บทที่ 25
“ไม่รังเกียจ ไม่รังเกียจเลย ท่านป้าสอนข้าได้หรือไม่!” เสวียนหนิงอันขัดขึ้นอย่างมีความหวัง ดวงตาโศกเศร้าเปลี่ยนกลับมาทอประกายวาววับน่ามองอีกครั้ง
“ย่อมได้เจ้าค่ะ แต่ถ้าวันใดฮูหยินน้อยไม่เชื่อฟัง ข้าคงต้องถอนตัว…”
“ข้าจะเชื่อฟัง ข้าจะไม่เถียงท่านเลยสักคำ!”
“เช่นนั้นเริ่มจากการไม่พูดขัดคู่สนทนา ฮูหยินน้อยทำได้หรือไม่เจ้าคะ”
เสวียนหนิงอันเม้มปาก พยักหน้าแรง ๆ ไม่พูดขัดซุนหยาที่ตกลงแล้วว่าจะช่วยให้คำแนะนำกับนาง หลังจากผ่านไปเกือบหนึ่งเค่อ ซุนหยาจึงพอใจกับการทดสอบความอดทนของฮูหยินน้อย ยอมเอ่ยคำแนะนำในที่สุด
“เรื่องที่ต้องทำความเข้าใจยังพอรอได้ สำคัญตอนนี้คือนายท่าน ฮูหยินน้อยทราบหรือไม่เจ้าคะว่าควรทำอย่างไร”
เสวียนหนิงอันลุกขึ้นยืนอย่างเชื่องช้าราวกับต้องการถ่วงเวลา ทว่าความจริงแล้วนางกำลังคิดอยู่ในใจว่าควรพูดกับเขาอย่างไรดี
“รักแล้วก็ต้องแสดงให้เห็นว่ารักด้วยเจ้าค่ะ” ซุนหยาเห็นนายหญิงคล้อยตามจึงกล่าวจี้ใจนางต่อทันที “หากฮูหยินน้อยยอมลดทิฐิลงบ้าง นอกจากจะสมหวังในเรื่องชีวิตคู่แล้ว บิดาของฮูหยินน้อยก็จะไม่ถูกพาดพิงถึงในแง่ร้าย ว่ามิได้อบรมบุตรสาวเหมือนครั้งก่อนอีกด้วยเจ้าค่ะ”
“เข้าใจแล้ว” นางเร่งฝีเท้าออกจากเรือนเล็กโดยไม่รอช้าอีก
แสงสว่างจากตะเกียงทำให้เสวียนหนิงอันมั่นใจว่าบุรุษที่นางต้องการพบยังอยู่ในห้องหนังสือ หลังจากยืนคิดอยู่ครู่หนึ่งก็เอ่ยเรียกออกไป
“ท่านอาเจ้าคะ” นางเห็นแสงในห้องนั้นวูบไหวคล้ายมีคนขยับตัว ทว่ามีเพียงความเงียบเท่านั้นที่ตอบกลับมา
“ท่านอาเจ้าคะ หนิงเอ๋อร์ผิดไปแล้ว… หนิงเอ๋อร์เสียใจที่ไม่เชื่อฟัง ท่านอา ทำตัวไร้มารยาท หนีออกจากบ้านจนทำให้เจียอีต้องลำบากรับโทษไปด้วย ท่านอาโกรธจนไม่อยากพบหน้า ไม่อยากพูดคุยด้วย นับว่าเป็นเรื่องสมควรแล้วเจ้าค่ะ”
เสวียนหนิงอันมิเคยง้อผู้ใดยืดยาวเช่นนี้แม้กระทั่งบิดา แต่กระนั้นก็ยังไม่ได้ผลลัพธ์ตามที่ต้องการ มีเพียงความเงียบสงบและสายลมที่ทำให้เรือนร่างของนางหนาวสะท้านจนเผลอลูบต้นแขนของตนเบา ๆ นางรอจนกระทั่งฟ้ามืดจึงกล่าวออกไปอีกครั้ง
“หนิงเอ๋อร์เข้าใจแล้วว่าตนเองดื้อด้านและเอาแต่ใจเป็นที่สุด ทำให้ท่านอาปวดหัวนับครั้งไม่ถ้วน หากท่านอาไม่หายโกรธวันนี้ก็มิเป็นไร พรุ่งนี้ หนิงเอ๋อร์จะมาใหม่…”
เสวียนหนิงอันชะงักเมื่อประตูห้องหนังสือเปิดกว้าง พร้อมกับเจ้าของร่างสูงที่เดินตรงมาหานางอย่างรวดเร็ว ในมือถือของบางอย่างมาด้วย
“ท่านอา ข้าขอโทษ…”
