ตอนที่ 10 พบพี่สาว
สีหน้าของหลัวเนี่ยเจินนั้นดูแดงก่ำทีเดียว เพราะคำพูดของท่านอ๋องน้อย กล่าวออกมาว่าให้บิดาอุ้มนางกลับพระตำหนักของท่านยาย นางแทบจะล้มทั้งยืน ด้วยคาดไม่ถึงว่าเจ้าเด็กน้อยไร้เดียงสา จะมีฝีปากที่กล้าหาญเช่นนี้
“ท่านหญิงเรากลับตำหนักก่อนดีหรือไม่เจ้าคะ ออกมานานเช่นนี้เกรงว่า” อาชุนกล่าวขึ้นมาเห็นว่าเวลานั้นล่วงเลยเกือบจะครึ่งชั่วยามแล้ว เกรงว่าไทเฮาจะกล่าวตำหนิว่าหนีเที่ยวเตร่ด้านนอก หากเกิดเรื่องร้าย ๆ ขึ้นมาจะทำอย่างไร ข้างกายก็มีเพียงแค่นางคอยดูแลไม่มีองครักษ์เฝ้าติดตามอีกด้วย
“เดี๋ยวข้าซื้อขนมไปฝากท่านยายก่อน ในวังมีแต่เครื่องเสวยจืดชืด อีกอย่างขนมข้างนอกช่างอร่อยนัก ข้าอยากกิน” ใบหน้าน่ารักเบิกบาน กล่าวด้วยน้ำเสียงอันสดใส ท่าทางของนางช่างดูน่ารักน่าเอ็นดู
เฉิงจื่อรุ่ยเห็นน้ำตาลปั้น จึงอยากจะลิ้มลองเลยเรียกมารดาเข้าให้ “ท่านแม่ขอรับ”
นางขานรับ “ว่าอย่างไร” พอนึกได้ว่านางหาใช่มารดาเจ้าตัวแสบ “ท่านอ๋องน้อย ต่อไปห้ามเรียกท่านแม่เข้าใจหรือไม่” เสียงหวาน ๆ กล่าวขึ้นมา พลางทำให้เจ้าตัวแสบเบะปากดวงตาของเขาเริ่มมีม่านน้ำตาแห่งความน้อยใจเข้ามาแทนที่
หลัวเนี่ยเจินเห็นท่าไม่ดี ไม่อยากให้เจ้าเด็กน้อยเอาแต่ใจร้องไห้ “ท่านแม่ก็ท่านแม่” ในที่สุดนางก็แพ้น้ำตาของเด็กผู้ชาย หากเป็นเด็กผู้หญิงนางก็พ่ายแพ้เหมือนกัน
เฉิงจื่อหยางแทบจะกลั้นหัวเราะไม่ไหว นั่นเพราะไม่เคยพานพบสตรีใดแปลกประหลาด เข้ากับเด็กง่ายดายเช่นนี้มาก่อน เขาจึงให้ความสนใจและความสำคัญกับนาง ในเมื่อลูกชายหมายตามารดาแล้ว บิดาจะขัดได้อย่างไรกัน
“ท่านอ๋องหัวเราะอะไรกัน” ตอนนี้นางไม่มีอารมณ์จะหัวเราะขบขันเสียด้วยซ้ำ อยากจะร้องไห้เสียมากกว่า อายุเพียงแค่สิบแปดกลับถูกเด็กน้อยเรียกเป็นมารดา ผู้คนเดินผ่านไปมาต่างก็กระซิบกระซาบกัน นางนึกอับอาย จะเอาหน้าไปไว้ที่ไหนกัน หัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก เหตุใดนางจึงได้ถึงคราวเคราะห์ ถูกเจ้าเด็กน้อยคนนี้แอบอ้างเป็นลูกด้วยนะ
“ข้าไม่ได้หัวเราะเจ้าก็แล้วกัน สำคัญตนผิดไปหรือไม่” เฉิงจื่อหยางทำตีหน้ามึน ๆ ไม่เหลียวมองเด็กสาวที่หน้าตาคว่ำเข้าให้ นางก็เหมือนเด็ก ๆ เอาแต่ใจ แต่กลับพ่ายแพ้ต่อเจ้าลูกชายตัวดี
จื่อรุ่ยเห็นน้ำตาลปั้น รีบชี้มือจะเอารูปนก เนี่ยเจินชี้รูปนกถูกปั้นขึ้นไม้เอาไว้แล้ว เห็นสีหน้าของท่านอ๋องน้อยกำลังน้ำลายไหลจึงได้ถามขึ้นมา “อยากได้อันนี้ใช่หรือไม่ มาพี่สาวจะซื้อให้เอง” นางลองย้ำดูสิเขาจะทำอย่างไร
