EP : 2 ข้าจะรับผิดชอบเจ้า
มู่จางเสี่ยวมองชายหนุ่มใบหน้าคมเข้มติดจะเย็นชาเอ่ยบอกเธอด้วยท่าทีเรียบนิ่ง พลางมองมาที่เธอครู่หนึ่งก่อนจะเบนสายตาหนีไป
“ถอยออกไปจากตรงนั้น” มู่จางเสี่ยวเอ่ยบอกพลางเรียกกระบี่ออกมา
อย่าถามว่าเธอรู้ได้ยังไง ไม่รู้ก็แปลกแล้วเล่นอ่านนิยายจนเหมือนว่าตัวเองเข้าไปอยู่ในนิยายขนาดนั้น รู้ด้วยว่าเด็กคนนี้เก่งขนาดไหน แต่นิสัยใจร้อนไปหน่อย เลยขาดความรอบคอบ
“อืม” อีกฝ่ายตอบรับเบาๆ ไม่ได้หันไปมองเด็กสาวก็ไม่ใช่เด็กชายก็ไม่เชิงเลยแม้แต่น้อย
พรึ่บ!
มู่จางเสี่ยวคว้าชุดของตัวเองออกมาจากตรงนั้นก่อนจะรีบหาที่ใส่ชุดอย่างรวดเร็ว ก่อนจะมองชายหนุ่มคนนั้นที่กำลังล้างมืออยู่เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายไม่ได้สนใจตัวเองเธอก็คิดจะจากไปทันที
“เดี๋ยวก่อนคุณหนูมู่” ชายหนุ่มเอ่ยขึ้นเมื่อรับรู้ได้ว่าอีกคนกำลังจะหนีไป
มู่จางเสี่ยวหยุดชะงักทันที เมื่อถูกอีกฝ่ายเรียก หรือว่าชายคนนี้รู้จักกับมู่จางเสี่ยวกัน แต่เธอก็คิดไม่ออกว่าชายหนุ่มคนนี้เป็นใคร
“มีอะไรกับข้า” มู่จางเสี่ยวหมุนตัวกลับไปพลางจ้องอีกฝ่ายนิ่งแล้วเอ่ยถามไปด้วยท่าทีไม่เกรงกลัว
“เจ้าหนีออกมาเช่นนี้ ไม่กลัวตระกูลของเจ้าลงโทษหรอกหรือ” ชายหนุ่มเอ่ยถามโดยไม่ได้หันไปมองอีกฝ่าย
“มันเรื่องของข้า” มู่จางเสี่ยวเอ่ยตอบพลางคิดว่าเด็กคนนี้หนีออกมาทำไมกัน ในนิยายไม่เห็นบอกเอาไว้เลย แถมในความทรงจำก็ยังไม่ได้บอกเอาไว้
“อยากจะพูดอะไรก็พูดมา” มู่จางเสี่ยวเอ่ยขึ้นเมื่อเห็นอีกฝ่ายนิ่งเหมือนกำลังคิดอะไรอยู่
“ข้าจะรับผิดชอบเจ้า” ชายหนุ่มเอ่ยบอกเพราะเขาต้องรับผิดกับสิ่งที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ ถ้าหากมีคนรู้เรื่องเข้า นางอาจจะถูกนินทาได้
“รับผิดชอบ? เรื่องอะไร” มู่จางเสี่ยวเอ่ยถามเพราะไม่รู้ว่าสองคนนี้มีอะไรที่เธอยังไม่รู้หรือเปล่า
“ก็เรื่องที่ข้าเห็นเรือนร่างของเจ้าอย่างไรเล่า” ชายหนุ่มเอ่ยบอกพลางตวัดสายตาไปมองเด็กสาวที่สูงไม่ถึงหน้าอกของเขาเลยด้วยซ้ำ
แต่ไม่ว่าดูอย่างไรนางก็เป็นเด็กที่โตกว่าวัยเดียวกันอยู่ดี เพราะปกติเด็กอายุสิบสองจะไม่โตขนาดนี้ ยิ่งเด็กผู้หญิงแบบนางเทียบเท่าได้กับเด็กผู้หญิงอายุสิบสี่สิบห้าด้วยซ้ำ
