ตอนที่ 8 เด็กหลงทาง
ท่านหญิงหลัวเนี่ยเจินวันนี้มาเดินเล่นในตลาด สวมหมวกคลุมปกปิดบังอำพรางใบหน้าของตนเอาไว้ ด้วยเพราะเกรงว่าจะพบกับพี่สาวลูกของกวนซื่อเข้าให้
นางไม่อยากพูดอะไรให้อีกฝ่ายรู้สึกขุ่นเคืองใจ และไม่อยากให้พี่สาวผู้นี้พ่นคำก่นด่าใส่นาง ที่เป็นเช่นนี้เพราะตนเองเสนอหน้ายื่นตัวเข้าไปหมายอยากจะดูแลรักษาชายคนนั้นให้หายดี
จวบจนวันนี้บาดแผลทางใจก็ดูเหมือนไม่เจ็บปวดสักเท่าไหร่ เพราะนางมิได้มีใจรักเขาตั้งแต่แรกกระมัง อันความรักของหญิงสาวกับชายหนุ่มเหตุใดจึงเข้าใจยากนัก
นางเจ็บปวดเมื่อพบว่าเขาสูญเสียดวงตาไปทั้งสองข้าง นางรู้สึกโดดเดี่ยวอ้างว้างเพราะเขาทอดทิ้งนาง สุดท้ายจึงกลายเป็นเพียงแค่ผู้หญิงที่ถูกทอดทิ้งเอาไว้กลางทางเท่านั้น ยังไม่ได้เริ่มทุกอย่างก็จบลงอย่างรวดเร็ว
วันนี้ในตลาดดูจะคึกคักเป็นพิเศษ ด้วยเพราะอีกไม่กี่วันข้างหน้า จะมีราชทูตจากแคว้นเหลียนมาเยือน เห็นว่าจะมีเจริญความสัมพันธ์เชื่อมไมตรีที่มีต่อกันมายาวนานแต่ทว่าก็คล้ายเป็นเสี้ยนหนามทิ่มแทงอีกแคว้นเช่นเดียวกัน ในวังหลวงก็เร่งจัดเตรียมสถานที่ต้อนรับคณะทูตไม่ให้อีกฝ่ายดูแคลน แต่ทว่าแคว้นเฉิงก็หาได้เหยียดหยามแค้วนเหลียนไม่
หลัวเนี่ยเจินวัน ๆ อยู่ในพระตำหนักของไทเฮา กิจวัตรของนางก็มีแค่กินและก็นอน บางครั้งก็เข้าไปอยู่ในสำนักหมอหลวงบ้าง ในมือของนางหากไปที่ใดมักจะมีตำราพิสดารถือไปด้วยทุกครั้ง ยามนี้ทุกคนต่างก็ไม่กล้าวุ่นวายกับนางมากนัก ด้วยเพราะรู้ว่านางเป็นทายาทของท่านหมอเทวดา
ขนาดหวงตี้ประชวรปวดเศียรบรรทมไม่หลับ นางก็รักษาจนหายดี ฮองเฮาที่ไม่ค่อยชอบหน้านั่นเพราะบุตรชายทั้งสองหมายตาสตรีหย่าร้างหรือเป็นหม้าย อีกทั้งพระมารดาแผ่นดินมีหลานสาวที่เหมาะจะเข้าอภิเษกเป็นไท่จื่อเฟย ดูอย่างไรก็เหมาะสมกว่าสตรีมีตำหนิด่างพร้อย
สตรีทั้งสองเดินตลาดที่วันนี้จะดูคึกคักนัก ผู้คนก็ต่างพากันออกมาจับจ่ายใช้สอยอย่างเนืองแน่น ร้านค้าสองข้างทาง ต่างก็พากันส่งเสียงเรียกลูกค้าเข้าร้าน