“ท่านแม่ขอรับหาใช่พี่สาวไม่” จื่อรุ่ยก็ไม่ยอม นางจะต้องเป็นมารดาของเขาเท่านั้น
หลัวเนี่ยเจินไม่รู้จะกล่าวอย่างไร ยอมยกธงขาวพ่ายแพ้แต่โดยดี ยังถอนหายใจไปหลายครั้งหลายหน ผู้ติดตามของท่านอ๋องนั้นได้เดินกลับไปยังพระตำหนักในวังหลวงแล้ว คงเหลือเพียงแค่ท่านอ๋องและลูกชายตัวก่อกวน รวมถึงอาชุนที่เดินติดตามดูแลเจ้านายไม่ห่าง
“อยากได้อะไรอีกหรือไม่” เนี่ยเจินยกขนมให้ท่านอ๋องน้อยแล้ว เขาเบิกบานขึ้นมาทันที มือป้อม ๆ ของเขายกขึ้นโบกไปมา ส่ายหน้าเบา ๆ ยามนี้เขาดูน่ารักยิ่งนัก จนทำให้เนี่ยเจินอดใจไม่ไหว ดึงแก้มของเขาเบา ๆ พลางกล่าวขึ้นมาด้วยความเอ็นดู “เห็นหรือไม่เวลายิ้มเจ้าช่างน่ารักจริง ๆ”
ไม่เพียงแค่เจ้าเด็กตัวก่อเรื่องน่ารัก ท่านอ๋องยังมองนางว่าน่ารักด้วยเช่นเดียวกัน ยามนางระบายยิ้มช่างดูสดใสเบิกบาน ราวกับนางกำลังวิ่งเล่นในสวนดอกไม้ เขาถึงขึ้นละเมอกลางวันทีเดียว เมื่อเห็นว่าหญิงสาวคนนี้มีเสน่ห์ล่อลวงใจเขาเข้าให้ นับจากที่พระชายาหายตัวไป เขาไม่เคยรักใครได้อีกเลย
“ที่แท้ก็นึกว่าใคร น้องรองเองหรอกหรือ สบายดีหรือไม่ หลังจากเจ้าหย่ากับแม่ทัพหยางแล้ว ไม่เห็นกลับจวนตระกูลไป๋” เหม่ยจูพบน้องสาวโดยบังเอิญนางนั่งอยู่ในร้านน้ำชา เมื่อเห็นน้องสาวต่างมารดากำลังหัวเราะขบขัน ช่างดูขัดหูขัดตานางนัก ทำให้นางได้รับความอับอาย แต่อีกฝ่ายไม่สะทกสะท้านกลับดูมีความสุข
เมื่ออดใจไม่ไหวจึงได้ลุกพรวดออกจากร้านน้ำชา เดินตรงมายังน้องสาวในทันที เพื่อจะต่อว่าอีกฝ่ายหมายให้นางได้รับความอับอายเสียบ้าง มิใช่หน้าทนและหน้าด้านยืนกับชายอื่นและยังมีลูกอีกต่างหาก ช่างน่าสมเพชนัก นางยิ้มเหยียดหยันขึ้นมา “ที่แท้เจ้าก็มีชู้นี่เอง ไม่ชอบบุรุษมากความสามารถ แต่กลับชมชอบเป็นสตรีหน้าด้านไร้ยางอายแย่งชิงสามีผู้อื่น”
“พี่ใหญ่ท่านจะพูดอะไรหัดใช้สมองให้มากกว่าปาก หากพูดมากอีกครั้งไม่แน่ว่าข้าซึ่งเป็นท่านหญิงอาจจะช่วยท่านไม่ได้” นางหาได้สนใจเสียงนกเสียงกาช่างส่งเสียงได้น่ารำคาญนัก นางเพียงแค่หวาดกลัวเกรงว่าท่านอ๋องมีโทสะขึ้นมาเมื่อไหร่ ไม่แน่บิดาของนางอาจจะต้องโทษด้วย ข้อหาไม่รู้จักอบรมสั่งสอนบุตร
“เจ้านะสิ สตรีวิปลาสหรืออย่างไรกัน ข้ารึอุตส่าห์ยกคู่หมั้นของข้าให้เจ้าแต่งงานแทน มิหนำซ้ำยังหย่ากับเขาแค่สี่วัน ท่านแม่ท่านพ่อกลัดกลุ้มใจพานทำให้กินไม่ได้นอนไม่หลับ ไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน ตัวข้าก็ถูกตำหนิไปด้วยก็เพราะเจ้า!”
