บทที่10
ไหนจะอยู่ ๆ วันหนึ่ง…พ่อลุกขึ้นมาฆ่าแม่ แล้วกลับกลายเป็นว่า เขามิใช่บุตรของแม่ผู้เลี้ยงดู ความจริงที่ปรากฏ มันเป็นการทำร้ายจิตใจของแม่ทัพหนุ่มจนเขาไม่อาจทนรับมันได้ แต่ก็จำต้องเก็บเป็นความลับ เพราะหากเรื่องราวของหยางซานหลางนั้นหลุดออกไป รังแต่จะมีภัยมาสู่สามคนพ่อแม่ลูก
คงด้วยเหตุผลนี้ หยางซานหลางจึงยอมที่จะกำจัดหลิวเจินเจิน ผู้เป็นมารดาเลี้ยงตามคำสั่งผู้เป็นพ่อ แต่ตอนนี้ ภาพสามแม่ลูกโอบกอดล่ำลา หนึ่งในนั้นที่จะไม่มีโอกาสได้ชมพระอาทิตย์ขึ้นในวันพรุ่งนี้อีกต่อไป เป็นที่น่าเห็นใจคนที่ยังมีลมหายใจอยู่ยิ่งนัก
หมิงจงเป่าดึงความคิดกลับมาอยู่กับปัจจุบัน เมื่ออาวุธในมือของเจิ้งถงเฉียดกายเขาไปเพียงเล็กน้อย
“เจิ้งถง! เจ้าควรเลิกฝันเฟื่องได้แล้วนะ อย่างไรวันนี้ ข้าก็ไม่ให้เจ้าได้แตะต้องท่านประมุขแน่นอน”
หมิงจงเป่ารู้เป้าหมายที่แท้จริงของศิษย์น้องของตนเองดี หลายครั้งแล้วที่เจิ้งถงพยายามที่จะหลบหลีกเขา เพื่อเข้าหาฟางเล่อที่กำลังรับมืออยู่กับนางมารน้อยจีกวานฮวา
“ศิษย์พี่! ท่านควรจะมองความเป็นจริงให้มากนะ ข้าเป็นบุรุษ อย่างไรเสียก็เหมาะที่จะเป็นผู้นำมากกว่าท่านหญิงผู้อ่อนแอ”
เจิ้งถงเห็นชัดเจนว่าประมุขพรรคโลกันต์นั้นมีฝีมือสูงส่งไม่ใช่น้อย เขาเองใช่จะล้มนางลงได้โดยง่ายหากปะทะกันตรง ๆ โดยไร้คนช่วย การที่เขาหมายจะเล่นงานนางในเวลานี้ให้ได้ เพราะมีจีกวานฮวาช่วยในการลงมือ จีกวานฮวามิได้อยู่ในสายตาเขาสักนิด แต่เวลานี้ หญิงสาวนับว่ามีประโยชน์ต่อเขาเป็นอย่างมาก
ก่อนอื่นต้องหาทางกำจัดผู้คุ้มกัน นั่นก็คือศิษย์พี่ที่ยังคงขวางทางเขาอยู่ในตอนนี้ และดูเหมือนมันจะไม่ง่ายอย่างที่คาดการณ์เอาไว้ในทีแรกเอาเสียเลย ขนาดเวลาพลั้งเผลอของอีกฝ่าย เขายังมิอาจลงมือได้เลย
“ฮา ๆ…รักษาลมหายใจของเจ้าให้ได้เสียก่อน ค่อยคิดเรื่องอื่น เจิ้งถง”
สิ้นคำพูด…เจิ้งถงถึงกับขนลุกเกรียว เมื่ออยู่ ๆ ศิษย์พี่ของเขาก็หายไปจากตรงหน้า ทั้ง ๆ ที่ตัวเขาจ้องอีกฝ่ายตาไม่กะพริบเลยด้วยซ้ำ
‘เป็นไปไม่ได้’
“คิดว่าจะหลบข้าพ้นรึศิษย์พี่”
เจิ้งถงกล่าวออกมาอย่างเชื่อมั่นในตนเอง แต่ภายในใจเขาหวาดหวั่นอยู่มากทีเดียว
‘ข้าไม่น่ารีบสังหารอาจารย์เลย’ เจิ้งถงรู้สึกเสียดายที่มิคิดร่ำเรียนจนสำเร็จทุกวิชาเสียก่อนค่อยลงมือต่ออาจารย์ของตนเอง
