บทที่6
คณะของพี่น้องสกุลโม่รุ่นใหญ่เช่นโม่เหยียนเฉาและโม่เหยา ยังคงนิ่งเฉยกับภัยที่กำลังคืบคลานตามหลังมาอยู่มิห่าง รอยยิ้มอย่างมีความในของทั้งคู่ถูกซ่อนไว้ภายใต้หมวกปีกกว้าง ก่อนจะกระตุกม้าให้ก้าวเร็วขึ้นอีกเพียงเล็กน้อย เสมือนทั้งหมดกำลังสนุกกับการหยอกเย้าของคนที่ติดตามมาเพื่อหวังผลประโยชน์จากคณะของพวกเขา
“เจ้ามั่นใจนะว่าหลาน ๆ ของเราจะปลอดภัย น้องพี่”
“อย่าห่วงพวกนางเลย อย่างไรเสีย หลานน้อยทั้งคู่ก็รับมือทุกอย่างได้ดีกว่าเราเสียอีก ท่านพี่”
“ฮา ๆ”
เสียงหัวเราะของคนทั้งคู่ดังขึ้นอย่างอดมิได้ ทำให้กลุ่มคนที่ลอบมองอยู่พากันยิ้มเยาะในความโง่เขลาของเหล่าคหบดีจากเมืองหลวง ที่หลงละเลิงในอำนาจวาสนาจนขาดการระวังภัย
ฟึบ! ฮี้ ๆ
ทว่ายังไม่ทันได้คิดสิ่งใดต่อ ลูกธนูนับสิบกลับพุ่งลงมาปักขวางหน้าเสียก่อน จนทำให้ม้าที่ถูกรั้งบังเหียนอย่างกะทันหันต่างตะกายเท้าขึ้นสูงด้วยความตกใจ เหล่าผู้ติดตามต่างพากันถอยร่นลงไปยังรถม้าคันใหญ่ในทันทีเพื่อคุ้มกันคุณหนูทั้งสอง
“คุ้มกันหลาน ๆ ของข้า อย่าให้มันผู้ใดได้แตะต้องแม้เพียงปลายเล็บ” ผู้อาวุโสตะโกนสั่งเสียงก้อง
“ทราบแล้วขอรับนายท่าน”
เสียงตอบรับประสานกันขึ้นอย่างพร้อมเพรียง สองพี่น้องสกุลโม่ต่างพากันรับมือการจู่โจมแบบมิเห็นแม้แต่เงาของศัตรู มีเพียงลูกธนูเท่านั้นที่พุ่งเข้าหาหมายเอาชีวิตของคนทั้งคณะ
พรึ่บ!
ลูกธนูที่มีไฟติดได้ปักยังหลังคารถม้า โม่เหยาสะกิดปลายเท้าเหินกายขึ้นไปในอากาศ ก่อนจะวางเท้าลงยังหลังคารถม้า
“คิดจะเผาหลานสาวทั้งสองของข้า ยังเร็วไป”
เสียงคำรามดังก้องของโม่เหยาประหนึ่งต้องการประกาศให้คนที่ซุ่มโจมตีได้รู้ว่าภายในรถม้ามีผู้ใดอยู่ แม้จะมีเสียงอาวุธกระทบกับห่าธนู ทว่าก็มิอาจกลบเสียงของชายชราผู้ยืนตระง่านอยู่บนหลังคารถม้าได้ ทำให้กลุ่มโจรต่างพากันหูผึ่งขึ้นในฉับพลัน
รางวัลสำหรับโจรเช่นพวกเขาคงหนีไม่พ้นบรรดาคุณหนูสูงศักดิ์ หากได้ครอบครองพวกนาง ย่อมเอื้อประโยชน์มิน้อย
แต่เพียงชั่วพริบตา ชายชราที่เคยยืนอยู่บนหลังคากลับประจำในตำแหน่งคนบังคับม้าเสียอย่างนั้น
โม่เหยากระตุกบังเหียนอย่างแรง เพื่อบังคับม้าให้ออกวิ่งพารถม้าฝ่าวงล้อมออกไป โดยมีโม่เหยียนเฉาพร้อมผู้ติดตามพากันกรูตามรถม้าอย่างรวดเร็วเพื่อช่วยคุ้มกันเจ้านายของตน