ไป๋เหม่ยจูหน้าบิดเบี้ยวเต็มไปด้วยความอึดอัดใจคับแค้นใจ ทำไมกันนางจึงได้ดูด้อยค่ากว่าน้องสาวต่างมารดา หย่าร้างกับสามีเป็นที่หัวเราะขบขัน แต่ไม่เท่ากับว่ายามนี้น้องสาวนั้นเป็นที่โปรดปรานของไทเฮาและหวงตี้แห่งแคว้นเฉิง
และตัวนางเล่าเป็นถึงบุตรีของฮูหยินเอกยังเทียบไม่ได้กับน้องสาวที่ไร้ค่าเป็นเพียงแค่บุตรสาวของฮูหยินรอง แต่วันนี้นางกลับเชิดหน้าอยู่เหนือคำครหา ผิดกับตนเองออกไปโรงน้ำชา โรงงิ้ว หรือกระทั่งสถานที่เล่านิทาน ยังมีเรื่องของน้องสาวเป็นเรื่องเล่าอย่างสนุกปาก
จะไม่ให้นางอับอายได้อย่างไรกัน บางคนก็พูดกระทบกระเทียบจงใจใส่ความนางอีกต่างหาก จะไม่ให้โกรธไม่ให้แค้นได้อย่างไรกัน ในเมื่อนางอยู่เหนือกว่าน้องสาว แต่บัดนี้นางกลับดูต้อยต่ำกว่าอีกฝ่าย ในใจจึงมีแต่ความริษยา
“ข้อแรกจะเอาหัวไว้ที่ไหนก็บนบ่า หากเอาไว้ไม่ได้ ข้าจะกราบทูลท่านยายสั่งตัดคอ อย่างที่สองท่านอับอาย มันเกี่ยวข้องอันใดกับข้า จะอายก็เรื่องของท่านหากหน้าบางนักก็นะ หรือไม่เช่นนั้นก็เอาผ้าคลุมก่อนออกจากจวนสิ เรื่องแค่นี้มิเห็นต้องโง่งม สมองของท่านกลวงเป็นรูหรืออย่างไรกัน”
ปกตินางจะไม่ต่อว่าพี่สาว แต่ยามนี้นางหาใช่แซ่ไป๋ไม่ นางแซ่หลัวเท่ากับตัดขาดตระกูลไป๋ แม้บิดาจะรักใคร่ แต่บางอย่างยังคลุมเครือไม่กระจ่างแจ้งเสียที
เจ้าตัวแสบร้อนใจนัก ตีไหล่บิดาเบา ๆ พลางอยากจะให้ช่วยมารดา แต่บิดาทำหน้านิ่ง ๆ ไม่รู้สึกรู้สาอันใด เขาเป็นเด็กยังโกรธแทนเลย ท่านอ๋องรู้แล้วว่าเจ้าลูกชายตัวดีอยากจะให้ทำอะไร ดังนั้นเขาจึงกล่าวขึ้นมาว่า “อยากให้พ่อช่วยมารดาเจ้าหรือไม่ เช่นนั้นเรียกท่านพ่อให้ชื่นใจก่อน”
อารามร้อนใจ จึงได้รีบร้อนกล่าวขึ้นโดยไม่ลังเลสักนิด “ท่านพ่อ” เพียงเท่านั้น ท่านอ๋องดีใจเป็นอย่างยิ่งในที่สุด หนึ่งปีลูกชายก็เรียกบิดาเสียที นับว่าสตรีนางนี้มีอิทธิพลต่อเจ้าตัวแสบไม่น้อย เห็นแก่ความดีของนาง จะออกปากช่วยจัดการสั่งสอนให้ก็แล้วกัน
“แท้ที่จริง พี่น้องช่างแตกต่างกันนัก ผู้เป็นพี่สาวแทนที่จะห่วงใยความรู้ แต่บังเกิดความริษยาตาร้อนจึงได้รีบร้อนโวยวายป่าวประกาศ คนที่ไร้ยางอายไม่ใช่น้องสาวของเจ้า แต่เป็นตัวของเจ้าเองต่างหากที่มีจิตใจคับแคบและมืดบอด”
