิงสาวเอ่ยก่อนที่เธอนั้นจะใช้นิ้วชี้แตะที่ปลายจมูกชายหนุ่ม วรภพรั้งร่างบางเข้ามาใกล้ก่อนที่เขาจะสูดดมกลิ่นหอมบนเเก้มนิ่มสองข้างพักใหญ่
“คุณภพ! อย่าสิคะ”
หญิงสาวพยายามขัดขืน ก่อนที่เธอนั้นจะตีชายหนุ่มเบาๆ วรภพหัวเราะเมื่อเห็นใบหน้า คนรักเเดงระเรื่อ เขาหอมแก้มเธอฟอดใหญ่ก่อนจะยอมปล่อยแต่โดยดี