“ตามพวกมันไป ชิงรถม้าและทรัพย์สินทั้งหมดมาให้ได้ ที่เหลือกำจัดซะ” คำสั่งของผู้นำกลุ่มโจรตะโกนก้อง พร้อมพากันกรูออกจากที่ซ่อน ไล่กวดคณะพ่อค้าจากเมืองหลวงอย่างมิยอมลดละเช่นกัน
โม่เหยียนเฉาผู้ควบม้ารั้งท้าย เอี้ยวตัวกลับไปมองเล็กน้อยพร้อมรอยยิ้มอย่างมีความในที่ยากจะมีผู้ใดได้ทันสังเกตเห็น
“ข้ายังพอมีเวลาเล่นสนุกอีกเล็กน้อย พวกเจ้าช่างก้าวเท้ามาสร้างความสำราญใจให้แก่ข้าได้ถูกเวลายิ่งนัก หึ ๆ”
กลุ่มโจรที่ไล่กวดคณะพ่อค้าอย่างมิยอมลดละนั้น หาทันได้ฉุกคิดสิ่งใดไม่ ว่าเวลานี้ รถม้าได้ถูกควบตรงไปยังทิศทางใดกันแน่ เป้าหมายของพวกเขาคือช่วงชิงสิ่งมีค่าและสาวงาม จึงไม่สนสิ่งอื่นใดแล้วในตอนนี้
โม่เหยากระตุ้นม้าให้ตรงไปยังเส้นทางริมผาที่นับว่าอันตรายมิน้อย ทว่า พวกเขาพร้อมแล้วที่จะทำให้ผู้สังเกตการณ์ของศัตรูซึ่งจับตาทุกคนที่เดินทางเข้าเมืองหลวง เกิดความหันเหจากคณะของเขาได้อย่างสิ้นเชิง เพื่อจะได้เลิกสนใจพวกเขาและง่ายต่อการเดินทาง
กลุ่มโจรได้ตอบแทนคุณแผ่นดินแล้วในครั้งนี้ โดยการมาปล้นคณะได้อย่างเหมาะเจาะเสมือนการจับวางหมากที่คุ้มค่าและตรงเวลาที่สุด
เชือกหลายเส้นถูกคว้าออกมาจากรถม้าโดยหนึ่งในผู้คุ้มกัน เสมือนทุกอย่างถูกตระเตรียมเอาไว้ก่อนล่วงหน้า มิว่าจะเป็นฝ่ายโจรที่ดูราวกับกระหายในการไล่ล่า หรือแม้แต่ฝั่งพ่อค้าสกุลโม่เองก็เช่นกัน
กลุ่มโจรหยุดชะงักเพียงชั่วขณะ ก่อนจะพุ่งติดตามคณะพ่อค้าไปอย่างกระชั้นชิด เสียงก้อนหินหลุดร่วงกระทบหน้าผาลาดชันดังก้องหุบเขาด้วยจำนวนคนและรถม้าที่วิ่งอย่างมิคิดชีวิตเหยียบย่างผ่านทาง
“พานายท่านใหญ่หนีไป เร็วเข้า”
เหล่าผู้ติดตามไม่เอ่ยสิ่งใดอีก เพราะทางด้านหน้าเป็นแนวโค้งที่อันตรายมากหากควบคุมรถม้าได้ไม่ดีพอ ทั้งหมดเหินกายเข้าหานายใหญ่ที่ควบม้าปิดท้าย โดยมีผู้ติดตามเพียงสามคนที่ควบม้าประกบเท่านั้น
เชือกในมือของหนึ่งในผู้ติดตามพันเข้ายังรอบเอวของผู้เป็นนายใหญ่ ก่อนจะเหินกายเข้าหาพร้อมทั้งคว้าจับพาผู้เป็นนายออกจากหลังม้าที่เริ่มจะเสียหลักบ้างแล้ว ด้วยหนทางที่แคบและอีกด้านเป็นผาลึก
“เจ้าคิดจะให้ข้าทิ้งน้องชายของข้ารึ”
