บทที่ 10
เสวียนหนิงอันพยักหน้ารับคำอย่างสงบนิ่งก่อนออกคำสั่งให้เจียอีไปทำความสะอาดเรือน ทว่าหัวใจดวงน้อยกลับเต้นโครมครามขณะเดินตามซุนหยาไปยังเรือนใหญ่ที่นางยังมิเคยได้ย่างกรายเข้าไปสักครั้ง
นึกไม่ถึงว่าหญิงสูงวัยจะพานางเดินตรงไปยังเรือนเล็กที่อยู่ข้างกัน มิใช่เรือนใหญ่อย่างที่เสวียนหนิงอันเข้าใจ
‘จ้าวฮูหยินอยู่เรือนใหญ่กับนายท่านตลอดเวลาที่อยู่ที่นี่เจ้าค่ะ’
นางผ่อนลมหายใจช้า ๆ เมื่อนึกถึงเรื่องราวที่ได้ฟังจากสาวใช้เจียอี
อิจฉาคนที่จากไปแล้วไม่ใช่เรื่องสมควร จ้าวฮูหยินเป็นภรรยาผูกผมที่เขารักใคร่อย่างมาก ถึงขั้นให้อยู่เรือนเดียวกันไม่ยอมแยกจาก นางควรเคารพความรักของเขาสองคนให้มากจึงจะถูกต้องมิใช่หรือ
“นายท่านอารมณ์ไม่ดีเจ้าค่ะท่านป้า ได้ยินว่ามีปัญหาเรื่องบัญชี”
สาวใช้ที่เดินออกจากเรือนหลังเล็กกระซิบเสียงเบา เสวียนหนิงอันจึงถือโอกาสที่ประตูเปิดกว้างมองสำรวจอย่างรวดเร็ว พบว่าข้างในคือห้องหนังสือที่เขาน่าจะใช้เป็นห้องทำงาน
“หากอารมณ์ไม่ดีย่อมต้องดื่มสุรา แต่สุราดอกท้อที่เก็บไว้มีเหลือไม่มากแล้ว เจ้าอย่าลืมส่งคนไปซื้อที่โรงเตี๊ยมนอกเมืองเล่า” ซุนหยาสั่งงานอีกหลายคำ ปล่อยให้เสวียนหนิงอันยืนรออย่างอดทน
แม้ในชีวิตนี้มิเคยต้องรอผู้ใดมาก่อน ทว่าเสวียนหนิงอันกลับไม่รู้สึกว่าการถูกปล่อยให้รอในครั้งนี้เป็นเรื่องลำบาก ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะทราบดีว่าอีกไม่นานจะได้พบคนที่นางอยากพบหน้า แม้ในใจมีเรื่องราวมากมาย แต่สุดท้ายกลับไม่รู้ว่าต้องพูดคุยเรื่องอันใดก่อนดี
ยิ่งเขามิใช่ท่านอาใจดีอย่างที่จำได้ นางก็ยิ่งรู้สึกหน่วงหนักในหัวใจ
เสวียนหนิงอันก้มมองชายกระโปรงที่ลอยสูงกว่าที่ควรเกือบสองชุ่น แล้วพลันรู้สึกว่าตนเองน่าเกลียดอย่างมาก เสื้อผ้าของนางเก่าแล้ว บริเวณหน้าอกรัดจนหายใจลำบาก นางจึงตัดปัญหาด้วยการไม่สวมบังทรง เรื่องนี้มีเพียงเจียอีเท่านั้นที่รู้ สาวน้อยในวัยสิบสี่ปีเสนอว่าให้บอกเรื่องความไม่สะดวกที่เกิดขึ้นต่อนายท่าน แต่เขาหายตัวไปหลังจากแต่งงานได้เพียงสองวัน นางจึงหาโอกาสที่ว่านั้นไม่ได้เสียที
พูดแล้วก็น่าอาย เป็นถึงบุตรสาวของตวนอ๋องแต่กลับต้องพึ่งพาเงินทองของสามี