ออกหน้าช่วยพูดเพราะลูกชายตัวดีกล่าวเรียกจนชื่นใจ แต่เขาไม่ชอบสตรีเช่นนี้อยู่แล้ว จิตใจช่างดูคับแคบเสียจริง อิจฉาริษยากระทั่งน้องสาวตนเอง ไม่รู้ว่าตระกูลไป๋ลำเอียงหรือไม่ พี่สาวแม้ดูภายนอกจะสง่างาม แต่จิตใจกลับหยาบช้าสกปรก
ไป๋เหม่ยจูหน้าดำหน้าแดงคาดไม่ถึงว่าจะมีใครกล้าออกโรงปกป้องน้องสาวตัวดีอีก เมื่อเป็นเช่นนี้แล้วจึงกล่าวขึ้นมาอีกครั้งเต็มไปด้วยความคับแค้นและชิงชัง “เจ้ามันช่างเลือกดีจริง ๆ ได้สามีแถมลูก ดูเหมาะสมกับหญิงหม้ายมีตำหนิสามีทอดทิ้ง ช่างน่าสมเพช” ดวงตาของนางมีแต่เพลิงโทสะคับแค้น
“คนที่น่าสมเพชเป็นพี่ใหญ่เสียมากกว่า อีกอย่างบุรุษมีลูกแล้วจะเป็นเช่นไร ไม่เกี่ยวกับท่าน ขอเพียงแค่เขาเป็นคนดี และรักข้า ต่อให้มีลูกเป็นสิบ หากเขารักข้าก็ยินดีแต่ง อย่าว่าแต่ข้าเลย ท่านเล่าจับคุณชายบ้านใดเอาไว้กันเล่า หาให้มันดีกว่าข้าให้ได้ก็แล้วกัน” กล่าวจบก็ไม่ฟังเสียงอีกฝ่าย นางเดินเชิดหน้าไปด้วยความหงุดหงิด
ปากนางยังร้ายไม่พอต้องไปฝึกอีกให้มากเข้าไว้ เพียงแค่นี้นางแทบจะเป็นลมแล้ว พูดอะไรยาว ๆ ช่างเหนื่อยนัก พลางเดินมาถึงร้านน้ำชาด้วยเพราะคอแห้ง อาชุนแทนที่จะตามนางมา แต่ทว่ากลับหายตัวไปไหนกันเล่า ปล่อยให้นางต้องเผชิญหน้ากับนางมารร้ายไป๋เหม่ยจูเพียงลำพัง
เสี่ยวเอ้อร์ เดินนำน้ำชามาให้ เนี่ยจินรินน้ำชากำลังอุ่นพอเหมาะดื่มทันทีสองถ้วย “ท่านพ่อรินน้ำให้ท่านแม่เร็ว ๆ สิขอรับ” จื่อรุ่ยกำชับอีกครั้ง เมื่อเห็นว่าบิดาไม่ได้ความเอาเสียเลย ต้องให้เขาพูดอีกกี่ครั้ง ว่านางคือท่านแม่ของเขา
“พ่อนะรึจะต้องรินน้ำชาให้แม่เจ้า” เขาถึงกับหน้าเหวอไปทันใด มีแต่คนคอยดูแลเขา เจ้าลูกชายตัวดีกลับสั่งให้เขาดูแลนาง ช่างดีแสนดีอะไรเช่นนี้
“ก็ใช่นะสิ หากท่านพ่อไม่ทำจะมีท่านพ่อไว้ทำไมกัน เช่นนั้นข้ามีท่านแม่คนเดียวก็ได้” เขาหน้าบึ้ง นั่งอยู่กับมารดา ตัวเขาเล็ก ๆ เพียงแค่นี้ดูแลท่านแม่ไม่ได้ ย่อมต้องให้ท่านพ่อดูแลแทนไปก่อน
ท่านอ๋องถึงกับขึ้นเสียงดุดัน “เฉิงจื่อรุ่ยเจ้าชักจะมากเกินไปแล้วนะ”
เจ้าตัวดีกอดอกหน้าบึ้งตึงงอเง้าใส่บิดาทันใด “ท่านพ่อจะทำหรือไม่” เขาอุตส่าห์เปิดปากพูดกับท่านพ่อแล้ว หากไม่ทำเขาจะไม่พูดอีกตลอดไป
