บทที่9
หยางซานหลางคว้าจับมือมารดาเอาไว้ ก่อนจะนำขึ้นมาแนบอกด้านซ้ายของตนเองแทน มือที่อ่อนแรงสั่นเทามิแพ้ของมารดาเลยสักนิด แต่ชายหนุ่มยังคงฝืนยิ้มเพื่อปลอบใจตนเอง และมารดาเอาไว้ว่าอย่างน้อย ตอนนี้ เขายังคงหายใจอยู่ แม้อีกไม่ช้าเขาจะจากไปแล้วก็ตาม
“ไม่ทันแล้วขอรับท่านแม่ ซานหลางขอแค่ท่านแม่อภัยให้ เพียงเท่านี้ก็มากพอแล้วขอรับ”
หยางซานหลางกะพริบตาถี่ ๆ เพื่อไล่น้ำตาที่กำลังไหลริน เมื่อผู้เป็นแม่ได้ดึงมือของนาง ออกจากการเกาะกุมของเขา ใบหน้าที่ซีดเซียวกับเจื่อนไปมากกว่าเดิม ด้วยคิดว่าคนที่ประคองกอดอยู่ ไม่ยอมให้อภัยแก่เขา เพียงครู่เดียว มือบางของหลิวเจินเจินก็ได้กลับมาวางทาบทับมือหนาที่เคยแกร่งดุจเหล็กกล้าของชายหนุ่มอีกครั้ง ก่อนจะยกขึ้นแนบแก้มนวลของนางด้วยความอ่อนโยน
“ไม่ ซานหลาง…แม่มิอาจทนได้ หากเจ้าคิดจะทิ้งแม่ไปเช่นนี้ ฮึก! แม่ทนไม่ได้จริง ๆ เข้าใจรึไม่ ซานหลาง”
เขายังจำได้ดีว่าทุกครั้งที่เขาเจ็บป่วย คนที่กำลังโอบกอดอยู่นี้จะมิเคยห่างจากเขาแม้ยามหลับ หยางซานหลางไม่อาจประคองตัวเอาไว้ได้อีกต่อไป ลมหายใจเริ่มแผ่วเบาลงเรื่อย ๆ ลูกธนูนั้นได้ถูกจุดสำคัญของร่างกาย ต่อให้หมอเทวดาก็ไม่อาจยื้อชีวิตเขาเอาไว้ได้ มือหนาที่แนบอยู่กับแก้มนวลพยายามขยับนิ้ว เช็ดคราบน้ำตาให้แก่ผู้เป็นแม่อย่างอ่อนโยนที่สุดเท่าที่เขาจะทำได้ในตอนนี้
ใช่แล้วเขาผิดเองที่อกตัญญูคิดสังหารนาง แม้แต่วินาทีที่เขาเอาดาบจ่อลำคอ สตรีผู้นี้ยังยอมที่จะสละชีพเพื่อเขา ใช่ว่าจะไม่เข้าใจความรู้สึกของมารดาที่มิอาจฆ่าเขาได้ และไม่อยากเห็นเขากับน้องสาวเข่นฆ่ากันเองจึงยอมที่จะตาย เพื่อมิต้องพบเจอเหตุการณ์เช่นนั้น ทั้งยังเพื่อไม่ให้พระสนมหลิวรอดไปได้จึงยอมตายแทนที่จะให้น้องสาวยอมทำตามความต้องการของเขา
‘ไยท่านถึงรักข้ากัน ท่านแม่’
“ท่านแม่…ข้าหนาวเหลือเกินขอรับ ไยถึงหนาวได้ถึงเพียงนี้กันเล่าขอรับ ท่านแม่”
หยางซานหลางเริ่มตัวสั่นเทา ด้วยร่างกายเสียเลือดไปมากทำให้ร่างกายของชายหนุ่มหนาวสะท้าน เสมือนยืนอยู่ท่ามกลางหิมะในฤดู เหมันต์ก็มิปาน
หลิวเจินเจินกระชับอ้อมแขนให้แน่นขึ้น มืออีกข้างลูบไปตามแขนแกร่งขึ้นลงอย่างเป็นจังหวะ
“แม่อยู่นี่กับเจ้าเสมอลูกรัก แม่จะกอดเจ้าเช่นนี้ มิให้ผู้ใดมาทำร้ายเจ้าได้อีก อุ่นขึ้นรึยัง ลูกแม่”
ใบหน้างามแนบลงยังหน้าผากของบุตรชาย พร้อมทั้งกระซิบแผ่วเบาเพื่อปลอบโยนผู้เป็นลูกเบา ๆ