เสวียนหนิงอันเอ่ยคำว่าขอโทษออกมาอย่างง่ายดาย ทั้ง ๆ ที่ก่อนหน้าปิดปากเงียบไม่ยอมพูดจา แต่พอเห็นสีหน้าเฉยชาแฝงความเสียใจของเขา นางกลับไม่รู้สึกว่าการขอโทษเป็นเรื่องยากดังเดิม
“ขอโทษ ขอโทษ ขอโทษ ต่อให้ท่านอาไม่ยอมพูดกับข้า ไม่อยากมองหน้าข้า แต่ข้าก็ยังยืนกรานว่าจะขอโทษท่านไปเรื่อย ๆ จนกว่าท่านจะหายโกรธและยอมให้อภัย”
“อากาศเย็นแล้ว เจ้าเป็นคนหนาวง่าย ออกนอกเรือนควรสวมเสื้อคลุมกันหนาวด้วย” เขาคลี่เสื้อคลุมของตนบนไหล่บาง ไม่สบประสานดวงตากลมโต ไม่ตอบรับหรือปฏิเสธคำขอโทษที่นางกล่าวออกมาซ้ำ ๆ
เขาไม่ต้องการให้ทุกอย่างง่ายจนเกินไป
“เจ้าค่ะ หนิงเอ๋อร์จะเชื่อฟังท่านอา… ท่านอาเจ้าคะ เจียอีถูกโบยเพราะมีนายไม่ดีเช่นข้า หากวันใดท่านอาโกรธน้อยลงแล้ว อนุญาตให้ข้าไปเยี่ยมนางได้หรือไม่เจ้าคะ”
“อยากทำอันใดก็ตามใจ บังคับใจไปสุดท้ายเจ้าก็หาทางไปพบนางอยู่ดี”
“หากท่านอาไม่อนุญาต หนิงเอ๋อร์ย่อมไม่กล้าขัดคำสั่งเจ้าค่ะ”
“หึ! อย่างเจ้าหรือจะเชื่อฟังใครได้ ยิ่งเป็นข้าด้วยแล้วคงสิ้นหวัง”
“หนิงเอ๋อร์แต่งกับท่านอาแล้ว ย่อมต้องเชื่อฟังสามี…”
“สามีชราเช่นข้าน่ะหรือจะทำให้เจ้าเชื่อฟังหรือพูดจาดีด้วยได้ เสวียนหนิงอัน คำพูดของเจ้าล้วนเชื่อถือไม่ได้ ปากบอกว่าจะปรับปรุง แต่กลับก่อปัญหาไม่เว้นวัน… เสวียนหนิงอัน เจ้ารู้หรือไม่ว่าเหตุใดข้าจึงไม่อนุญาตให้เจ้าออกนอกบ้านหลังนี้”
เสวียนหนิงอันส่ายหน้า ไม่พูดขัดตามที่ซุนหยาสอน
“หากมีผู้ใดจดจำได้ว่าเจ้าคือบุตรสาวของตวนอ๋องเฉินฟาหยางแล้วสืบเรื่องราวต่อจนพบว่าเจ้าเป็นภรรยาลับของพ่อค้าที่อายุมากกว่าถึงยี่สิบปี เจ้าว่าผู้ที่เสียหายจากเรื่องนี้คือข้าที่เป็นพ่อม่ายหรือเจ้าที่เป็นบุตรสาวของตวนอ๋องกันเล่า” หลี่จินหมิงถามอย่างอ่อนใจ
“ใช่อยู่กระดาษย่อมห่อไฟไม่มิด ปกปิดความจริงเนิ่นนานไม่ได้ แต่การไม่ขัดคำสั่งก็ยังพอชะลอไฟนั้นได้มิใช่หรือ”
“หนิงเอ๋อร์สำนึกผิดแล้วเจ้าค่ะ จากนี้ไปข้าขอให้คำสัตย์สัญญาว่าจะทำหน้าที่ภรรยาให้ดี ไม่ก่อเรื่องให้ท่านอาต้องปวดหัวอีกแล้วเจ้าค่ะ”
เสวียนหนิงอันทราบดีว่าเขามิเชื่อ จึงกล่าวสำทับอีกประโยค
“ภายในเก้าเดือนนี้หากข้าทำให้ท่านอาพอใจไม่ได้ ข้าเสวียนหนิงอันจะคืนอิสรภาพให้กับท่าน เดินทางกลับตำหนักเยว่ฉี ไม่อยู่รบกวนบุรุษที่ถูกบังคับให้มาเป็นสามีต้องเหนื่อยใจอีกแล้วเจ้าค่ะ”
เสวียนหนิงอันกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงที่หมายมาดยิ่งนัก