“คนบาปหนาเช่นเจ้า มันไร้วาสนาที่จะได้เรียนรู้ ทางที่ดีจงเตรียมตัวเพื่อไปขอขมาอาจารย์ของเจ้าในยมโลกจะดีกว่านะ”
หมิงจงเป่าส่งเพียงเสียงแต่มิปรากฏกายให้อีกฝ่ายเห็น เวลานี้ ทหารติดตามไม่มีแล้วก็จริง แต่เขาวางใจอะไรไม่ได้ เพราะการที่หยางซานหลางต้องตาย นั่นหมายความว่ามีคนอื่นอีกนอกเหนือจากพวกเขาและคนของหยางซานหลาง
เพราะอยู่ ๆ ลูกธนูจะโผล่มาจากที่ใดได้ ในเมื่อเขาคอยจับตาอยู่ตลอดทั้งรับมือศิษย์น้องและคนของแม่ทัพหนุ่ม เขามั่นใจว่าไม่มีใครที่ยกคันศรอย่างแน่นอน นั่นบ่งบอกได้ว่ามีคนแฝงตัวอยู่เพื่อคอยสังเกตการณ์อยู่ไม่ไกล เขาจะมิยอมวางใจในสิ่งที่มองไม่เห็นเป็นอันขาด อาจมีใครอีกที่คอยฉวยโอกาสกับเรื่องนี้ มิตรแท้ไม่เคยมีในการแย่งชิงอำนาจ
เจิ้งถงพยายามเป็นอย่างมาก ในการเพ่งสมาธิเพื่อจับทิศทางของเสียงจากคนที่หายตัวไปอย่างรวดเร็ว
“ท่านช่างน่าขบขันนึกศิษย์พี่ที่คิดจะทดสอบความสามารถของข้า ข้าเองก็อยากรู้นักว่า ท่านจะใช้อีกกี่กระบวนท่า เพื่อขัดขวางข้ามิให้ช่วงชิงลมหายใจของประมุขพรรคโลกันต์ได้”
ขวับ!
เจิ้งถงหันไปทางด้านซ้าย เมื่อเขาเห็นเงาร่างของศิษย์พี่ของตนยืนอยู่ และเป็นเช่นนั้น เมื่อหมิงจงเป่าปรากฏกายขึ้น ทั้งยังยืนนิ่งเฉยเหมือนไร้ความรู้สึกกลัวหรือกดดันแม้แต่น้อย มีเพียงรอยยิ้มกว้างเฉกเช่นคนอารมณ์ดีเท่านั้นที่ปรากฏในครรลองสายตาของเจิ้งถง
เจิ้งถงรีบพุ่งไปยังทิศทางนั้นในทันที เขาต้องกำจัดศิษย์พี่เสียก่อน เพราะต่อให้เขาพุ่งเข้าหาประมุขโลกันต์ ศิษย์พี่ก็ต้องเข้ามาขัดขวางอยู่ดี กำจัดทีละคนจะง่ายกว่า สองศิษย์เอกแห่งพรรคโลกันต์ไล่ล่ากันออกไปอีกด้านของป่า
ทางด้านหลิวเจินเจินและบุตรชายหญิง
หลิวเจินเจินยังคงขับกล่อมบุตรชายด้วยใจที่ประดุจภูผาทั้งลูกได้ร่วงหล่นลงมาทับบนตัวนาง มือหนาไม่ขยับไหวติงแล้ว ลมหายมิได้ผ่านช่องจมูกอีกต่อไปเช่นกัน หยางซานหลางเสมือนคนนอนหลับอย่างมีความสุขในอ้อมกอดของมารดา รอยยิ้มปรากฏให้เห็นบนใบหน้า หลิวเจินเจินใช้มือข้างหนึ่งลูบไปตามใบหน้าหล่อเหลาของบุตรชาย หลับแล้วลูกของนาง ไม่ต้องทรมานกับการแย่งชิงอีกต่อไป
‘เจ้าจะดีหรือร้าย เจ้าคือหัวใจของแม่ซานหลาง’ น้ำตายังคงไหลรินมิขาดสายจากดวงตาที่อ่อนล้าของหลิวเจินเจิน
