บทที่7
“ข้าจะรับผิดชอบเองทั้งหมดท่านลุง แต่ตอนนี้ ข้าขอท่านเพียงสิ่งเดียว นั่นคือทำตามบทบาทที่ข้าหยิบยื่นให้เท่านั้นเป็นพอ ข้าให้ห้าเท่าของความเสียหายที่เกิดขึ้น”
จ้าวอวิ๋นไม่พูดเปล่า ทว่า มือหนาที่วางบนสาบเสื้อของชายชรานั้นได้ยัดบางสิ่งเข้าไปด้านในเป็นที่เรียบร้อย โดยไม่มีผู้ใดได้ทันเห็นว่ามันคืออะไรกันแน่ ด้วยเวลานี้ จ้าวอวิ๋นได้โน้มกายกระซิบเพียงให้ได้ยินกันแค่เพียงสองคนเท่านั้น
ชายชราดวงตาเบิกกว้างด้วยความตกใจ แต่ถูกกระชับสาบเสื้อเอาไว้แน่น จึงดูเหมือนกับชายหนุ่มกำลังตั้งใจคุกคามชายชราอย่างเห็นได้ชัด โดยมีสองผู้ติดตามพยายามรั้งขาผู้เป็นนายเอาไว้
ทุกอย่างเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว ร่างผอมแห้งของชายชรากระเด็นไปชนกำแพงก่อนจะรูดลงตามผนังกำแพงด้วยอาการเจ็บปวดเหลือคณานับ น้ำตาของชายชราไหลอาบแก้มด้วยความเสียใจและเจ็บปวด ที่เกิดมาต่ำต้อยจนถูกรังแกมิต่างจากเศษขยะอันไร้ค่าในสายตาของชนชั้นสูงที่อยากจะทำสิ่งใดกับเขาก็ได้ตามแต่ใจต้องการ
“ใครมีปัญหาอะไรกับข้ารึไม่ ก้าวออกมาหากอยากจะรู้จักข้าให้มากกว่านี้”
“…”
ไร้เสียงตอบรับในทันใด รอบกายเงียบดุจไร้ผู้คนก็มิปานเมื่อได้ยินคำท้าของชายหนุ่ม
“เกิดมาสูงส่งแล้วอย่างไรกัน ในเมื่อเวลานี้ เท้าของคุณชายยังเหยียบอยู่บนพื้นดินเดียวกับทุกคนมิใช่รึเจ้าคะ”
เสียงหวานกังวานเอ่ยออกมา ทั้งยังเรียกทุกสายตาให้หันไปตามทิศทางนั้นในทันที ก่อนจะพบร่างบางสูงโปร่งยืนเอามือไขว้หลังทั้งสองข้าง การแต่งกายก็แตกต่างจากสตรีทั่วไป เพราะติดจะเหมือนการแต่งกายของบุรุษเสียมากกว่าด้วยซ้ำ แต่ยังคงมีเครื่องประดับของสตรีประดับอยู่บนผมดำสลวย แม้จะน้อยชิ้นแต่ก็เรื่องว่าลงตัวและงดงามยิ่งนัก
‘ออกตัวจนได้สินะ แม่เสือน้อยของข้า’
จ้าวอวิ๋นแทบโผเข้าหาร่างบางที่เขาเฝ้าคะนึงหา ทว่าจำต้องแสร้งมิใส่ใจในตัวหญิงสาว ซึ่งตัวเขาเองก็อยากรู้ว่านางจะทำเช่นไร หากเขามิอาจเป็นดั่งใจนาง
“แม่นาง มิเคยมีใครคอยตักเตือนเจ้าบ้างเลยรึ ว่าอย่าสอดมือในสิ่งที่ไม่ใช่เรื่องของตนเอง”
“เช่นนั้นรึคุณชาย แล้วท่านเล่า ไม่มีผู้ใดคอยชี้แนะบ้างเลยรึ ว่าอย่าได้อวดเบ่งในอำนาจจนนำภัยมาสู่ตน”
เจ้าของร่างบางโปร่งกระชับพัดในมือแน่น บอกได้โดยไม่ต้องเอ่ยให้เสียเวลา ว่าหมายจะลงมือมากกว่าการต่อคำ นางรู้ดีว่าคนตรงหน้าช่างกวนประสาทผู้คนได้มากกว่าที่เห็นในตอนนี้ หากอยากจบทุกอย่างก็จำต้องลงมือด้วยกำลังเท่านั้นถึงจะเป็นการปิดปากอันยโสนั้นเสีย
“แม่นางหลบไปเสีย ข้ามิชอบต่อคำกับสตรี”
“ข้าก็มิใคร่จะพูดให้มากความกับคนอันธพาล ไร้ความรับผิดชอบ”
ถงม่งเหยาเคลื่อนกายอย่างแผ่วเบา ทว่ากลับรวดเร็วจนมองมิทันเห็นด้วยซ้ำ เมื่อบัดนี้ ร่างระหงยืนขวางระหว่างชายชราเจ้าของร้านกับชายหนุ่ม รอยยิ้มละมุนของหญิงสาวทำให้จ้าวอวิ๋นแทบจะไร้เรี่ยวแรงต่อต้านกับสายตานั้นเลยทีเดียว
“เจ้า…หาญกล้าเกินไปแล้ว”
พรึ่บ!