โม่เหยียนเฉาเอ่ยเสียงกร้าว แต่มิได้ขัดขืนคนของเขา เพราะหากทำเช่นนั้นอาจเป็นอันตรายต่อทุกคน สายตาเหยี่ยวมองตามหลังรถม้าไป ด้วยหัวใจอันหนักอึ้ง ด้านหน้าคือความตาย ด้านหลังก็มิต่างกัน คราแรกดูเหมือนพวกเขาจะได้เปรียบมิน้อย ไยตอนนี้สถานการณ์มันดูกลับตาลปัตรไปเสียได้
“คำสั่งนายท่านรองขอรับ”
ไม่มีคำใดออกมาจากปากของโม่เหยียนเฉาอีก
เคล้ง! ฮี่ ๆ
เสียงอาวุธกระทบกัน พร้อมทั้งเสียงแตกตื่นของม้าที่แหวกวงล้อมการต่อสู้กลับไปยังทิศทางเดิม การต่อสู้ได้เริ่มขึ้นก่อนที่จะทันได้หลบหนีอย่างที่ตั้งใจ การปะทะกันบนถนนอันคับแคบสร้างความลำบากให้กับทั้งสองฝ่ายไม่น้อยเพราะต้องระวังหลายด้าน หากใครพลั้งเผลอจุดจบคือความตายอย่างแน่นอน
คณะพ่อค้าต่างถอยร่นติดตามรถม้าไป ฝั่งกลุ่มโจรต่างย่ามใจในความโง่เขลาของคนจากเมืองหลวงที่คิดว่าจะหลอกล่อพวกเขามาติดกับ ทว่าเป็นพวกเขาชำนาญพื้นที่มากกว่าและกำลังจะกำชัยในครั้งนี้ แม้ในใจลึก ๆ แล้วพวกเขาหวั่นว่ารถม้าที่นำไปก่อนจะมิอาจประคองผ่านโค้งของหุบเขาแห่งนี้ไปได้ หากว่าสิ่งที่หมายปองอยู่ในนั้นทั้งหมด เท่ากับพวกเขาเสียแรงเปล่าเมื่อรถม้าหลุดร่วงลงสู่พื้นเบื้องล่าง
เพียงลับเหลี่ยมผาไปมิถึงเสี้ยวเวลา สิ่งที่หลายคนหวาดหวั่นก็ได้เกิดขึ้นจริง เสียงม้าร้องออกมาด้วยความตกใจกลัวตามมาด้วยเสียงหนัก ๆ ร่วงไถลลงกระทบผาหินทำให้คนทั้งหมดถึงกับหนาวสะท้านไปทั้งอก โม่
เหยียนเฉามัวแต่เหลียวมองไปยังรถม้าซึ่งมีน้องชายและหลานสาวทั้งสองอยู่ภายใน
ฉึก!
ร่างสูงใหญ่เสียหลักลอยลงไปจากขอบผาอันสูงชันโดยผู้ติดตามมิอาจช่วยเอาไว้ได้ทัน เพราะตัวพวกเขาเองก็มิอาจรอดพ้นจากคมอาวุธแล้วเช่นกัน
“พลาดจนได้ หาทางลงเขา เราจะไปเอาสมบัติทั้งหมดในรถม้ามาให้ได้”
ผู้มาดหมายในสมบัติทุกคนจึงหันหลังกลับเพื่อจะออกค้นหารถม้าที่ตกลงไปยังเบื้องล่าง การปล้นครั้งนี้นับว่าล้มเหลวที่สุดสำหรับโจรเช่นพวกเขา
“ช้าก่อนท่านหัวหน้า ข้าเกรงว่าเรายังปล่อยให้มีคนรอดชีวิตอยู่นะขอรับ”
“ใครกัน”
มิถามเปล่า ร่างสูงก้าวตรงไปยังทิศทางตามสายตาของคนสนิทในทันที ชายฉกรรจ์ผู้เป็นหัวหน้ายกยิ้มน้อย ๆ เมื่อมองต่ำลงไปยังขอบหน้าผาเห็นร่างของใครบางคนยังห้อยตัวอยู่ ก่อนหันกลับไปเอาคันธนูพร้อมลูกศรจากคนของตน แล้วยกขึ้นเหนี่ยวสายธนูจนสุดแรง ค่อย ๆ เบนหัวลูกศรไปยังเป้าหมาย
ฟึ่บ!