“คุณหนูวันนี้คนมากพลุกพล่านระวังเอาไว้ด้วยนะเจ้าคะ” อาชุนดูแลเจ้านายไม่ห่างด้วยเพราะรู้ว่าคุณหนูของนางแม้ภายนอกจะดูสูงศักดิ์ แต่นางมีปัญหาคือมักจะสะดุดล้มบ่อย ๆ นั่นเพราะเวลาเดินมักจะเร่งรีบทำให้เป็นเหตุสะดุดล้ม
“ระวังล้ม!” พูดไม่ขาดปาก คุณหนูผู้งดงามล้มจนหมวกคลุมหน้าหลุดออกมา
“ว้าย!” ที่ล้มก็เพราะถูกท่านน้าอาชุนทักแท้ ๆ เบื้องหน้าของนางมีเด็กน้อยคนหนึ่งยืนถือซาลาเปาเอาไว้ในมือ มองมายังนางที่ล้มจนหัวเข่าทั้งสองข้างเป็นแผล กระโปรงเป็นรอยซึมด้วยเพราะโลหิตเปรอะเปื้อนไปด้วยคราบฝุ่น
“ท่านแม่” เจ้าซาลาเปาตัวน้อย โอบกอดคอของเนี่ยเจินราวกับรู้จักกันมานานเสียอย่างนั้น มิหนำซ้ำยังมาเรียกท่านแม่กลางตลาดอีกด้วย “ท่านแม่ ท่านแม่!”
...เนี่ยเจินกำลังงุนงงเด็กคนนี้หลงมาหรือไม่ เหตุใดชุดที่เขาสวมนั้นดูหรูหราและราคาแพงเช่นนี้นะ ใครกันช่างปล่อยให้เด็กตัวแค่นี้ออกมาเดินท่ามกลางผู้คนมากมาย “ข้าไม่ใช่” กำลังจะพูดแต่ทว่ามีคนกลุ่มใหญ่วิ่งกรูกันเข้ามาเสียก่อน ล้อมนางและท่านน้าอาชุน รวมถึงเจ้าตัวเล็กนี้อีก
“ปล่อยตัวคุณชายน้อยนะ” หนึ่งในชายกลุ่มใหญ่กล่าวขึ้น เนี่ยเจินลุกขึ้นยืน แต่ทว่าเจ้าซาลาเปานั้นยังกอดนางไม่ยอมปล่อย ให้ตายสิ ขนาดอาชุนยังตกใจคิดจะดึงมือป้อม ๆ น้อย ๆ ออกแต่ไม่เป็นผล
“อย่ามาขึ้นเสียงใส่คุณหนูของข้านะ! เป็นเจ้าหัวผักกาดนี่ต่างหากวิ่งเข้ามากอด แล้วพูดอะไรกัน ท่านแม่ อ้อใช่ ท่านแม่” อาชุนไม่ยอมความคนพวกนี้ เข้ามาเสียกลุ่มใหญ่แต่งกายเหมือนกันหมด ยังจะมีขึ้นเสียงใส่เจ้านายของนางโดยไร้เหตุผลอีก
“คุณชายน้อยขอรับ” ชายหนุ่มคนหนึ่งย่อตัวลงมาระดับความสูงนั้นสูงกว่าเจ้าหัวผักกาดเล็กน้อย “นางไม่ใช้ท่านแม่ของคุณชาย กลับไปหานายท่านเถิดขอรับ”
น้ำเสียงทุ้มแต่ฟังดูอบอุ่นนัก เจ้าเด็กน้อยคนนั้นดังกล่าวที่ถูกเรียก หันหน้ากลับมาแล้วคลายอ้อมกอดออก
“...” ไม่มีการโต้ตอบของเจ้าหัวผักกาด แต่ทว่าเขาเริ่มเบะปากร้องไห้โฮทันใด บังเกิดเสียงจ้าของเด็กเจ้าปัญหา ตัวเล็ก ๆ เพียงเท่านี้แผดเสียงดังจ้าทีเดียว ทุกคนต่างแสบแก้วหูพลางไม่รู้จะทำอย่างไรให้เขาเงียบดี
เขายังกระทืบเท้างอแงอย่างหนัก ดวงตาคมกริบของเจ้าตัวก่อเรื่องนั้นมีไข่มุกร่วงลงมาเป็นสายช่างน่าสงสารนัก
