ตอนที่ 12 ท่านอาชินอ๋อง
เฉิงเหวินเทียนร้องไม่ออกหัวเราะไม่ได้ ดูสิเจ้าน้องชายตัวแสบกล่าวหน้าตาเฉยเช่นนี้ เขาอุตส่าห์หมายปอง แต่เจ้าตัวเล็กนี่มาถึงเมืองหลวงได้ไม่ถึงสองวัน กลับช่วงชิงยอดดวงใจของเขาไปครอบครองอย่างหน้าตาเฉย เขาจะไม่มีทางยินยอมอย่างเด็ดขาด กำลังจะอ้าปากต่อว่าอีกฝ่ายให้รู้จักว่าใครมาก่อนมาหลัง
“ไท่จื่อ อย่าถือสาเขาเลยนะ เขาก็แค่เด็กเท่านั้น” เนี่ยเจินอุ้มเฉิงจื่อรุ่ยขึ้นมา นางระบายยิ้มอ่อนหวานเพราะเจ้าตัวเล็กช่างรู้จักพูดจา อีกอย่างปากคอช่างเราะรายไม่เบา ไม่รู้ได้ใครมา
พลันทำให้ไท่จื่อโกรธจนจัดพ่นลมหายใจทางจมูกเสียเฮือกใหญ่ “เหอะ” เขาเงยหน้าขึ้นแค่นหัวเราะเพราะน้อยใจ ถูกเจ้าเด็กเจ้ามารยาหลอกจนหลงเช่นนี้
เขาจะเป็นที่หนึ่งในใจของนางได้อย่างไรกัน “จื่อรุ่ย เจ้ากับข้าไม่ใช่พี่น้องกัน” ก็แค่ข่มขู่อีกฝ่ายเท่านั้น ถึงจะเป็นเด็กตัวเล็ก ๆ ก็ไม่ยอมหรอกนะ คนที่ได้เปรียบคือท่านอา หาใช่เจ้าตัวแสบไม่ คิดว่าเขารู้ไม่ทันหรืออย่างไร ใช้ลูกมาแอบอ้าง
“กับเด็กตัวเล็ก ๆ เพียงเท่านี้ก็ไม่ละเว้น จิตใจของเจ้าช่างคับแคบเหลือเกิน” เฉิงจื่อหยาง ท่านอารูปหล่อเหลา กล่าวน้ำเสียงเรียบ ๆ พร้อมกับท่าทีเย็นชา
“ท่านอาก็พูดได้นี่นา เห็นหรือไม่นางอุ้มจื่อรุ่ยไปแล้ว” ก็คนมันอิจฉาที่เจ้าน้องชายถูกเอาใจถึงขนาดนั้น เขารึอุตส่าห์ไปเฝ้าตั้งนาน นางทำเย็นชาไม่สนใจ อีกทั้งยังพูดจากล่าวตัดรอนอีกด้วย
“ก็นางเป็นมารดาของรุ่ยเอ๋อร์ หากเจ้าอยากครอบครองนางก็เอาชนะใจนางให้ได้เสียก่อน แล้วอย่าคิดว่าเจ้าจะได้โอกาสนั้น รุ่ยเอ๋อร์ไม่มีทางพ่ายแพ้เจ้าแน่นอน”
กล่าวจบก็ไม่ฟังคำหลานชาย เขาแอบขบขันท่าทางหึงหวงจนเกินพอดีของไท่จื่อ เห็นโกรธจนหน้าแดงเช่นนี้อยากจะหัวเราะให้ดัง ๆ พ่ายแพ้แก่เด็กน้อยอายุเพียงแค่ห้าหนาว
“ฝากไว้ก่อนเถอะ” ไท่จื่อสะบัดแขนเสื้อเดินกลับไปยังพระตำหนักอย่างหัวเสีย เรื่องทุกอย่างที่นางกำนัลได้ยินได้เห็นล้วนถูกถ่ายทอดให้เจ้าของพระตำหนักได้รับฟัง
พระนางฉีกยิ้มกว้างอย่างมีความสุข หนึ่งในม้ามืดได้โผล่ออกมา หลังจากที่ได้เห็นเทียบของไท่จื่อและองค์ชายรอง ปะปนกับเทียบของเหล่าคุณชายทั้งหลาย
“เจ้าคิดว่าจื่อหยางเป็นเช่นไร” น้ำเสียงของหญิงชรานั้นดูสดชื่นขึ้นมามากนักหลังจากที่ท่านอ๋องน้อยมาคุกเข่าขอโทษ ช่างน่ารักจริง ๆ เวลาที่ดื้อดึงก็อยากจะดึงหูให้รู้จักเสียบ้างว่าไม่ควร
