บทที่ 22
ทีแรกเสวียนหนิงอันไม่คิดว่าคำสั่งของบิดาจะสร้างความเจ็บปวดได้ เนื่องจากความคิดเรื่องการเลิกรากับเขาไม่เคยมีอยู่ในสมอง สิ่งที่นางต้องทำมีเพียงรอให้ครบสิบเดือน หาฤกษ์แต่งงานและทำทุกอย่างให้ถูกต้องตามคำสั่งของท่านพ่อ จากนั้นก็จะติดต่อตำหนักเยว่ฉีได้ตามเดิม กลับไปเยี่ยมครอบครัวได้อย่างที่ต้องการ
ทว่าเวลาผ่านไปเดือนกว่าแล้วทุกอย่างกลับไม่เป็นไปตามที่คาดหวัง ความสัมพันธ์ฉันสามีภรรยายิ่งมิต้องกล่าวถึง แค่พูดคุยธรรมดายังทำไม่ได้ แล้วไหนจะเรื่องที่เจียอีบอกว่ามีสตรีมากหน้าหลายตาแวะเวียนมาหานั่นอีก
นางยังจำได้ดีว่ายามอยู่ต่างเมือง มีสาวงามแวะเวียนมาหาคุณชายหลี่จินหมิงบ่อยครั้งเพียงใด
ยามนั้นเสวียนหนิงอันและมารดาอยู่เรือนเล็กหลังบ้านของหลี่จินหมิง มีเพียงสวนสวยกั้นกลาง สองบ้านไม่ก้าวก่ายกัน มีเพียงท่านป้าเสี่ยวผิงกับท่านป้าเสี่ยวอันที่แวะมาช่วยดูแลนางและทำงานประจำวัน
เสวียนหนิงอันในวัยเด็กนั้นเข้าใจว่าตนไม่มีบิดา จึงเรียกเขาว่าท่านลุงหลี่ จวบจนท่านพ่อปรากฏตัวจึงได้เปลี่ยนไปเรียกท่านอาหลี่ หลังจากนั้นนางและมารดาก็ต้องกลับตำหนักเยว่ฉีเพราะการอยู่บ้านของบุรุษที่ยังไม่แต่งงานเป็นเรื่องไม่สมควร แม้ทั้งสองบ้านจะแยกเป็นสัดส่วน แต่ก็ยังอยู่ในรั้วเดียวกัน ทำให้นางได้เห็นและจดจำเรื่องราวที่ไม่ดี
‘หึ! เจ้าชู้ไม่เปลี่ยน!’
เสวียนหนิงอันจำได้ดีว่าตนลอบเข้าไปหาเขาถึงห้องนอนและพบสาวงามอยู่บนเตียง หลายครั้งมีมากถึงสองนาง ยังพอจำได้ด้วยว่าเขาออดอ้อนพี่สาวที่อยู่บนเตียงด้วยน้ำเสียงที่ไพเราะน่าฟัง ตอนนั้นนางยังเด็กจึงไม่เข้าใจว่าตนเห็นภาพที่ไม่เหมาะสม มาถึงตอนนี้เข้าใจทุกอย่างแล้วจึงเกิดความไม่พอใจและหึงหวงเกินบรรยาย ทั้งยังเกลียดตนเองที่มีความจำดีเกินควร
‘นายท่านเปรียบได้ดั่งขนมหวานสำหรับสาวแก่แม่ม่ายในเมืองหลวง ยิ่งยามอยู่ในร้านค้าเลี่ยงการพบปะผู้คนมากมายไม่ได้ด้วยแล้ว… เจียอีกลัวว่านายท่านจะหลงผิดไปเจ้าค่ะ’
หากปล่อยปละละเลยไม่สนใจ ไม่แน่ว่าเขาอาจพาพี่สาวทั้งหลายเข้ามาอาศัยอยู่ในบ้าน แม้ไม่กล้ามอบตำแหน่งภรรยาเพราะเกรงใจบิดาของนาง แต่ความคิดที่ว่าเขาอาจหลับนอนกับสตรีมากหน้าหลายตาก็ทำให้ภรรยาลับเช่นนางทุกข์ใจมากพอแล้ว