หลัวเนี่ยเจิน จึงรวบเจ้าเด็กน้อยคนนี้ขึ้นมากอด พลางอุ้มเขาอีกด้วยมือนุ่มนิ่มลูบแผ่นหลังปลอบโยนด้วยความสงสารระคนเอ็นดู “เงียบเถอะนะ อย่าร้องไห้อีกเลย ร้องไห้ไม่เห็นน่ารักสักนิด”
เสียงหวานของนางช่างเป็นหยาดน้ำทิพย์ชโลมหัวใจอันเจ็บปวดของเจ้าตัวก่อเรื่องจริง ๆ ทุกคนที่เดินผ่านไปมา ต่างก็หยุดมองดูคนกลุ่มใหญ่
ทหารส่วนหนึ่ง เดินเข้ามาทักทาย เพราะเคยได้รับความช่วยเหลือจากท่านหญิง “ท่านหญิงขอรับ เกิดอะไรขึ้นต้องการให้ข้าน้อยช่วยหรือไม่” ทหารเดินลาดเวรยามในตลาดกล่าวขึ้นมาอย่างนอบน้อม พลางเหลือบมองเด็กชายผู้หนึ่งถูกท่านหญิงโอบอุ้มปลอบประโลมเหลือเพียงแค่สะอื้นเบา ๆ
“ไม่เป็นอันใดหรอก แค่บังเอิญพบเด็กหลงทางเท่านั้น” เนี่ยเจินกล่าวขึ้น นางไม่ได้สวมหมวกคลุมหน้าแล้ว เพราะถูกชาวบ้านเหยียบมันเลอะไปหมด นางเองที่ซุ่มซ่ามอยู่เรื่อยจนทำให้หัวเข่าทั้งสองข้างบาดเจ็บ
“ขอรับ เช่นนั้นข้าน้อยจะได้เดิน ลาดตระเวนต่อ” ช่วงนี้ในเมืองย่อมตรวจตราอย่างเข้มข้น เพราะจะมีคณะราชทูตจากแคว้นเหลียนเดินทางมาสานสัมพันธ์ กับแคว้นเฉิง
“ท่านหญิงแล้วเจ้าเด็กคนนี้จะทำอย่างไรเล่าเจ้าคะ” อาชุนจะอ้าปากถามต่ออีก แต่ถูกเสียงของสตรีอีกคนกล่าวขึ้นมา เหมือนกำลังร้อนใจนัก
“คุณชาย” หญิงสาวคนหนึ่งเดินแหวกวงล้อมเข้ามา ใบหน้าดูน่ารักแต่งกายดูงดงาม “มาหาอี๋เหนียงเถิดเจ้าค่ะ เด็กดี” นางกล่าวด้วยถ้อยคำอันนุ่มนวล แต่ทว่าเมื่อนางเดินเข้ามานั้น กลับยิ่งทำให้เจ้าเด็กคนนี้ร้องไห้ขึ้นมาอีกรอบ หลังจากที่หยุดร้องมาได้ครู่หนึ่ง
ทุกคนต่างตกตะลึง จู่ ๆ ก็สร้างความไม่พอใจให้สตรีคนนี้อีก “คุณชาย หากท่านไม่มาหาอี๋เหนียงละก็ รับรองว่าท่านพ่อจะไม่รักนะเจ้าคะ” นางกำลังข่มขู่เด็กน้อย อายุเขาเพียงแค่ห้าหนาว ไร้มารดา มีเพียงแค่ซานอี๋เหนียง หรืออนุซานเท่านั้นที่ดูแลเขามาได้สักพักหนึ่งแล้ว
“เฉิงจื่อรุ่ย ปล่อยนางเสียเดี๋ยวนี้ ไม่เช่นนั้นแล้วพ่อจะลงโทษเจ้า!” เสียงคำรามดังมายังไม่ทันจะถึงตัวของเจ้าเด็กตัวปัญหา แต่ทว่าพอได้ยินเสียงนี้ทันใด กลับทำให้เจ้าหัวผักกาดกอดคอของนางแน่นไม่คลายอ้อมกอด
เฉิง!