“ท่านอ๋องเป็นผู้ใหญ่อีกทั้งสุขุมรอบคอบ ติดแต่เย็นชาเท่านั้นเพคะ” นางกำนัลบีบนวดขาไปด้วยกล่าวออกไปอย่างใจจริง นางไม่กล้าออกความคิดเห็นอะไรที่เกินหน้าที่ของตนนัก แต่ทว่าอาชุนเดินเข้าพลางคุกเข่าเบื้องหน้า
“หม่อมฉันอาชุนเพคะไทเฮา” อาชุนร้อนใจเรื่องของชายคนนั้น จึงอยากจะมาไต่ถามข้อเท็จจริงว่าสืบสวนได้ความว่าเป็นอย่างไรบ้าง
“เจ้ามาถามเรื่องของชายคนนั้นใช่หรือไม่” ไทเฮาเพียงแค่ปลายพระเนตรเห็นสีหน้าของอาชุนพอจะเดาออก
“เพคะ” อาชุนก้มหน้าไม่กล้าสบตา นางตอบสั้น ๆ เท่านั้น
“รอหลังจากงานเลี้ยงต้อนรับจบ อ้ายเจียจะสะสางเรื่องนี้เอง เบาใจได้ข้าจะต้องทวงคือความเป็นธรรมให้หลานสาวของข้า กวนซื่อหัวของมันจะอยู่บนบ่าได้ไม่นาน”
พระนางกล่าวอย่างใจเย็น สีพระพักตร์นั้นบึ้งตึงขึ้นมาก รับรู้เรื่องทุกอย่างหลังจากที่คนของพระนางทรมานชายผู้นั้นแล้ว เขายอมเปิดปากบอกกล่าวความจริงทุก ๆ อย่าง นึกไม่ถึงว่า หลานสาวจะตายน่าอนาถเหลือเกิน สืบเสาะหาคนร้ายมานานหลายปีก็ไร้วี่แวว ถึงเวลาที่พระนางจะสั่งสอนคนชั่วช้าให้สาสม
“อาชุน อ้ายเจียขอถามเจ้าสักนิด ระหว่างไท่จื่อกับท่านอ๋องใครเหมาะสมกว่ากัน”
“ทูลไทเฮา เรื่องนี้ต้องขึ้นกับความรู้สึกเพคะ หากท่านหญิงไม่มีใจรัก เช่นนั้นก็มิควรบังคับหรือจับคู่ เกรงว่าหากยังขืนดึงดันไปต่อ จุดจบก็คงไม่ต่างจากที่ผ่านมาเพคะ” เพราะอยู่ด้วยกันตลอด แต่ยามนี้ดูเหมือนว่า ท่านอ๋องน้อยคงมิปล่อยท่านหญิงของนางเป็นแน่
อดีตแม่ทัพหยาง ยามนี้กำลังร่ำสุราเพื่อดับทุกข์ ถูกอดีตภรรยาหมางเมิน คิดอยากจะง้อนางให้กลับมาคืนดี อยู่ร่วมกันในจวนหลังนี้เหมือนเช่นเคย ใบหน้าของเขาแดงก่ำ ท่าทางมึนเมาเป็นที่สุด ได้พบหน้านวลกลับทำให้จิตใจของเขานั้นว้าวุ่นนัก
“นายท่าน กลับไปพักเถิดขอรับเพิ่งจะหาย ประเดี๋ยวกลับมาแย่ลงจะว่าอย่างไรกัน” พ่อบ้านฉางไม่คาดคิดว่าเจ้านายของตนจะกลับกลายเป็นคนดื้อรั้นเช่นนี้
ส่วนฮูหยินเอกนั้นเอาแต่ใช้เงินมือเติบ ซื้อเครื่องประดับไม่เว้นวัน อีกทั้งเครื่องเรือนไม่พอใจก็เปลี่ยนใหม่ยกชุด เขาเป็นเพียงแค่ไม้ใกล้ฝั่งเท่านั้น จะมีปากเสียงสอนสั่งเจ้านายของจวนนี้ได้อย่างไร