“ข้าอุ่นเหลือเกินขอรับ ท่านแม่”
หยางซานหลางยังคงเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงสั่นเทา แต่เขาอยากที่จะปลอบโยนมารดาให้คลายกังวลเท่านั้นจึงตอบรับคำถามมารดาด้วยความรักล้นหัวใจ สองแม่ลูกพร่ำปลอบโยนกันเบา ๆ ก่อนที่หลิวเจินเจินจะเงยหน้า มองไปยังหลิวเมิ่งชีที่พยายามยื่นมือสองข้างออกมา เสมือนรอคอยคนที่แนบอกนางอยู่ในตอนนี้ เพื่อให้เดินเข้าสู่อ้อมกอดของตนเองอย่างไรอย่างนั้น
“เห็นความอำมหิตของเจ้าหรือยัง เมิ่งชี หากเจ้ารู้จักยับยั้งชั่งใจให้มากกว่านี้ ทุกอย่างคงไม่เลวร้ายจนซานหลางต้องเจ็บปวดถึงเพียงนี้ จะโทษผู้ใดได้…ถ้าไม่ใช่ความเห็นแก่ตัวของเจ้ากับซานซิน เพราะพวกเจ้าที่มาพรากลูกชายข้าไป”
“เพราะเจ้า เจินเจิน ข้าไม่ผิด…คนรักของข้าก็ไม่ผิด เป็นเจ้าที่มิยอมอยู่เฉยเอง…ข้าไม่ผิด…ได้ยินรึไม่”
คำพูดแผ่วเบาของหลิวเมิ่งชีซ้ำไปมาจนเงียบหายไป พร้อม ๆ กับลมหายใจของนางที่กำลังจะหมดลงอย่างช้า ๆ และมันช่างทรมานในหัวใจยิ่งนัก เพราะภาพสุดท้ายที่นางได้เห็น มันช่างบาดลึกนัก นางเจ็บปวดจนไม่อาจบรรยายออกมาได้กับการที่บุตรชายสิ้นเรี่ยวแรงอยู่ในอ้อมแขนของศัตรู แทนที่จะเป็นอ้อมกอดของแม่แท้ ๆ อย่างนางต่างหาก
หลิวเจินเจินเลิกสนใจคนที่กล่าวหานาง ก่อนจะกวาดสายตามองไปรอบ ๆ เมื่ออยู่ ๆ เมี่ยวจ้านก็ได้หายไป
“เมี่ยวจ้าน…”
เมื่อนึกถึงบุตรสาวขึ้นมา หลิวเจินเจินก็พานเศร้าใจ ในชะตาของสองพี่น้องที่เสมือนคนละขั้ว หนึ่งมุ่งมั่นทะนงตนว่าไร้ผู้ทัดเทียมจนขาดสติยั้งคิดนำภัยมาสู้ตน อีกหนึ่งกลับทะนงเด็ดเดี่ยวสมกับสายเลือดแม่ทัพที่ไหลเวียนในกาย หลิวเจินเจินแม้จะห่วงบุตรสาวที่หายตัวไปในตอนนี้ แต่นางมั่นใจว่าครั้งนี้ เมี่ยวจ้านรับมือได้อย่างแน่นอน ต่างกับบุตรชายที่อยู่ในอ้อมแขนที่ไร้ซึ่งโอกาสแก้ไขสิ่งใดได้อีกแล้ว
หลิวเจินเจินโยกกายไปมาเบา ๆ พร้อมขับกล่อมบุตรชายด้วยบทเพลงซึ่งเคยขับร้องให้ชายหนุ่มฟังก่อนนอน ในทุก ๆ คืนเมื่อครั้งยังวัยเยาว์ ท่ามกลางการต่อสู้อันดุเดือดของคนที่เหลืออยู่ในตอนนี้ หลิวเจินเจินหาได้สนใจสิ่งใดไม่ ตอนนี้สำหรับคนเป็นแม่ที่กำลังจะสูญเสียลูกชายไปนั้น นางไม่ขอรับรู้อะไรอีก นอกจากใช้เวลากับหยางซานหลางให้มากที่สุด ก่อนที่เขาจะจากนางไปตลอดกาล
เมี่ยวจ้านมุ่งตามผู้ที่คิดสังหารมารดาของนางไปติด ๆ คนร้ายเองใช่จะหนีเพียงอย่างเดียว
ฟิ้ว! ฟึบ!