และดูเด็กสาวตรงหน้ายังไงก็ไม่มีความเป็นผู้หญิงเลยสักนิด หรือที่เขาพูดกันว่านางชอบหญิงด้วยกันจะเป็นเรื่องจริง
“อ่า ข้าไม่ถือ ถ้าเจ้าไม่พูดข้าไม่พูดเรื่องนี้ก็ไม่มีใครรู้หรอกเพราะงั้นไม่ต้องรับผิดชอบข้า” มู่จางเสี่ยวเอ่ยบอกพลางคิดว่านางต้องหาทางรอดของตัวเองในตอนนี้ก่อน
“ไม่ได้” ชายหนุ่มเอ่ยค้านอย่างไม่เห็นด้วย
“มันก็เรื่องของเจ้า” มู่จางเสี่ยวเอ่ยบอกพลางหันหลังเดินจากไปทันที แต่ตอนนี้เธอไม่รู้จะเดินไปทางไหนดี
เพราะมองไปทางไหนก็มีแต่ป่าทั้งนั้น ดีไม่ดีเธออาจจะพบกับพวกสัตว์อสูรก็เป็นไปได้ ซึ่งเธอก็ยังไม่พร้อมที่จะเจอมันตอนนี้
“เจ้าหลงทางสินะ” ชายหนุ่มยังคงตามเด็กสาวมาเพราะด้วยท่าทีที่แปลกไปทำให้เขารู้สึกแปลกใจเป็นอย่างมาก
“เปล่าหลง” มู่จางเสี่ยวกล่าวตอบอย่างไม่ยอมรับง่ายๆ เรื่องอะไรจะยอมรับให้ตัวเองหน้าแตกกันล่ะ
“หลง” ชายหนุ่มพูดพลางมองอีกฝ่ายที่ไม่ยอมรับความจริง
“แล้วเจ้าจะตามข้ามาทำไมกัน” มู่จางเสี่ยวเอ่ยถามเมื่ออีกฝ่ายยังคงตามเธอมาอีก
“ข้าก็กลับทางนี้เช่นกัน” ชายหนุ่มเอ่ยบอกด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่งโดยไม่ได้แสดงสีหน้าอะไรอย่างอื่นออกไป
“งั้นเจ้าก็เดินนำหน้าข้าสิ” มู่จางเสี่ยวกล่าวบอกรู้สึกหมั่นไส้ท่าทางอีกฝ่ายอย่างไงก็ไม่รู้
“คิดจะให้ข้าพากลับบ้านหรือไงเด็กน้อย” ชายหนุ่มเอ่ยขึ้นเมื่อเห็นท่าทีของอีกฝ่ายที่ดูก็รู้ว่าหลอกให้เขานำทางเพื่อพากลับ
“ข้าไม่ได้คิดจะกลับบ้านเสียหน่อย” มู่จางเสี่ยวเอ่ยบอกเพราะเธอต้องรู้เสียก่อนว่าตอนนี้เธออยู่ที่ไหน
“งั้นก็ไม่มีที่ไป” ชายหนุ่มถามพลางคิดว่าเกิดเรื่องอะไรกับเด็กคนนี้กัน ทำไมถึงได้มีแผลเต็มตัวเช่นนี้แถมอีกฝ่ายยังไม่คิดจะรักษาด้วยซ้ำ
“หุบปากไปเลยน่า” มู่จางเสี่ยวเอ่ยบอกอีกคนที่ยุ่งกับเธอเสียเหลือเกิน ชวนเธอคุยอยู่นั่นแหละ คนยิ่งอารมณ์ไม่ดีอยู่ด้วย
เพราะเธอเพิ่งจะทะลุเข้ามาในนิยายเลยเห็นอะไรก็หงุดหงิดขัดหูขัดตาไปเสียหมด มันก็เหมือนกับตอนที่เราอารมณ์ไม่ดีแต่มีคนพยายามจะชวนเราคุยหรือมากวนเรานั่นแหละ
“แล้วเจ้าจะตอบข้าทำไม” ชายหนุ่มพูดต่อพลางเดินนำหน้าเด็กสาวไปเรื่อยๆ เพิ่งเคยเจอคนที่รำคาญเขาเป็นครั้งแรก
“กวนประสาท” มู่จางเสี่ยวเอ่ยเบาๆ พลางเดินแยกจากชายหนุ่มหน้าตายไปทันที ขืนอยู่ต่ออีกนิดเดียว เธออาจจะอดใจไม่ไหวจัดการอีกฝ่ายก็เป็นไปได้
