บทที่ 11
บ้านสกุลหลี่ที่ตั้งอยู่ตลาดฝั่งตะวันออกมีขนาดไม่ใหญ่โตนัก แต่กระนั้นก็ยังมีเรือนเล็กใหญ่มากกว่าห้าเรือน เรือนที่ใหญ่ที่สุดเป็นของหลี่จินหมิงอย่างมิต้องสงสัย เรือนที่อยู่ถัดไปนั้นมีไว้สำหรับต้อนรับแขก อีกสองเรือนปิดตายไร้ผู้คนอยู่อาศัย ส่วนเรือนสุดท้ายซึ่งเป็นเรือนหลังเล็กที่สุดนั้นเสวียนหนิงอันคือผู้ครอบครอง
ตวนอ๋องเฉินฟาหยางส่งข้าวของเครื่องใช้ของบุตรสาวมายังบ้านสกุลหลี่หลังจากเกิดเรื่องได้เพียงวันเดียว ในยามนั้นเขาเห็นทุกอย่างที่เกี่ยวกับนางแล้วรู้สึกเกรี้ยวกราด มองอย่างไรก็ไม่สบอารมณ์ จึงสั่งให้สาวใช้นำข้าวของไปให้พ้นตา นึกไม่ถึงว่าหีบห้าใบจะอยู่ในห้องเก็บของ ส่วนอีกสองใบที่สาวใช้นำไปไว้ในเรือนเล็กนั้นล้วนมีแต่ของเก่าที่ใช้การไม่ได้ แต่กระนั้นนางก็ยังไม่ปริปากบ่น หรือพูดให้ถูกต้องคือเขาจงใจหลบหน้านาง กอปรกับต้องเดินทางอย่างกะทันหัน ความลำบากเรื่องเครื่องแต่งกายนั้นจึงถูกแก้ไขช้าไปสักหน่อย
หลี่จินหมิงจำได้ดีว่ารู้สึกปั่นป่วนในท้องมากเพียงใดยามที่นางบอกว่ามิได้สวมบังทรง ยังจำได้อีกด้วยว่าตนตวาดเสียงดังจนนางหนีเตลิดจากห้องหนังสือ แต่หลังจากรวบรวมสติกลับมาสุขุมดังเดิมได้แล้ว เขาก็สั่งให้สาวใช้จัดการปัญหาดังกล่าวให้เรียบร้อย
เย็นวันนั้นนางมาขอพบเพื่อกล่าวคำขอบคุณ บนเรือนร่างสวมอาภรณ์สีกลีบบัว เพิ่มความงามมากขึ้นหลายส่วน ความจริงแล้วงามถึงขั้นที่ทำให้เขาต้องเบือนหน้าหนีเพราะไม่อยากมองให้หัวใจเต้นแรงไปมากกว่าเดิม ทว่าเสียงหวานออดอ้อนเรียกขานว่าท่านอา กลับทำให้เขาต้องยอมสบตากับนางอย่างเสียมิได้
‘ท่านอาโกรธมากเลยหรือเจ้าคะ…’
‘แล้วควรโกรธหรือไม่’
‘หนิงเอ๋อร์ผิดไปแล้ว จากนี้จะพยายามปรับปรุงให้ท่านอาพอใจเจ้าค่ะ’
‘เช่นนั้นก็อยู่เงียบ ๆ อย่าก่อเรื่องกวนใจ ช่วงนี้งานที่ร้านยุ่งนัก ข้าไม่อยากปวดหัวเพิ่มเติมเพราะเรื่องไม่เป็นเรื่อง’
หลี่จินหมิงเกลียดชังตนเองที่ไม่สามารถดุด่านางได้อย่างที่ตั้งใจเอาไว้ เขาอธิบายอย่างใจเย็นว่าต้องการความเป็นส่วนตัว ก่อนโบกมือไล่นางโดยอ้างว่ามีบัญชีต้องสะสาง แต่ความจริงแล้วเขากลับทำเพียงนั่งสงบอารมณ์นานหลายชั่วยาม บอกกับตนเองซ้ำ ๆ ว่าเขาสมควรปฏิบัติตัวต่อนางอย่างไร
ห้ามใจอ่อน… ใจดีด้วยก็มิได้