ลูกธนูถูกยิงออกมาอย่างรวดเร็ว เป้าหมายในตอนนี้คือหญิงสาวซึ่งติดตามเขามาไม่ห่าง ที่สำคัญคือศรทุกดอกมิอาจแม้แต่เฉียดชายเสื้อของหญิงสาวได้เลย เพราะแส้ทองได้สะบัดปัดป้องได้เป็นอย่างดี ชายในชุดดำจึงนำทางเมี่ยวจ้านไปยังป่าที่หนาทึบขึ้น เพื่อให้นางไม่อาจใช้แส้ทองได้
หญิงสาวยิ้มเย็นกับความคิดของศัตรู ‘ข้าก้าวมาเป็นขุนพลได้ เจ้าคิดว่าข้าจะใช้เป็นเพียงแส้หรืออย่างไร’
เมี่ยวจ้านใช้เวลาเพียงพริบตา ในการเก็บแส้และนำอาวุธอีกชิ้น ออกมาไว้ในมือแทน
“เด็กน้อย! อย่าเสียเวลาตามข้าเลย สู้เอาลมหายใจอันน้อยนิดที่เหลืออยู่ไปปกป้องมารดาเจ้ามิดีกว่าหรือ”
เสียงที่ดังออกมานั้นเคลื่อนไปเรื่อยเพื่อหลอกล่อหญิงสาว และเหมือนกับว่าคนผู้นี้พยายามจะวนรอบตัวนาง ซึ่งตอนนี้ ร่างบางได้หยุดยืนนิ่งอย่างสงบมิได้ไหวติง จะมีก็แต่เพียงชายเสื้อผ้าเท่านั้นที่เคลื่อนไหวไปมาเบา ๆ ตามแรงลม
“อ่า! เช่นนั้นหรอกหรือ ช่างรอบรู้เสียจริง ๆ ข้าไม่เคยบอกว่าตัวข้านี้เป็นใคร เจ้ากลับรู้ดีกว่าตัวข้าเสียอีกว่าผู้ใดคือมารดาของข้า นอกเสียจากว่าเจ้าจะรู้จักครอบครัวข้าเป็นอย่างดี หรือเจ้าก็คือหนึ่งในสกุลหยางกันนะ…รึข้าเดาผิด เช่นนั้นก็คงเป็นคนที่รู้จักข้ามากกว่าพ่อแม่แท้ ๆ ของข้าเองกระมัง”
มีแค่เพียงคนสนิทของพระบิดาเท่านั้นที่รู้ความจริงเรื่องชาติกำเนิดแท้จริงของนาง
“...” ไม่มีคำตอบจากคนที่กำลังหาจังหวะลงมือต่อหญิงสาว
ศัตรูที่มีไม่ใช่แค่ภายในแคว้นชีเป่ย แต่ด้วยตำแหน่งของนางนั้น จิ้งหนานก็ย่อมมีคนตามล่านางเช่นกัน มันจะเป็นใคร นางไม่ขอใส่ใจ ตอนนี้ต้องปกป้องคนที่นางรักให้ปลอดภัยเสียก่อนเท่านั้นเป็นพอ
“เงียบทำไมกัน ข้ายินดีที่จะพบปะกับผู้มีความรู้มากเลยรู้หรือไม่ ยิ่งคนที่ล่วงรู้ชีวิตผู้อื่นเป็นอย่างดี…ยกเว้นตัวเอง”
เมี่ยวจ้านพูดยั่วยุเพื่อให้อีกฝ่ายเผยที่ซ่อน ซึ่งคนผู้นี้ร้ายกาจมิเบาที่สามารถเคลื่อนไหวรอบกายนางได้โดยไร้ร่องรอยให้พบเห็น
“วันนี้ ข้าไม่อยากเล่นกับเจ้า เด็กน้อย ข้าให้โอกาสเจ้าหนีได้หนึ่งครั้ง”
ฉึก!