สตรีทั้งสองต่างคาดเดา นี่คงไม่ใช่ท่านอ๋องน้อยกระมัง อาชุนเห็นใบหน้าของชายที่เข้ามาใหม่ อายุราว ๆ เกือบสี่สิบ แต่ทว่าใบหน้านั้นช่างหล่อเหลาคมคายยิ่งนัก
เนี่ยเจินช้อนสายตามองไปยังชายแปลกหน้าคนนี้ ก็พบว่าดวงตาของเขาช่างดูมืดดำอำมหิต นางไม่ชอบหน้าสักนิด ด้วยเพราะเขาตะคอกเจ้าหัวผักกาดที่กอดคอนางอยู่เช่นนี้
ยามนี้นางไม่สนใจว่าเขาจะเป็นใคร นางจึงได้กล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงอันแข็งกร้าว พร้อมส่งสายตาไม่พอใจไปให้เขาอีกด้วย “ช่างเป็นท่านพ่อที่ไม่มีเหตุผลเอาเสียเลยนะ ท่านเลี้ยงเขาด้วยความรักหรือไม่ หรือว่าชอบออกคำสั่งเพียงแค่อย่างเดียว” นางพูดจาแม้จะไม่ได้ต่อว่าทางตรง แต่แอบเหน็บแนมทางอ้อม
จนท่านอ๋องสีหน้ากราดเกรี้ยวขึ้นมาทันใด ปกติมีแต่สตรีหวาดกลัว ไม่กล้าต่อปาก แต่เด็กสาวคนนี้กับเชิดหน้าและดูดื้อรั้นไม่น้อย “ไม่เกี่ยวกับเจ้าส่งเขามาให้ข้า” น้ำเสียงดุดันกล่าวขึ้นมา ก็ยิ่งทำให้เจ้าตัวปัญหากอดคอนางแน่นขึ้นไปอีก
“ท่านแม่ ข้าไม่ไป” ในที่สุดคนก่อเรื่องยอมเปิดปากพูดขึ้นมา ทำให้ชินอ๋องมึนศีรษะไปครู่หนึ่ง ปกติเขาพูดกับลูกชายแทบตาย เจ้าคนนี้ถือดีเป็นไหน ๆ ไม่พูดจาเอาแต่ทำลายข้าวของ
“ในที่สุดก็ยอมพูดเสียที” สีหน้าตอนนี้กับเมื่อครู่ผิดกันราวฟ้ากับเหว ยามนี้ชินอ๋องถึงขั้นยิ้มออกมา เมื่อลูกชายอันเป็นยอดดวงใจนั้นได้พูดเสียทีหลังจากไม่ยอมปริปากพูดอะไรมาเป็นปี
“มาให้พ่ออุ้มดีกว่านะ” น้ำเสียงดูอ่อนโยนขึ้นมาทันใด เขาแย้มยิ้มจนทำให้ เนี่ยเจินแปลกใจนัก
“เจ้าตัวเล็กกลับไปหาท่านพ่อเถิด ข้ายังมีธุระต้องไปจัดการ” เนี่ยเจินอุ้มเด็กคนนี้แทบไม่ไหว แม้เขาจะดูตัวเล็กน่ารักแก้มยุ้ย ๆ แต่ทว่าก็หนักใช่เล่น ทำเอาแขนของนางปวดร้าวขึ้นมาทันใด อีกอย่างวันนี้จะมาเดินท่องเที่ยวซื้อขนมไปฝากท่านยาย แล้วคิดว่าจะเลยไปพบกับเหล่าเด็ก ๆ ในสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าอีก
