บทที่ 21
นอกจากจะเป็นสตรีประเภทโกรธแต่ไม่เอ่ยปาก ชอบเก็บความไม่พอใจไว้กับตนเองแล้ว เสวียนหนิงอันยังพบว่าตนมีนิสัยทำผิดแล้วไม่ชอบขอโทษด้วยอีกประการ หากพิจารณาให้ดีจะพบว่าบุคคลเดียวที่นางเคยเอ่ยปากขอโทษก็คือบิดา นอกเหนือจากนั้นล้วนเลี่ยงใช้คำอื่นที่มีความหมายน่าฟังทดแทน
‘เป็นข้าไม่ดีเอง’
‘ผิดไปแล้ว’
‘จะพยายามปรับปรุง’
แม้ทราบดีว่าเรื่องนี้ตนเป็นฝ่ายผิดเต็มสิบส่วน หาข้ออ้างอันใดมาบิดเบือนความจริงไม่ได้ แต่กระนั้นนางก็ยังนิ่งเฉย ไม่ยอมขอพบบุรุษที่ได้ชื่อว่าเป็นสามีเพื่อเอ่ยคำขอโทษแต่อย่างใด ทั้งส่วนลึกในใจยังเชื่อมั่นว่าเขาจะยอมอ่อนข้อให้กับนาง ทว่าเวลาล่วงเลยหลายวันเขากลับยังไม่ปรากฏตัว กระทั่งให้ซุนหยามาตามก็ไม่มีแล้ว
“ฮูหยินน้อยจะไม่ไปขอโทษนายท่านจริง ๆ หรือเจ้าคะ” เจียอีเป็นทุกข์กับเรื่องที่เกิดขึ้นอย่างมาก แต่เจ้าตัวกลับนอนทอดกายสบายอารมณ์ มองผีเสื้อบินไปบินมาหยอกล้อกันอยู่ที่ริมระเบียงอย่างมีความสุข
ใบหน้าของเสวียนหนิงอันเปื้อนยิ้ม ทว่าหัวใจห่อเหี่ยวกระวนกระวาย
“ข้าไม่ไป”
“แต่ฮูหยินน้อยทำไม่ถูกต้องนะเจ้าคะ”
“รู้แล้ว แต่ข้าไม่อยากขอโทษเขานี่” เสวียนหนิงอันตอบด้วยน้ำเสียงเกียจคร้านยิ่ง
“แต่ถ้าไม่เอ่ยปากขอโทษ นายท่านก็จะโกรธฮูหยินน้อยต่อไปเรื่อย ๆ ไม่แวะมาหาที่เรือนให้ฮูหยินน้อยปรนนิบัติ ไม่นอนร่วมเตียง ไม่ผูกสัมพันธ์ฉันสามีภรรยา…”
“พอแล้วเจียอี ข้าไม่อยากฟัง”
“ไม่อยากฟังก็ต้องฟังเจ้าค่ะ”
เจียอีทราบดีว่าบิดาของฮูหยินน้อยน่ากลัวเพียงใด แต่กระนั้นก็ยังทำใจกล้า กล่าวขัดใจออกไปอีกหลายคำ “หากไม่ทำความเข้าใจกันในเร็ววัน นายท่านอาจเบื่อหน่ายและเลือกบุปผางามที่ว่านอนสอนง่ายมาประดับเรือนได้นะเจ้าคะ”
“เจ้าหมายความว่า…” เสวียนหนิงอันหัวใจเต้นเร็ว เอ่ยถามทั้ง ๆ ที่เข้าใจเรื่องที่สาวใช้ต้องการสื่อชัดเจนดี
“โธ่! ฮูหยินน้อยเจ้าคะ ม่ายหนุ่มรูปงามฐานะร่ำรวยอย่างนายท่านเปรียบได้ดั่งขนมหวานสำหรับสาวแก่แม่ม่ายในเมืองหลวง ยิ่งยามอยู่ในร้านค้าเลี่ยงการพบปะผู้คนมากมายไม่ได้ด้วยแล้ว… เจียอีกลัวว่านายท่านจะหลงผิดไปเจ้าค่ะ”
“เจ้าคิดว่าเขาจะมีคนอื่นอย่างนั้นหรือ”