ท่านอ๋องเป็นฝ่ายยินยอม “ทำก็ได้ สงสารหรอกนะ” รินน้ำชาให้แม่สาวน้อยที่กำลังเดือดดาล คิดไม่ถึงเวลานางกรุ่นโกรธแล้วยังดูงดงาม นางโกรธใครเป็นจริง ๆ ใช่หรือไม่ ช่างไม่เหมือนใครเสียจริง ๆ “ดื่มน้ำชาดับอารมณ์สักเล็กน้อย หิวหรือไม่เล่า เมื่อครู่พูดไปเยอะลมออกหมดตัวแล้วกระมัง ตัวเล็ก ๆ เพียงเท่านี้จะสู้ใครเขาไหว”
“ปกติท่านน้าอาชุนจะออกหน้าดูแลข้า” นางกำลังระงับความกรุ่นโกรธ เมื่อท่านอ๋องกล่าวถามนางย่อมบอกความจริงว่าเป็นเช่นนั้น เพราะนางไม่อยากต่อปากต่อคำกับพี่สาว และไม่เคยชนะอีกฝ่ายแทบจะพ่นไฟใส่ นางก็ทำได้เพียงแค่อ้าปากพูดไม่ทัน
“ต่อไปนี้เห็นทีว่าเจ้ากับข้าคงต้องลงเรือลำเดียวกัน” เฉิงจื่อหยางกล่าวแย้มยิ้ม พลางยกถ้วยน้ำชาขึ้นมาจิบ ท่วงท่าช่างดูองอาจและสง่างามนัก
“เพราะเหตุใดกันเจ้าคะ ท่านอ๋องกับข้าหาใช่รู้จักมักคุ้นกันไม่” นางยังคงงุนงง เหตุใดจะต้องเป็นเช่นนั้นเพราะไม่เข้าใจเจตนาของท่านอ๋องอยู่ดี
“ก็เพราะเรามีลูกด้วยกันอย่างไรเล่า” เขากล่าวเย้าแหย่ให้นางหายกรุ่นโกรธ แต่ก็จริงเพราะเฉิงจื่อรุ่ยเจ้าตัวแสบหมายตามารดาเอาไว้แล้ว เขาจะปฏิเสธได้อย่างไรกัน หากลูกชายรักใครเขาก็ยินดีจะรับสตรีนางนั้นมาเป็นพระชายา เพื่อให้ลูกชายของตนนั้นกลับมาเป็นเหมือนเดิมอีกครั้ง
เขาอยากเห็นลูกชายร่าเริงสดใสและเป็นเด็กช่างพูดคุยซักถาม มิใช่เป็นเด็กเอาแต่ใจร้องโวยวายทำลายข้าวของพังเสียหายแทบทั้งตำหนัก
เนี่ยเจินแค่นหัวเราะ เขากำลังยั่วยุให้นางโมโหอีกหรืออย่างไรกัน “ตลกมากเจ้าค่ะ ท่านอ๋องน้อยเป็นลูกชายของท่าน แค่เขาเรียกข้าว่าท่านแม่ แล้วท่านอ๋องจะถึกทักเช่นนี้ได้อย่างไรกัน”
สีหน้าเรียบเฉย พลางสะกิดลูกชายพร้อมกับยักคิ้วให้เจ้าตัวแสบได้รู้ตัว หวังว่าจะได้ช่วยบิดาอีกแรง “รุ่ยเอ๋อร์เรียกเจ้านางว่าท่านแม่ ดังนั้นแล้วนางก็เป็นภรรยาของพ่อ ใช่หรือไม่”
“ใช่ขอรับ ท่านแม่คือท่านแม่ของข้า คืนนี้ข้าขอนอนด้วยนะขอรับ”
“ไม่ได้” เนี่ยเจินแทบจะเป็นลม ไม่เคยพบเด็กที่ไหนสร้างปัญหาได้ขนาดนี้มาก่อน
“ต้องได้ขอรับ ท่านแม่นอนตำหนักท่านย่า เช่นนั้นคืนนี้ลูกจะไปนอนด้วย ท่านพ่อก็ไปด้วยดีไหมขอรับ”