‘หากเจ้าไม่รักบุตรสาวข้าก็อย่าให้ความหวังนางว่ารักใคร่ ห้ามผูกสัมพันธ์ลึกซึ้งทั้งทางกายและทางใจ’
เดิมทีหลี่จินหมิงขบขันกับคำเตือนของตวนอ๋องอย่างมาก ต่อให้เคยชื่นชมนางในใจว่างดงามเมื่อปีก่อนแล้วอย่างไร เขาจะทนกับเสน่ห์เย้ายวนใจของสาวงามมิได้เลยหรือ เสวียนหนิงอันจะมีเสน่ห์ล้นเหลือกว่าเหล่านางคณิกาในหอนางโลมอันดับหนึ่งของเมืองหลวงอยู่อีกหรือ
เขาขบขันจนกระทั่งเห็นใบหน้างดงามชัดเจนในคืนวิวาห์…
“ซุนหยา พวกนางมีเรื่องตื่นเต้นอันใดกัน” หลี่จินหมิงกลับถึงบ้านในต้นยามโหย่ว เห็นเหล่าสาวใช้วัยไม่เกินสิบห้าปีหัวเราะร่าเริงก็อดสอบถามมิได้ ทั้งหัวใจยังประหวัดคิดไปถึงสาวงามที่มิได้พบหน้านานเจ็ดวันแล้ว
“ฮูหยินน้อยกำลังซื้อพวกนางอยู่เจ้าค่ะ”
“ซื้อ? นางไม่มีเงินติดตัวมาสักตำลึงแล้วจะซื้อผู้ใดได้เล่า”
ตวนอ๋องจริงจังกับการดัดนิสัยของบุตรสาวเป็นอย่างมาก แม้แต่อีแปะเดียวก็ไม่ให้มาเพราะกลัวว่าจะใช้เงินแก้ไขปัญหาอย่างที่เคยทำเป็นประจำ พอคิดแล้วหลี่จินหมิงก็รู้สึกว่านั่นออกจะโหดร้ายมากไปสักหน่อยและในเมื่อตอนนี้นางได้ชื่อว่าเป็นภรรยาของเขาแล้วก็ควรดูแลตามใจบ้างมิใช่หรือ
ไม่ได้! ใจอ่อนไม่ได้เด็ดขาด!
“ฮูหยินน้อยมอบเสื้อผ้าที่สวมใส่ไม่ได้แล้วให้กับพวกนางเจ้าค่ะ หากนางใดสวมใส่ไม่ได้ก็มอบเครื่องประดับให้แทนเจ้าค่ะ” ซุนหยาพูดได้ไม่เต็มเสียงนัก นางไม่ได้ไปเลือกเสื้อผ้ากับสาวน้อยเจียอี ด้วยทราบดีว่าไม่มีอันใดที่ตนสวมใส่ได้ นึกไม่ถึงว่าฮูหยินน้อยจะนำปิ่นหยกลายดอกเหลียนฮวามามอบให้ถึงในโรงครัว
‘ข้ามีทรัพย์สินติดตัวมาไม่มาก หวังว่าท่านป้าคงไม่รังเกียจ’
แม้ปิ่นหยกลายดอกเหลียนฮวาจะไม่ใช่ของใหม่ แต่มองอย่างไรก็เป็นของราคาแพง ซุนหยาจึงรับมาโดยไม่พูดอันใด นางไม่ได้เห็นแก่ของมีราคา แต่ทนสายตาที่ทอประกายวาววับอย่างมีความหวังของฮูหยินน้อยไม่ได้จริง ๆ
“มอบของเล็กน้อยมิใช่เรื่องผิด แต่อย่าลืมกำชับพวกนางว่าห้ามก่อเรื่อง”
“เจ้าค่ะ… นายท่านเจ้าคะ ฮูหยินน้อยแจ้งว่าต้องการส่งจดหมายให้กับท่านหมอสกุลหวงเจ้าค่ะ นายท่านอนุญาตหรือไม่เจ้าคะ”
“นางไม่สบายเช่นนั้นหรือ! นางปวดหัวหรือปวดท้องเล่า!” หลี่จินหมิง ตกใจจนแทบคุมสติมิอยู่
“ฮูหยินน้อยมิได้แจ้งเจ้าค่ะ กล่าวแค่เพียงว่าหากนายท่านไม่อนุญาตก็ไม่เป็นไรเจ้าค่ะ”
“หึ! เดี๋ยวข้าจัดการเรื่องนี้เอง เจ้ามีอะไรก็ไปทำเถิด”