พัดถูกสะบัดวาดผ่านใบหน้าคมเข้มอย่างรวดเร็ว ในสายตาคนนอกนั้นเสมือนการลงมือมีความรุนแรงยิ่งนัก ทว่าแท้จริงแล้ว มันเปรียบได้ดั่งลมที่พัดผ่านไปเท่านั้นเอง
การตอบโต้ของชายหนุ่มนั้นดูเหมือนคนมิเคยได้รับการฝึกฝนเชิงต่อสู้มาเลยแม้แต่น้อย ทุกท่วงท่าช่างน่าขบขันในสายตาของผู้คนรอบกาย สองผู้ติดตามก็ได้แต่ช่วยดึงให้ผู้เป็นนายหลบหลีกการจู่โจม
หลายต่อหลายครั้งที่หญิงสาวแทบหลุดขำออกมา มิใช่แค่ท่าทางของจ้าวอวิ๋นเท่านั้นที่ดูตลกขบขัน ทว่า สีหน้าของเขานั่นอย่างไรเล่าที่ทำให้นางจำต้องลอบอมยิ้มอยู่บ่อยครั้ง
ห่างออกไปไม่ไกล ได้มีสายตาของใครอีกหลายคนจ้องมองการต่อสู้ระหว่างยอดฝีมือกับลูกนกที่ยังมิทันผลัดขน จ้าวอวิ๋นช่างไร้สามารถสมดังคำร่ำลือยิ่งนัก แม้แต่สตรีบอบบางก็ยากที่จะเอาชนะได้ แล้วไยนายท่านจำต้องให้พวกเขาเฝ้าติดตามด้วยเล่า ช่างเสียเวลายิ่งนัก
แต่ในเมื่อมันคือคำสั่ง พวกเขาก็จะขอดูความอับอายของคนสกุลจ้าวสักหน่อยจะเป็นไรไป
ภาพความอลเวงภายในตลาดกลางเมืองสร้างความขบขันและคำวิจารณ์ไปอย่างกว้างขวางภายในเวลาอันรวดเร็ว และมิวายมีคนบอกอีกว่า ชายหนุ่มผู้เป็นเหมือนเด็กเอาแต่ใจไร้สามารถคือหลานชายคนโตของฮองเฮาจ้าวเหลียน นามว่าจ้าวอวิ๋น ผู้เป็นเจ้าของเกาะดอกเหมยอันเลื่องชื่อในเรื่องสุราชั้นยอด
พลั่ก!
“อึก!”
ร่างสูงของจ้าวอวิ๋นลงไปกองอยู่กับพื้น เมื่อถูกร่างบางถีบเข้ากลางช่องท้อง ชายหนุ่มได้แต่ทำหน้าเหยเกด้วยความจุกไปทั้งกาย ดวงตาดุดันมองไปยังหญิงสาวที่ยืนยิ้มละมุนมาให้ด้วยความอาฆาต ความอับอายที่เกิดขึ้นในครานี้ เขาจะต้องเอาคืนให้สาสม
“แม่นาง พวกข้าน้อยขอร้องเถอะนะขอรับ อย่าได้ลงมือต่อนายท่านของพวกข้าอีกเลย”
“จะให้ข้าหยุดมือรึ แล้วเขาเล่าจะรับผิดชอบต่อความเสียหายของท่านลุงเช่นไร ไหนบอกให้มันกระจ่างชัดแก่ข้าในตอนนี้จะได้หรือไม่”
“นี่ขอรับ ค่าเสียหาย ข้าขอให้เรื่องนี้จบแต่เพียงเท่านี้เถอะขอรับ ได้โปรดเถอะแม่นาง” เหล่าผู้ติดตามต่างหมอบก้ม โขกศีรษะให้หญิงสาวเพื่ออ้อนวอนร้องขอแทนผู้เป็นนาย
“เจ้าพวกโง่ ข้าเป็นใครกัน ถึงจะให้ยอมแพ้สตรีร้ายกาจไร้หัวนอนปลายเท้าเช่นนาง”
“ข้าเป็นคน มิใช่ผีที่จะมีแต่ตัว”
เสียงหวานแหวกลับทั้งยังยอกย้อนอยู่ในที ทำให้ชายหนุ่มทั้งสามแทบจะหลุดขำขันออกมามิได้ เมื่อเจอพูดเช่นนั้นของหญิงสาว ทั้งยังการปั้นหน้าตาราวเด็กไร้เดียงสาของนาง