“ปล่อยข้า ข้าจะดื่ม ดื่มมันให้เมา” เขาลุกขึ้นยืน มือข้างหนึ่งถือกาสุราเอาไว้ อีกข้างยกจอกสุรา ยืนเอนไปมาคล้ายจะถลาล้มลงได้ทุกเมื่อ จะมีใครบ้างสมองหมูเหมือนเช่นเขา มีไข่มุกล้ำค่าอยู่ในมือ กลับไปคว้าเอาเศษฝุ่นมาเชิดชูเป็นฮูหยินเอก
“ยามนี้ข้าอยากจะได้นางกลับคืนมา” เสียงโหวกเหวกนั่นดังเอะอะจนทำให้สตรีที่หลงใหลในทรัพย์สมบัติเดินออกมาทำหน้านิ่วคิ้วขมวด “ข้าจะทวงนางกลับคืนมาให้ได้!” เขาก็ยังไม่หยุดส่งเสียงคร่ำครวญด้วยเพราะเสียดายนักหนา
โม่อวี้เฟยเดินออกมาด้วยความไม่พอใจเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว “ท่านพี่ หากเมาก็ไปนอนเถิดเจ้าคะ” อวี้เฟย กล่าวขึ้นมา พลางเดินเข้าไปประคอง แม้จะนึกไม่ชอบใจก็ตามที พลันหยางจงหมิงสะบัดแขนออกอย่างนึกรังเกียจ เขาชี้หน้าของนางด้วยโทสะที่คุกรุ่นอยู่ในตอนนี้
“ข้านึกเอ็นดูเจ้าที่ดูแลข้าเป็นอย่างดี นึกรักใคร่เจ้าและข้าก็รับผิดชอบเจ้าด้วยการแต่งงาน แต่ยามนี้เจ้ามิสนใจข้าเหมือนดังก่อน เป็นเพราะข้าหมดหนทางรุ่งเรืองในอำนาจแล้วใช่หรือไม่” เขากล่าวตำหนินางเสียหลายคำ เดินโซเซคล้ายจะล้มได้ทุกเมื่อ
“ท่านพี่ ข้าหาได้คิดเช่นนั้นไม่เจ้าค่ะ ข้ามัวแต่ยุ่งเรื่องในจวน จึงได้ละเลยท่านพี่ไป” นางกำลังโกหกแท้ที่จริงแล้วหาใช่ดั่งคำพูดของนางไม่ นางสมเพชตนเองเสียมากกว่ายามนี้นางอับจนหนทางจะเชิดหน้าลอยคอเป็นฮูหยินเอกของแม่ทัพแห่งเมืองหลวง
ความใฝ่ฝันของนางพังลงมาไม่เหลือชิ้นดี กลับกลายเป็นเพียงแค่ฮูหยินของตัวไร้ค่าแห่งเมืองหลวง เป็นที่หัวเราะเยาะทั้งในวงสุราและร้านน้ำชา ยังกล่าวพูดเรื่องของเขาอย่างสนุกปาก นางจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหนกัน มีแต่ความอับอายเท่านั้น
“ข้าจะปลดเจ้าออกจากตำแหน่งฮูหยิน เป็นเพียงแค่อนุเท่านั้น ข้าจะมอบตำแหน่งฮูหยินเอกให้กับท่านหญิง” คนเมามักพูดจาไปเรื่อยเปื่อย แต่สำหรับหยางจงหมิงคิดเช่นนั้นจริง ๆ เขาจะต้องทวงคืนภรรยาของตนให้ได้
“ท่านพี่คิดหรือว่านางจะหันมาสนใจท่าน” โม่อวี้เฟยเหยียดยิ้มส่งสายตาถากถาง “ท่านมีอะไรคู่ควรให้นางหันมาเหลียวแล ตอนนี้ท่านก็เป็นเพียงแค่สวะไร้ค่าคนหนึ่งเท่านั้น ต่อให้ท่านดวงตาหายดี ต่อให้ท่านทวงคืนตำแหน่งแม่ทัพคืนมา ข้าก็ไม่มีทางยินยอมให้นางมาเหยียบหัวข้าหรอกจดจำเอาไว้”