“ฮูหยินน้อยอยากไปที่ใดหรือเจ้าคะ” เจียอีถามหลังจากช่วยนายหญิงแต่งตัวด้วยชุดที่เหมาะสม ดูแล้วไม่งดงามจนตรึงสายตาคนมอง แต่เพื่อความปลอดภัยนางจึงหยิบหมวกปิดบังใบหน้าติดมาด้วย
“ร้านค้าสกุลหลี่ ข้าอยากไปร้านค้าสกุลหลี่”
“ฮูหยินน้อยไม่กลัวนายท่านเห็นแล้วจะโกรธยิ่งกว่าเดิมหรือเจ้าคะ”
เจียอีอยากบีบคอตนเองให้ตาย ออกไปข้างนอกนับว่าเป็นเรื่องเสี่ยง แต่การแวะเวียนไปยังร้านค้าสกุลหลี่นั้นมิต่างจากการขุดหลุมฝังตนเอง
ไม่รอดแน่… เจียอีไม่รอดแน่แล้ว
“เจ้าหยิบหมวกมาด้วยแล้วจะกลัวอันใดเล่า” เสวียนหนิงอันฉวยหมวกในมือของสาวใช้มาสวม ก่อนเดินลัดเลาะไปยังประตูเล็กด้านข้างที่ไม่มีคนเฝ้า แต่ถึงมีคนเฝ้าก็คงไม่มีผู้ใดคิดห้ามเพราะอย่างไรนางก็อยู่ที่นี่ในฐานะภรรยา หาใช่นักโทษแต่อย่างใดไม่
เจียอีกระซิบว่านายท่านมีร้านค้ากว่ายี่สิบร้านในเมืองหลวงต้องดูแล แต่โดยมากจะประจำอยู่ที่ร้านค้าผ้าไหมที่ใหญ่ที่สุดในเมืองหลวง หลังจากเดินอย่างช้า ๆ อยู่เกือบหนึ่งเค่อ เสวียนหนิงอันก็พบว่าตนเองยืนอยู่หน้าร้านที่สามีนางเป็นเจ้าของแล้ว
ร้านซิงเยียน มีผู้คนเดินเข้าออกไม่หยุดพัก ภายในร้านแน่นขนัดชนิดที่เรียกว่าแทบไร้ทางเดิน บ่งบอกถึงความเป็นที่นิยมของคนในเมืองหลวงได้เป็นอย่างดี เสวียนหนิงอันสอดส่ายสายตาอยู่ครู่เดียวก็สังเกตเห็นว่าลูกค้าส่วนมากเป็นสตรี จึงเชื่อไปแล้วว่าเรื่องที่เจียอีพูดอาจมีความเป็นไปได้ถึงแปดส่วน
นางยังมิทันได้เข้าไปข้างในร้านก็พบสตรีสูงวัยท่าทางกระฉับกระเฉงหลายนางยืนสนทนากันอยู่ แต่ยังมิทันจับใจความได้ว่าพูดคุยเรื่องอันใด พวกนางก็พากันเดินเข้าไปในร้านซิงเยียนแล้ว
“ฮูหยินน้อยอย่าเข้าไปเลยนะเจ้าคะ หากนายท่านเห็นต้องเกิดเรื่องใหญ่แน่!” เจียอีร้องห้ามทั้ง ๆ ที่ไร้ความหวัง
“เจ้ารออยู่ข้างนอก ข้าจะเข้าไปตรวจสอบเอง”
เสวียนหนิงอันเดินเข้าร้าน แสร้งทำเป็นเลือกของไม่ห่างจากเหล่าสตรีสูงวัย หลังจากลอบฟังไม่กี่ประโยค นางก็ทราบในทันทีว่าพวกนางคือแม่สื่อ ที่ถูกว่าจ้างให้มาพูดคุยกับพ่อค้ารูปงามนามหลี่จินหมิง
สามีของเสวียนหนิงอันถูกทาบทามจับคู่เสียแล้ว!