“หึ! วันนี้ ข้าหิวข้าวแล้ว ไม่อยากมาเสียเวลากับคนเช่นพวกเจ้า หย่งฮุ่ย จ่ายเงินไปเสีย แล้วเผื่อให้แม่นางคนงามสักตำลึงด้วยล่ะ ดูจากท่าทางแล้วคงไม่มีเงินมากพอที่จะซื้อเสื้อผ้าดี ๆ มาสวมใส่ได้ ฮา ๆ”
ร่างสูงลุกขึ้นก่อนจะสะบัดแขนเสื้อเดินจากไปในทันที โดยมิคิดใส่ใจกับสายตาของผู้คน ในเมื่อเขาเกิดมาในสกุลสูง ซ้ำยังเป็นพระญาติสนิทของราชวงศ์ จึงไม่คิดใส่ใจกับคนที่ต่ำต้อยกว่าตนอยู่แล้ว
ถงม่งเหยาได้แต่ยืนหายใจหอบแรงด้วยความขุ่นเคืองเมื่อถูกชายหนุ่มเอ่ยถึงการแต่งกายของนาง ก่อนที่ใบหน้างามจะสะบัดไปอีกด้าน พร้อมทั้งก้าวจากไปโดยไม่แม้แต่จะชายตามองห่อเงินที่คนของชายหนุ่มยื่นมาให้
“แม้ตัวข้าจะยากจนไร้ทรัพย์สิน แต่มิเคยไร้น้ำใจ หากเงินนั้นมีค่าสำหรับนายเจ้า ก็เอาให้เขาไปรักษาโรคน่ารังเกียจนั่นซะ…โรคหลงตนเอง”
กล่าวจบ ร่างบางก็ได้หายไปอย่างรวดเร็ว หลงเหลือไว้เพียงอาการตัวชาของสามนายบ่าว แม้ว่าจ้าวอวิ๋นจะเดินห่างออกมามากแล้วก็ตาม แต่คำพูดสุดท้ายของหญิงสาวกลับดังขึ้นอย่างตั้งใจให้เขาได้ยินทุกคำพูดของนาง
รอยยิ้มกดลึกเกิดขึ้นยังมุมปากได้รูปของชายหนุ่ม ก่อนที่เขาจะก้าวจากไปโดยมิใส่ใจสิ่งอื่นใดอีก ทุกอย่างดูเหมือนจะลงเอยไม่ต่างจากเวลาที่บรรดาลูกขุนนางผู้มีอำนาจชอบกระทำอยู่บ่อยครั้ง นั่นคือทุกอย่างจบลงด้วยเงินตราหรือการมองข้ามคนที่ต่ำต้อยกว่าอยู่เป็นนิจ
วังหลวง
“ทูลฝ่าบาท เวลานี้ในเมืองหลวงมีผู้คนเข้ามาจนแทบจะไร้ที่พักแล้วนะพ่ะย่ะค่ะ”
บุรุษในชุดมังกรเลิกคิ้วสูง ก่อนจะหัวเราะเบา ๆ ในลำคอ แผนการของศัตรูแยบยลนัก ด้วยการปล่อยข่าวเรื่องการจัดเลี้ยงฉลอง เชื้อเชิญให้ผู้คนหลั่งไหลเข้าสู่เมืองหลวง ทำให้ยากต่อการป้องกันระวังภัยที่อาจเกิดขึ้นเมื่อใดก็ได้ เหล่าขุนนางและคหบดีที่เดินทางเข้ามานั้น มีทั้งตงฉินและกังฉิน การเดิมเกมของศัตรูช่างล้ำลึกนัก ทว่ายังคงมีช่องโหว่อยู่มากพอที่เขาจะแทรกแซงได้เช่นกัน
“ก็ดี จะได้คึกคัก ท่าทางสนมของข้า นางชอบความตื่นเต้น”
ก่อนมือหนาจะหย่อนเบี้ยในกระดานหมากลงไปในถ้วยน้ำชาชั้นดี แล้วเลื่อนไปตรงหน้าขันทีหนุ่มผู้มาทำหน้าที่แทนจิ่วกงกงและกงกงชราผู้อยู่ข้างกาย ซึ่งทั้งคู่เกิดล้มป่วย จำต้องหยุดพักตามพระบัญชาของผู้เป็นใหญ่ในแผ่นดิน