“คุณชายมาหาอี๋เหนียงเจ้าค่ะ” ซานอี๋เหนียงหรืออนุซาน กล่าวน้ำเสียงหวาน ชักจูงเจ้าตัวดีให้กลับมาสู่อ้อมกอดของนาง แต่วันนี้กลับพยศดื้อดึงนัก
ปกตินางพูดอันใดเขาก็รับฟัง ส่วนมากเป็นนางดูแลแทนแม่นมเสียมากกว่า แววตาของนางซ่อนความไม่พอใจเอาไว้ นางไม่พอใจอยู่ไม่น้อย พอเดี๋ยวกลับไปยังตำหนัก นางจะจัดการสั่งสอนให้รู้ความ นางเท่านั้นที่จะเป็นมารดา หาใช่คนอื่นไม่
“ไม่ ข้าเกลียดเจ้า ข้าจะอยู่กับท่านแม่” ตัวปัญหาหน้าบึ้งตึงขึ้นมาทันใด เขาเป็นเด็กก็มีหัวใจไม่แพ้กัน ท่านแม่คนนี้ใจดีนัก พูดจาก็หวานรื่นหู ผิดกับสตรีคนนี้หน้าด้านและชอบกลั่นแกล้งข่มขู่และแอบหยิกเขาจนเนื้อเขียวก็มี
เขาจึงไม่ยอมพูดจากับใครหากไม่จำเป็น ยามกล่าวบอกบิดาก็ไม่รับฟัง กล่าวเพียงแค่ว่าเป็นลูกผู้ชายต้องอดทน ตัวเขาไร้มารดาไม่เคยพานพบ แต่พบท่านแม่คนนี้งดงามยิ่งนัก จึงไม่คิดจะยอมปล่อย
“ท่านแม่” ในที่สุดก็เริ่มงอแงอีกครั้ง และเอาแต่ใจจนทำให้ใคร ต่อใครต้องปวดหัวเพราะฤทธิ์เดชของเจ้าเด็กตัวปัญหา
“เฉิงจื่อรุ่ยอย่าเอาแต่ใจนักได้หรือไม่ เป็นผู้ชายใยจะต้องร้องไห้ด้วย” เมื่อเห็นลูกรักไม่ยินยอมเขาก็จนปัญญา ออกคำสั่งใครต่อใครต่างหวาดกลัว ยกเว้นเพียงแค่ลูกชายผู้นี้ ออกคำสั่งทีไรไม่เคยฟังสักคำ แม้ครึ่งคำก็ทำหูทวนลม
“หากเจ้าไม่ปล่อยนางอย่าหาว่าข้าใจดำนะ จื่อรุ่ย!” เขาจึงได้ตวาดลูกชายขึ้นอีกครั้ง
เฉิงจื่อรุ่ยได้ยินเสียงตะคอกนั่นเขาร้องไห้หนักขึ้น จนทำให้ท่านหญิงหลัวเนี่ยเจินไม่พอใจขึ้นเสียงใส่อีกฝ่าย แม้รู้ดีว่าเขาเป็นใครกัน “พูดกับเขาดี ๆ ไม่ได้หรืออย่างไรกัน ก็แค่เด็กคนหนึ่งเท่านั้น คนที่ใจดำคือท่านต่างหากเล่า” น้ำเสียงไม่พอใจนั่นทำให้ท่านอ๋องถึงกับปวดศีรษะ
สตรีใดก็ล้วนหวาดกลัว แต่นางกลับจ้องเขม็ง ไม่มีทีท่าจะหวาดกลัวสักนิด อีกทั้งยังดูเกรี้ยวกราดอีกต่างหาก ทำให้ท่านอ๋องปวดขมับเส้นเลือดเต้นตุบ ๆ ไปหมด
นางช่างกล้าดีต่อปากต่อคำเกินไปแล้ว