เพล้ง! หยางจงหมิงปาไหสุราลงพื้นแตกกระจายด้วยเพราะมีโทสะเพียงแค่คำพูดของฮูหยินที่ตนนั้นมอบให้ เสียงคำรามดังก้องขึ้นมา กล่าวด้วยท่าทางยโสยิ่งนัก “จะยินดีหรือไม่ มันไม่เกี่ยวกับเจ้า ข้ามีวิธีทำให้นางกลับมาเป็นของข้าได้ก็แล้วกัน”
ผู้ถูกกล่าวถึงนั้น ยามนี้กำลังกล่อมเจ้าเด็กตัวดีนอนที่ตำหนักรับรองปีกขวาของตนเอง โดยมีท่านอ๋องนั่งเหม่อมองสตรีที่น่ารักและจิตใจอารี เด็กตัวเล็ก ๆ เพียงเท่านี้นางกลับดูแลและอบรมให้เขาเป็นเด็กดีขึ้นมาในเวลาอันรวดเร็ว
เขานั่งท่าทางดูจะสบายอกสบายใจเหลือเกิน เมื่อเห็นว่าลูกชายนั้นหลับสนิท คิดจะอุ้มเขากลับเรือนรับรองที่ปีกซ้าย จริง ๆ พระตำหนักของเขาอยู่ในเขตวังหลวง แต่ทว่าห่างจากพระตำหนักของไทเฮาพอสมควร เห็นว่าเรือนรับรองปีกซ้ายยังว่าง จึงได้ยัดตนเองกับลูกชายพักที่เรือนปีกซ้ายเสีย
เขาเดินมายืนใกล้ ๆ ท่านหญิง เพียงแค่ใกล้ชิดกันขนาดนี้เขาได้กลิ่นหอมอ่อน ๆ จากกายนาง กลิ่นนี้ช่างทำให้เขารู้สึกผ่อนคลายนัก ทอดสายตามองคนหวานล้ำอีกครา จากนั้นจึงได้กล่าวกระซิบถามนางเบา ๆ เกรงว่าเฉิงจื่อรุ่ยจะตื่นขึ้นมาก่อน
“เจ้าสนจะมาเป็นมารดาของรุ่ยเอ๋อร์หรือไม่ เป็นหวางเฟยของข้า” เขาทำสีหน้าเคร่งขรึมพลางต้องการคำตอบจากโฉมงาม
หลัวเนี่ยเจินยิ้มเหี้ยมขึ้นมา “ข้าไม่สนใจ และไม่คิดจะสนใจด้วยเจ้าค่ะ ท่านอาชินอ๋อง” นางกล่าวขึ้นมา ด้วยเพราะนางกับเขาห่างกันตั้งหลายปี และเน้นย้ำคำว่าท่านอาให้เขาได้ยินชัด ๆ เต็มสองรูหู
คำพูดนี้เสียดแทงใจเขานัก เขาอายุเกือบจะสี่สิบ เพียงแค่สามสิบเก้าเท่านั้น นางกล่าวเช่นนี้ทำให้เขารู้สึกอยากเอาชนะนางเหลือเกิน เขายกยิ้มที่มุมปากแววตานั้นดูดุร้ายราวกับพยัคฆ์กำลังจะตะครุบเหยื่อ และเหยื่อมิใช่ใครที่ไหน แต่เป็นท่านหญิงหลัวเนี่ยเจินที่กระตุกหนวดเสือเข้าให้
นางกำลังแหย่เสือหลับ หากจะให้จับกดเตียง คงลุกไม่ขึ้นไปอีกหลายวัน ตัวเล็ก ๆ เช่นนาง ใบหน้าน่ารักพริ้มเพราเช่นนี้ มีหรือนางจะไม่สวยบาดตาบาดใจใครเขา นางสวยไปหมดและทำให้เขาอยากจะครอบครอง อยากจะเอาชนะนาง อยากจะทำให้นางเป็นมารดาของลูกชายเสียจริง ๆ
แววตากรุ้มกริ่มดูเจ้าเล่ห์อย่างไรชอบกล น้ำเสียงทุ้มต่ำแต่ช่างดูไพเราะรื่นหู “เช่นนั้นให้ท่านอาอย่างข้า สอนเรื่องจูบกับหลานสาวได้หรือไม่เล่า ในเมื่อในห้องนี้มีเพียงแค่สองเรา เช่นนั้นแล้วจะได้ไม่ต้องกล่าวเรียกท่านอา แต่เรียกท่านพี่แทน”