“นำไปให้เต๋อเฟย”
พร้อมทั้งกวักมือเรียกขันทีหนุ่มให้เอียงหูมาใกล้ ๆ ก่อนจะกระซิบบางอย่าง
“ฮา ๆ ๆ”
เสียงทรงอำนาจเปล่งออกมาด้วยอารมณ์ที่ดูไร้กังวลเป็นที่สุด ขันทีหนุ่มเอื้อมมือมายกถ้วยชาใส่ในถาดสีทอง ก่อนเดินออกจากสวนส่วนพระองค์ ตรงไปยังตำหนักเต๋อเฟยในเขตวังหลัง โดยมีนางกำนัลรับใช้ถือถาดแพรพรรณงดงามตามไปอีกสองคน
ตำหนักเต๋อเฟย
พระสนมวัยแรกแย้มกำลังนั่งอยู่หน้ากระดานหมาก คิ้วงามขมวดเป็นปมเมื่อมองดูบนกระดาน เหมือนมันกำลังขาดสิ่งใดไป
“ทูลพระสนม กงกงจากตำหนักหลวงขอเข้าเฝ้าพ่ะย่ะค่ะ”
อี้กงกงก้มหัวเล็กน้อย กล่าวรายงานยังห้องชั้นนอกด้วยท่าทีนอบน้อม ริมฝีปากของขันทีหนุ่มที่ยืนรออยู่หน้าประตูตำหนักบิดเล็กน้อยกับภาพการประจบประแจงของอี้กงกงผู้ยิ่งใหญ่ในวังหลัง คู่ปรับของจิ่วกงกงที่มักจะปะทะฝีปากกันอยู่เป็นนิจ ทว่าวันนี้ จิ่วกงกงมิได้เป็นผู้มาด้วยตนเอง จึงทำให้ความผยองของอี้กงกงมีมากกว่าที่เคยหลายเท่านัก
“เวลานี้ ข้าพักผ่อน สมควรให้ขันทีชั้นต่ำมาขอพบได้อย่างนั้นหรือ ข้าควรพบเขาด้วยเหตุผลใดกัน”
น้ำเสียงปนด้วยความหยิ่งผยอง ทำให้ผู้มาเยือนทั้งสามต่างลอบยิ้ม สนมคนใหม่ไม่ธรรมดาจริงๆ นางคงคิดว่าขันทีหนุ่มมาขอพบด้วยบัญชาจากฮองเฮากระมัง เลยต้องอวดเบ่งอำนาจเพื่อข่มคนของฮองเฮา อยากรู้นัก ตอนที่ต้องคุกเข่ารับน้ำชาพระราชทานจากฝ่าบาทจะยังพองขนอยู่อีกหรือไม่
อี้กงกงหันกลับไปหวังจะไล่ขันทีหนุ่มที่มาขอเข้าเฝ้าโดยไม่ได้แจ้งว่าผู้ใดออกคำสั่ง กงกงเฒ่าปรารถนาให้พระสนมทรงกริ้วจนสั่งลงทัณฑ์ขันทีหนุ่มผู้กล้าจ้องหน้าเขาอย่างไร้ความยำเกรง
‘พวกเจ้ามันยโสยิ่งนัก ข้าอยากเห็นตอนเจ้าถูกลงทัณฑ์จากความกำแหงนี้นัก’
“กั๋วเต๋อเฟยรับพระบัญชา ฮ่องเต้ทรงมีรับสั่งประทานน้ำชาชั้นดีแด่พระนางเต๋อเฟย”
ขันทีหนุ่มก้าวข้ามประตูเข้ามายืนกลางห้องชั้นนอกของตำหนักพร้อมเปล่งเสียงดังหนักแน่น ถ้วยชาในมือมันมีค่ากว่าหัวของคนทั้งตำหนัก หากมันถูกทำให้เสียหายหรือถูกปฏิเสธ ย่อมหมายถึงมดตัวน้อยเหล่านี้นำคอไปพาดบนแท่นประหารนั่นเอง
องค์หญิงกั๋วเชียงถึงกับทะลึ่งลุกพรวดขึ้นด้วยใบหน้าตื่นตกใจ มือบางถึงกับสั่นน้อย ๆ ด้วยความกลัวปนกรุ่นโกรธอี้กงกงที่มิถามเอาความกระจ่างจากขันทีที่มาขอพบนาง