“ไปที่ค่ายทหารกับข้าหรือไม่ เจ้าน่าจะชอบนะ” ชายหนุ่มพูดขึ้นเมื่อเห็นว่าเด็กสาวเดินออกห่างไปแล้ว
มู่จางเสี่ยวได้ยินแต่ไม่คิดจะหันไปตอบเพราะเพียงแค่นี้ก็รู้สึกรำคาญอีกฝ่ายอย่างไม่ทราบสาเหตุ
ชายหนุ่มมองร่างบางที่เดินห่างออกไปไกล และไม่คิดจะตามไปเนื่องจากตอนนี้เขาต้องรีบกลับไปที่ค่ายทหาร
“แล้วจะไปทางไหนละเนี่ย” มู่จางเสี่ยวเอ่ยขึ้นอย่างมึนงง พลางนึกถึงเนื้อเรื่องในนิยายไปด้วย มันไม่มีฉากนี้ เลยทำให้เธอไม่รู้ว่าเนื้อเรื่องเดินไปถึงไหนแล้ว
ในความทรงจำก็ไม่มีด้วย ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเด็กคนนี้เข้ามาในป่าได้ยังไง อยากได้ความทรงจำทั้งหมดจริงๆ เพราะบางอย่างก็ทำให้เธอขัดใจเหมือนกัน
เพราะเธอรู้สึกว่าความทรงจำที่หายไปนั้นมันเป็นอะไรที่สำคัญกับคนนี้อย่างแน่นอน
ก่อนอื่นเธอต้องตรวจสอบระดับลมปราณของร่างนี้ก่อนเลย เธอจะได้เตรียมตัวรับมือทัน โดยในนิยายเรื่องนี้นักเขียนบอกไว้ว่าระดับลมปราณนั้นมีเก้าระดับและแต่ระดับนั้นจะแบ่งย่อยเป็นสิบขั้น
ซึ่งจะมีระดับลมปราณแรกเริ่มเป็นระดับแรกและในแต่ละระดับจะมีช่วงชั้นหนึ่งถึงสิบขั้น ส่วนระดับที่สองคือระดับจิต ระดับสามคือระดับปฐพี ระดับสี่คือระดับนภา ระดับห้าคือระดับสวรรค์ ระดับหกคือระดับราชันย์ ระดับเจ็ดคือระดับเซียน ระดับแปดคือระดับตำนาน ระดับเก้าคือระดับมหาเทพ
“ปฐพีขั้นเก้า อืม ถือว่าไม่เลวสำหรับเด็กอายุสิบสองปี” มู่จางเสี่ยวเอ่ยขึ้น ตอนนี้ยังไม่มืดเท่าไร แต่เหนือสิ่งอื่นใดนั้นเธอหิวมาก
“ไหนดูสิในแหวนมิติมีอะไรบ้าง” มู่จางเสี่ยวเอ่ยกับตัวเองพลางสำรวจของในแหวนมิติไปด้วย
มีตำราฝึกเป็นเซียนแล้วก็เงินอีกสองร้อยเหรียญทองหมั่นโถวสองก้อนโอสถสมานบาดแผลด้วย โอ้! นี่ละที่เธอต้องการตอนนี้
มู่จางเสี่ยวยิ้มก่อนจะดื่มโอสถสมานแผลทันที ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไรที่เธอรู้สึกว่าการมีบาดแผลพวกนี้ทำให้เธอรู้สึกดี
อาจจะเป็นเพราะตอนเด็กๆ ของเธอก็ได้ เพราะพ่อของเธอนั้นชอบพาไปซ้อมมวยบ่อยๆ จนเธอชินชากับมันจนปัจจุบันก็ยังซ้อมมวยอยู่บ่อยๆ เนื่องจากไม่มีอะไรทำ เลยไปเป็นครูซ้อมมวยให้กับเด็กๆ เพื่อหารายได้