ลูกศรอันใหญ่ถูกปล่อยออกไปอย่างรวดเร็วและตรงเป้าหมายเสมือนการจับวางก็มิปาน ร่างของคนผู้นั้นร่วงลงไปเปรียบดั่งใบไม้ที่หลุดลอยจากกิ่งก้าน
ห่างออกไปอีกด้านของป่าบนต้นไม้สูงชัน ชายในชุดดำกว่าห้าคนได้มองดูเหตุการณ์ทั้งหมดด้วยความสงบ
เมื่อทุกอย่างจบลงแล้ว รวมทั้งกลุ่มโจรได้จากไปจนหมดสิ้น ทั้งห้าจึงได้ก้าวไปยังจุดปะทะกันในทันที ทุกอย่างคือความสูญเสีย ผู้นำทั้งสองของคณะได้สิ้นใจยังก้นผาลึก ทุกอย่างช่างง่ายดาย มิต้องลงมือให้เปลืองแรงแม้แต่น้อย
“ส่งสาร์นให้แก่นายท่าน ว่าเสี้ยนหนามหลักถูกกำจัดแล้ว”
“ขอรับ”
ชายชุดดำทั้งห้าได้หายไปจากตรงนั้นอย่างรวดเร็วเมื่อภารกิจของพวกเขาเสร็จสิ้นลงแล้ว เหลือทิ้งไว้เพียงร่างไร้ลมหายใจของคณะพ่อค้าจากเมืองหลวง ที่จำต้องสังเวยชีวิตให้แก่ความประมาทของพวกเขาเอง
เมืองหลวง
ภายในตลาดเมืองหลวงดูจะคึกคักกว่าที่เคยเมื่อมีประกาศแต่งตั้งพระสนมจากต่างแดนขึ้นสู่ต่ำแหน่งเฟยอีกคน ทั้งยังมีข่าวว่าจะมีงานเลี้ยงฉลองอันยิ่งใหญ่เพื่อต้อนรับพระนางเต๋อเฟยให้สมพระเกียรติในอีกเร็ววัน จึงทำให้บรรดาขุนนางน้อยใหญ่พากันหลั่งไหลเข้าสู่เมืองหลวง เพื่อเตรียมการเข้าร่วมในงานเลี้ยงที่จะเกิดขึ้น
มิเว้นแม้แต่เหล่าคหบดีจากทั้งในและต่างแคว้น ต่างพากันนำสินค้าเข้ามายังเมืองหลวงชีเป่ยเพื่อค้าขายหาผลกำไรจากบรรดาบุตรธิดาของเหล่าผู้มีอันจะกิน
อีกทั้งข่าวลือมากมายในทางดีและไม่ดีได้กระจายไปทั่วทุกหัวมุมถนนเลยก็ว่าได้ ข่าวลือเหล่านั้นก็มิอาจหนีพ้นเรื่องของฮองเฮาและหลิวกุ้ยเฟยที่กำลังเดินทางกลับสู่เมืองหลวงในเวลานี้
เจ้าของร่างสูงใหญ่ในชุดสีดำสนิทหยุดชะงักในทันใดเพื่อฟังคำพูดที่เหมือนจะไร้ความเกรงกลัวต่ออำนาจแห่งราชวงศ์ เรียวปากหนาคลี่ออกน้อย ๆ พร้อมทั้งถอนหายใจเบา ๆ ก่อนที่จะก้าวต่อไปช้า ๆ อย่างมิเร่งรีบอันใด โดยมีผู้ติดตามอยู่ด้านหลังเพียงสองคนเท่านั้น
ทั้งสามคนรู้ดีว่านับตั้งแต่ก้าวลงจากเรือก็ได้ถูกจับตาชนิดที่เรียกได้ว่าแทบสิงกายพวกเขาทั้งนายบ่าวเลยก็ว่าได้ แต่ทว่า คนพวกนั้นยังไม่รู้จักเขาดีพอ
‘คนสกุลจ้าวใช่สหายพวกเจ้ารึ ถึงคิดจะหยอกเย้าเสมือนข้าเป็นลูกเจี๊ยบ หึ ๆ แล้วข้าจะแสดงความอ่อนโยนให้ได้เห็นกันถ้วนหน้า’
เสียงหัวเราะในลำคอของชายหนุ่มทำให้ผู้ติดตามทั้งสองได้แต่ส่ายหน้าเบา ๆ พวกเขารู้นิสัยผู้เป็นนายดี ว่าถ้าลองได้แสดงอาการเช่นนี้แล้วนั้น สิ่งที่ตามมาจะต้องมิธรรมดาอย่างแน่นอน
“ครานี้ ข้าว่าคงต้องมีสกุลใดสักสกุลหายไปเป็นแน่”
“เจ้าน่าจะรู้อยู่ก่อนแล้วมิใช่รึ นับตั้งแต่ก้าวออกจากเกาะ”
“ฮา ๆ”
ชายหนุ่มผู้เดินนำหน้าหยุดเท้าลงอย่างกะทันหัน เมื่ออยู่ ๆ คนของตนได้พากันหัวเราะเสียงดัง ทั้ง ๆ ที่ไม่มีเหตุการณ์ใดตลกขบขันถึงปานนั้น คิ้วหนาย่นเข้าหากันก่อนจะ...