“หากฮูหยินน้อยยังดีกับนายท่านก็คงไม่น่ากังวลใจ แต่ในเมื่อตอนนี้ยังไม่ดี ยังไม่เข้าใจกัน โอกาสที่นายท่านจะสานสัมพันธ์กับสตรีอื่น…”
“ไม่ต้องพูดแล้ว” นางคิดใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่งก็ตัดสินใจได้แล้วว่าจะทำอย่างไรต่อ “เจียอี วันนี้อากาศดี เราไปเดินเล่นข้างนอกกันเถิด”
“เจ้าค่ะ ฮูหยินน้อย” เจียอียิ้มกว้าง พยักหน้ารับคำอย่างกระตือรือร้น ทว่ารอยยิ้มบนใบหน้าของนางหายไปทันทีที่ฮูหยินน้อยกล่าวว่าต้องการออกไปเดินเล่นที่ใด
“นอกบ้านหรือเจ้าคะ แต่นายท่านไม่อนุญาต…”
“ไปครู่เดียวเท่านั้น เจียอีอย่ากังวลนักเลย หรือว่าเจียอีไม่อยากเห็นข้ามีความสุขแล้ว”
เจียอีได้ยินเช่นนั้นก็รู้สึกว่าตนเปรียบได้ดังมดบนกระทะร้อน กระวนกระวายใจไม่เป็นสุข ยิ่งรู้ว่าฮูหยินน้อยตัดสินใจแล้วไม่เปลี่ยนแปลงโดยง่าย เปรียบได้ดั่งตะปูที่ตอกลงบนแผ่นไม้ไปแล้ว นางก็ยิ่งมิรู้ว่าควรต้องทำอย่างไร
“หากลำบากใจก็ไม่ต้องไป ข้าไปคนเดียวได้”
“ไปเจ้าค่ะ เจียอีไปด้วยเจ้าค่ะ”
หากปล่อยให้ฮูหยินน้อยออกนอกบ้านตามลำพังแล้วเกิดอันตราย นางคงไม่พ้นถูกตวนอ๋องเลื่องชื่อตัดคอแล้วสับร่างกายให้เป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยก่อนโยนให้อีกากิน แต่ถ้าออกไปแล้วนายท่านจับได้ อย่างมากที่สุดก็แค่ถูกโบยสักสิบไม้และอาจใช้เวลารักษาตัวสักครึ่งเดือน
‘เอาเถิด! ถูกโบยก็ยังดีกว่าถูกสับกระมัง!’
เจียอีตัดสินใจได้แล้วจึงช่วยฮูหยินน้อยเลือกเสื้อผ้าที่ดูธรรมดาอย่างที่สุด หลังจากใช้เวลาค้นหาอยู่เกือบหนึ่งเค่อ นางก็พบชุดสีชมพูอ่อนที่ดูเก่าคร่ำคร่า “ชุดนี้ไม่โดดเด่นมาก เหมาะกับการสวมออกไปข้างนอกเจ้าค่ะ”
“เป็นชุดของท่านแม่ ข้าเก็บไว้เผื่อคิดถึงท่านแม่จนทนไม่ไหว… เจียอี เจ้าเลือกชุดอื่นให้ข้าเถิด”
เสวียนหนิงอันแสร้งเบือนหน้าไปยังกระจกและแต่งผมระหว่างรอ ภายนอกดูไม่สนเรื่องราวรอบตัว ทว่าในใจกลับปวดร้าวสุดพรรณนา
‘เมื่อทำผิดก็ต้องรับโทษ พ่อไม่อนุญาตให้เจ้าส่งจดหมายหรือติดต่อผู้ใดในตำหนักเยว่ฉี คิดอยากออกเรือนก็ต้องทำตัวให้สมกับสตรีออกเรือน เชื่อฟังสามี ชีวิตเป็นของสามี หากไม่ลำบากจนถึงขั้นคิดเลิกราหย่าร้างก็ไม่ต้องติดต่อมา… หากยังไม่ได้ฤกษ์แต่งงานที่ถูกต้องตามประเพณีก็ไม่มีเรื่องใดต้องสนทนากัน’