“เด็กดี พี่สาวจะไปเดินเที่ยวตลาด ซื้อขนมฝากท่านยาย เจ้าจะไปด้วยหรือไม่” เสียงหวานกล่าวขึ้นมา ฝ่ามือนุ่ม ๆ ลูบแผ่นหลังท่านอ๋องน้อยด้วยความอบอุ่น คล้ายกับว่าทำให้เขาใจเย็นลง พลางหยุดร้องไห้ เหลือเพียงแค่เสียงสะอื้นเบา ๆ จนตัวโยนเช่นนั้น
“ขอรับท่านแม่” เฉิงจื่อรุ่ยพยักหน้าหงึกหงัก ยังคงเห็นแพตานั้นอาบไปด้วยหยาดน้ำแห่งความเสียใจ เหม่ยเจินจึงได้ย่อตัวให้เขายืน การกระทำของนางล้วนอยู่ในสายตาของท่านอ๋อง พระอนุชาของหวงตี้เพียงแค่พระองค์เดียว หรือจะเรียกให้ถูกเขาคือองค์ชายรองที่ปกครองแดนเหนือ เดินทางมาร่วมต้อนรับคณะราชทูต
เหม่ยเจินดึงผ้าเช็ดหน้าออกมาซับคราบน้ำตาของเด็กน้อย ซานอี๋เหนียงเห็นเช่นนั้นนางจึงออกปากทันใด ด้วยเพราะเป็นคนปากไวและกลัวว่าท่านอ๋องจะชื่นชมสตรีเบื้องหน้า “อย่าได้เอาผ้าเช็ดหน้าต่ำ ๆ มาเช็ดพระพักตร์ท่านอ๋องน้อยนะ”
เหม่ยเจินเช็ดคราบน้ำตาเผอิญพบรอยช้ำ ๆ และรอยเล็บจิกบนท่อนแขนของเฉิงจื่อรุ่ย นั่นแสดงว่าเด็กคนนี้ถูกอนุทำร้ายจึงทำให้เขาเป็นเด็กก้าวร้าวเช่นนี้ นางจะปกป้องเอง ถือเสียว่าเป็นหลานชายของนางสักคน
ท่านหญิงหลัวเนี่ยเจิน ยืดตัวขึ้น พลางจับมือจื่อรุ่ยเอาไว้ แววตาแข็งกร้าวไม่ยอมใคร ส่งน้ำเสียงขึงขังพลางชักสีหน้าไม่พอใจ ท่วงท่าเย่อหยิ่งราวกับนางหงส์
“เจ้าเป็นใครข้าไม่รู้จัก กับเพียงแค่อนุต่ำ ๆ กล้าตีฝีปากข้าซึ่งเป็นท่านหญิง เป็นหลานสาวของไทเฮา เป็นหลานสาวของหวงตี้เชียวรึ ช่างกล้านัก” กล่าวก่นด่าอนุไปแล้ว นางเชิดหน้าขึ้นมา พลางมองใบหน้าอันหล่อเหลาล่อลวงสตรี แต่สำหรับนางหาใช่เช่นนั้นไม่
“ท่านก็อีกคนเป็นบิดาประสาอะไร ไม่รักไม่เอ็นดูลูกของตนปล่อยให้คนอื่นทำร้าย ได้อย่างไรกัน” กล่าวจบนางจึงได้อุ้มท่านอ๋องน้อยขึ้นมา แม้จะรู้สึกปวดแขน แต่เด็กคนนี้ต้องการ ความรักและการดูแลอย่างดี หาไม่แล้วเขาจะกลายเป็นคนที่เอาแต่ใจสร้างเรื่องวุ่นวาย จากนั้นจะเสียชื่อเสียงเชื้อพระวงศ์ที่สั่งสมมานาน
“หากท่านต้องการเขาคืนละก็ ไปที่ตำหนักของไทเฮา พร้อมกับนาง ข้าจะลงโทษคนที่ทำร้ายร่างกายท่านอ๋องน้อยให้เข็ดหลาบ คงรู้ว่ามีโทษสถานใด”