“ฮูหยินน้อยเจ้าคะ” ซุนหยาเรียกนายหญิงคนใหม่ถึงสามครั้งนางจึงได้สติและหันมารับถาดน้ำชาก่อนเดินเข้าห้องหนังสือ ทุกย่างก้าวหนักแน่นปราศจากความเขินอาย ต่างจากภรรยาที่เพิ่งแต่งเข้าบ้านของสามีโดยสิ้นเชิง
“ท่านอาเจ้าคะ…” เสวียนหนิงอันกลั้นหายใจเมื่อเขาเงยหน้า พบว่าดวงตาสีเข้มวาววับชั่วพริบตาก่อนฉายแววชัดว่ามีเรื่องไม่สบอารมณ์
นางอยากถามว่ามีเรื่องใดให้ช่วยบ้างหรือไม่ แต่กลับกลั่นกรองคำพูดออกมาได้ยากยิ่ง เมื่อเรื่องเป็นเช่นนั้นนางจึงเลือกปิดปากเงียบ วางกาน้ำชาไว้บนมุมโต๊ะและถอยหลังไปสามก้าว
“ตวนอ๋องมิได้สอนเจ้ารินน้ำชาหรือ”
“หนิงเอ๋อร์เห็นท่านอากำลังตรวจสอบบัญชี กลัวว่าหากไม่ระวังน้ำชาอาจหกเลอะเทอะเจ้าค่ะ” เสวียนหนิงอันเห็นว่าขอบตาของเขาแดงก่ำคล้ายคนไม่ได้นอน จึงแสดงความเห็นออกมาอย่างกังวล
“เหนื่อยล้ามากไปอาจทำงานผิดพลาด ท่านอาเอนหลังพักผ่อนสักครึ่งชั่วยามเถิดนะเจ้าคะ”
“เช่นนั้นจะพักสักหน่อย… แล้วเจ้าขาดเหลือสิ่งใดหรือไม่” เขาถามโดยไม่มองหน้า จัดการสมุดบัญชีที่อยู่บนโต๊ะทำงานอย่างไม่รีบร้อน ก่อนพาร่างสูงโปร่งของตนไปนั่งพักบนตั่งริมหน้าต่าง
“ยังขาดของใช้ส่วนตัวบางอย่างเจ้าค่ะ”
“อยากได้อันใดเพิ่มเติมก็แจ้งซุนหยา… เจ้าไปได้แล้ว” หลี่จินหมิงกดขมับตนเองเบา ๆ พยักพเยิดเป็นเชิงให้นางออกจากห้องได้แล้ว แต่เจ้าของเรือนร่างบอบบางกลับยังยืนนิ่งอยู่ที่เดิม
“ต้องการสิ่งใดอีก”
“ข้าอยากจะขออนุญาตท่านอาออกไปซื้อของข้างนอกเจ้าค่ะ”
“ไม่อนุญาต อยากได้อันใดก็บอกซุนหยา หากไม่ชอบนางก็ให้เจียอีจัดการแทน”
“ข้าไม่ได้ไม่ชอบท่านป้าซุนหยา แต่ของบางอย่างจำต้องเลือกด้วยตนเองเจ้าค่ะ” เสวียนหนิงอันเว้นจังหวะ ก่อนกล่าวออกมาอย่างกระอักกระอ่วนใจยิ่งนัก “ท่านพ่อลงโทษข้า เสื้อผ้าในหีบที่ส่งมาล้วนเป็นของเก่า สวมใส่ไม่สบายตัว”
“หึ! ที่แท้ก็ห่วงเรื่องความงาม”
“มิใช่เช่นนั้นนะเจ้าคะ” เสวียนหนิงอันก้มมองอาภรณ์ที่สวมใส่อีกครั้ง ก่อนเอ่ยออกมาอย่างคับแค้นใจ “เรื่องเสื้อผ้าเก่าข้าไม่ว่าอะไร แต่บังทรงนั้นสวมไม่ได้ รัดแน่นจนหายใจแทบไม่ออก หากข้าสวมมันอยู่คงได้เป็นลมต่อหน้าท่านแล้ว”
“เสวียนหนิงอัน!” หลี่จินหมิงผุดลุกจากตั่งแทบมิทัน ใบหน้าของเขาแดงก่ำ มิแน่ใจว่าเพราะความโกรธหรือความอาย
“ข้าไม่ได้โกหกนะเจ้าคะ หากท่านอาไม่เชื่อจะลองถามเจียอี…”
“ออกไปได้แล้ว!”
เสียงตวาดนั้นทำให้เสวียนหนิงอันวิ่งออกจากห้องหนังสือแทบไม่ทัน!