พลั่ก! โครม!
ยังมิทันได้หันกลับไปเอ่ยถามผู้ติดตามทั้งสอง ทว่าบัดนี้ ร่างสูงสง่าเป็นอันต้องล้มคว่ำไปยังร้านขายผลไม้ด้วยแรงกระแทกจากผู้ติดตามทั้งสองที่ชนเขาอย่างแรง ทำให้แตงโมหลายผลถึงกับแตกกระจาย ทั้งยังเปรอะเปื้อนเนื้อตัว จนเวลานี้ความหล่อเหลาก็มิอาจช่วยอันใดเขาได้เลยแม้แต่น้อย
“นายท่าน เป็นอย่างไรบ้างขอรับ”
“ยังมีหน้ามาถามข้าอีกรึ พวกเจ้าเดินมิมองทางเลยหรืออย่างไรกัน ข้าเป็นสหายพวกเจ้ารึถึงได้กล้าทำเช่นนี้กับข้า”
จ้าวอวิ๋นเสียงเขียวใส่ผู้ติดตามทั้งสองที่กำลังช่วยกันพยุงร่างของผู้เป็นนายขึ้น ชายหนุ่มพยายามใช้ความเคร่งขรึมกลบเกลื่อนอาการขบขันของตนเองเอาไว้อย่างที่สุด
เขาต่างหากที่เป็นผู้ผิด และช่างน่าขบขันนักกับสภาพในตอนนี้ ทว่าหากเขาเห็นมันเป็นเรื่องเล็กน้อยไป คนที่ตามติดพวกเขาอยู่ก็จะรู้ว่าที่ผ่านมานั้น นิสัยคุณชายเจ้าอารมณ์คือสิ่งที่เขาเสแสร้งมันขึ้นมา
“พวกข้ามิได้ตั้งใจขอรับนายท่าน ได้โปรดอภัยให้พวกข้าด้วยเถอะนะขอรับ”
ผู้ติดตามทั้งสองรีบคุกเข่าลงยังพื้นถนน ก่อนจะหมอบตัวสั่นอยู่แทบเท้าของผู้เป็นนาย แต่ใครจะหารู้ไม่ว่า อาการสั่นสะท้านไปทั้งกายของสองผู้ติดตามไม่ได้เกิดจากความหวาดกลัวผู้เป็นนายเลยแม้แต่น้อย แท้จริงแล้ว ทั้งคู่พยายามข่มกลั้นอาการขบขันเสียมากกว่า
“ฮึ! พวกเจ้ายังบังอาจร้องหาคำว่าอภัยจากข้าอยู่อีกรึ”
“เอ่อ! ขะ…คุณชายขอรับ คือว่า…”
“อะไร…”
น้ำเสียงห้วนสั้นของชายหนุ่มทำให้ชายชราผู้เป็นเจ้าของร้านผลไม้ถึงกับสั่นไปทั้งตัวด้วยความหวั่นเกรง ด้วยฐานะที่แตกต่างทำให้ชายชราเริ่มหวาดหวั่น ว่าความเสียหายที่เกิดขึ้นอาจไม่ได้รับการชดใช้เป็นแน่
“ร้านของข้าน้อย…พะ…พังเสียหายมากนะขอรับ”
“แล้วอย่างไร ข้าต้องชดใช้สินะ”
“ขอรับ”
จ้าวอวิ๋นยังคงทำหน้าตาบึ้งตึง พร้อมทั้งปัดไปตามเสื้อผ้าที่ยังเปรอะเปื้อนไปด้วยเศษผลไม้ ก่อนจะชำเลืองมองชายชราเจ้าของร้านที่ยืนตัวสั่นอยู่มิห่างมากนัก
เจ้าอวิ๋นขยับเข้าใกล้ชายชราด้วยท่าทีคุกคาม ทำให้ทุกสายตาของคนในตลาดกลางเมืองหลวงต่างมองคุณชายรูปงามที่ได้กระทำกริยาไม่ดีต่อชนชั้นล่างเช่นชายชราผู้เป็นเจ้าร้านผลไม้ที่ได้รับความเสียหาย