มีดสั้นคู่กายของเมี่ยวจ้าน ปักอยู่ที่ลำคอของคนพูด
“ข้ารอคำนี้มานานแล้ว”
เมี่ยวจ้านแค่ต้องการรู้ตำแหน่งเท่านั้น นางไม่ได้ต้องการเสวนาให้เปลืองเวลาของนางขนาดนั้น คนที่กำลังจะสิ้นลมถึงกับดวงตาเหลือกค้าง เมื่อร่างบางของเจ้าของมีดได้ก้าวมายืนตรงหน้า
“อึก!” ไม่อยากเชื่อเลยว่า เขาจะพลาดท่าให้กับเด็กเมื่อวานซืน แถมยังเป็นสตรีอีกด้วย
“ข้าขอมีดคืนนะ” เมี่ยวจ้านดึงมีดออกจากลำคอของคนที่ล้มตึงลง เมื่อได้สิ่งที่ต้องการแล้ว เมี่ยวจ้านรีบพุ่งตรงกลับไปยังจุดที่จากมา โดยไม่ได้สนใจคนร้ายเลยแม้แต่น้อย
‘สงครามไม่อาจใจอ่อนได้’
และนางก็ไม่อยากรู้ว่าคนผู้นี้เป็นใคร เพราะเมื่อใดที่กลับจิ้งหนานก็รู้เองหากมีใครหายไป
เมี่ยวจ้านเดินเข้าหามารดาและพี่ชาย ทุกย่างก้าวมันช่างหนักอึ้งจนเกินจะพรรณนาได้ ดวงตาแดงก่ำด้วยความสะเทือนใจกับภาพตรงหน้า นางมิได้ริษยาพี่ชายหรือน้อยใจอันใดแล้วในตอนนี้ แต่น้ำใส ๆ ที่เอ่อล้นออกมา มันคือความสงสารในความอาภัพของพี่ชายต่างมารดา
‘นี่สินะคำว่าสายเลือด’
แม้จะเกลียดบิดาเพียงใด แต่กับพี่ชายนั้น นางมิได้แค้นเคืองอันใดมากมายนัก
อย่างน้อยที่ผ่านมากว่ายี่สิบปีนั้น หยางซานหลางก็ดูแลมารดาของนางเป็นอย่างดี ดุจแม่ผู้ให้กำเนิดที่แท้จริงก็มิปาน หญิงสาวหยุดเท้าตรงหน้าทั้งสอง ก่อนจะนั่งลงโดยเข่าสองข้างกระแทกลงต่อหน้าชายหนุ่ม หยางซานหลางพยายามปรือตามองผู้มาใหม่ซึ่งตอนนี้ก้มหัวลงเป็นการคำนับเขา แต่ไร้สุ้มเสียงใด ๆ จากปากของน้องสาวที่เขาแสนริษยาในความโชคดีของนาง
น้องสาวผู้ได้ถือกำเนิดจากสตรีที่แสนดี เช่นคนที่กำลังโอบกอดเขาพร้อมทั้งร้องเพลงขับกล่อมอยู่ในตอนนี้ เสมือนเขาคือเด็กชายเมื่อวัยเยาว์…ใช่แล้ว ท่านแม่ของเขาต้องการให้เขาหลับและจากไปอย่างมีความสุขที่สุด มันคือสิ่งที่เขาเองก็ต้องการ
เมี่ยวจ้านกลั้นสะอื้นเอาไว้สุดความสามารถ ไหล่บางไหวสะท้านด้วยพยายาม มิให้เสียงใด ๆ หลุดออกมาจากริมฝีปากบาง นางจะส่งพี่ชายให้หลับโดยมีความสุขใจให้มากที่สุด
“ท่านพี่…สิ่งใดที่ท่านทำกับข้า นับจากนี้ น้องสาวจะมิถือสาหาความกับมัน และสิ่งใดที่ข้าได้ล่วงเกินท่านพี่ไป ได้โปรดอภัยให้แก่ข้าด้วย เราไร้ซึ่งวาสนาที่จะเป็นพี่น้องร่วมมารดาในชาตินี้ แต่บุญคุณของท่านพี่ที่คอยดูแลท่านแม่แทนข้า โปรดรับการคำนับจากเมี่ยวจ้านด้วยนะเจ้าคะ”
เมี่ยวจ้านยังมิเงยหน้ามองพี่ชาย หน้าผากของหญิงสาวยังคงแตะอยู่ที่พื้นดิน หยางซานหลางหลับตาลงช้า ๆ เขามิจำต้องข่มกลั้นความเจ็บปวดใด ๆ อีกต่อไปแล้ว สำนึกผิดตอนนี้ก็สายเกินไป และต่อให้เขามีลมหายใจอยู่ต่อก็มิอาจสู้หน้าผู้ใดได้ ด้วยความเลวร้ายที่ได้ก่อเอาไว้ มันสมควรแล้วที่จะจบลงด้วยชีวิตของเขาเอง
ทางด้านหมิงจงเป่าที่กำลังประมือกับศิษย์น้องของเขาซึ่งอยู่ไม่ไกลจากสามแม่ลูกนัก เขาเห็นทุก ๆ อย่าง แม้จะไม่ได้ยืนอยู่ตรงนั้นก็ตามที
“มันคือชะตากรรม” คำพูดเพียงแผ่วเบาของเขา ไม่อาจทำให้สามแม่ลูกที่กำลังโอบกอดกันร่ำไห้อยู่นั้นได้ยิน
ช่างเป็นภาพที่น่าสะเทือนใจจนทำให้ผู้พบเห็นอดที่จะเศร้าเสียใจตามมิได้ แม้หยางซานหลางจะร้ายกาจเพียงใด มันก็มิใช่ความผิดเขาแต่ผู้เดียว ถ้าจะโทษแล้วคงหนีไม่พ้นบิดาของชายหนุ่มเองที่ไม่รักลูกจริงอย่างที่ปากพูด มิเช่นนั้นคงไม่ดึงเอาบุตรชายมาร่วมชะตากรรมที่โหดร้าย และทำในสิ่งที่ผิดต่อคุณธรรมเช่นนี้