“ซานหลาง! หากชาติหน้ามีจริง แม่ขอเป็นมารดาผู้ให้กำเนิดของเจ้าและน้องอย่างแท้จริงนะลูกรัก มันไม่ใช่ความผิดของเจ้าเลย ซานหลาง แต่เป็นบิดาเจ้าที่เป็นผู้ก่อเรื่องนี้ขึ้นมา ฮือ ๆ…หยางซานชิน ไอ้คนสารเลว เจ้าฆ่าลูกข้า คนสารเลว เจ้าพรากทุกอย่างไปจากข้าสามแม่ลูก นับจากนี้ ข้าจะมิละเว้นคนเช่นเจ้าอีกต่อไป”
เสียงกรีดร้องที่เจ็บปวดและต่อว่าอดีตสามีได้เรียกความสนใจจากหญิงสาวทั้งสองคนที่อยู่ห่างออกไปพอสมควร จีกวานฮวาหันไปตามเสียงก่นด่าของหลิวเจินเจินถึงว่าที่พ่อสามี และสิ่งที่ฉายชัดในสายตาทำให้ร่างบางหนาวสะท้านไปทั้งตัว มือบางสั่นจนเห็นได้ชัด
ฟางเล่อหยุดมือในทันทีที่อีกฝ่ายนิ่งไป นางมิได้เลวร้ายขนาดที่เห็นอีกฝ่ายมิตอบโต้แล้วฉวยโอกาสลงมือต่อจีกวานฮวา แค่สภาพที่เห็นในตอนนี้ นางมารน้อยนั้นบาดเจ็บอยู่มากทีเดียว และคงไม่ใช่แค่เพียงแผลภายนอกเสียแล้ว จิตใจของจีกวานฮวาคงสาหัสกว่าร่างกายหลายเท่า หากนางลงมือกำจัดญาติผู้น้องของนางในตอนนี้ มันมิต่างกับฟางเล่อเป็นสุนัขตัวหนึ่งเท่านั้น
สิ่งที่ฟางเล่อเห็นในครรลองสายตาคืออดีตสามีนอนเหยียดยาว อยู่ในอ้อมกอดของหลิวเจินเจิน โดยองค์หญิงเมี่ยวจ้านคุกเข่าก้มหน้าอยู่มิห่างกัน ไม่ต้องให้ใครบอกซ้ำ นางก็มองออกได้ในทันทีว่าเกิดอะไรขึ้นกับชายหนุ่ม ผู้เป็นรักเดียวของเจ้าของร่างนี้
‘หยางซานหลาง ท่านจงไปขอโทษโม่ไป๋หลาน ด้วยตนเองเสียเถอะนะ สำหรับตัวข้า อโหสิให้กับท่านในทุก ๆ เรื่องที่ผ่านมา’
แววตาของฟางเล่อดูนิ่งสนิท เสมือนนางมิรู้สึกสะเทือนใจอันใดกับการจากไปของแม่ทัพหนุ่มเลยแม้แต่น้อย ในเมื่อนางไม่ใช่ภรรยาเขาจริง ๆ เสียหน่อย จะให้นางร้องไห้ฟูมฟายเช่นจีกวานฮวา มันก็คงจะไม่สมเหตุสมผลนัก อีกทั้ง นางไม่ได้รักหยางซานหลาง ไม่ว่าเขาจะอยู่หรือตายก็มิได้ทำให้อะไรในชีวิตของนางเปลี่ยนไป
‘หยางซานหลาง ข้าหวังว่าเจ้าจะพบนางในอีกโลกหลังความตาย’
จิตใจของจีกวานฮวาในตอนนี้เสมือนนางไร้ซึ่งวิญญาณ สองขารู้สึกอ่อนแรงลง ร่างบางทรุดลงกับพื้น มิอาจก้าวไปยังร่างของคู่หมั้นได้ นางกลัวเหลือเกินว่าสิ่งที่คิดจะเป็นเรื่องจริง นางจะอยู่ได้อย่างไรหากไร้ซึ่งหยางซานหลาง จีกวานฮวาเบนสายตากลับมาที่ศัตรูหัวใจ สองมือกำเข้าหากันแน่น ก่อนจะอาศัยจังหวะที่อีกฝ่ายพลั้งเผลอพุ่งเข้าหา
ฟางเล่อใช่จะประมาทเสียเมื่อไหร่กัน ร่างงามถอยหลังเพียงเล็กน้อย หลบกระบี่คมได้อย่างรวดเร็ว พลิ้วไหวดุจสายลม กำไลที่ฝังไว้ด้วยไข่มุกโลกันต์เริ่มเปล่งแสงสีแดงร้อนแรงขึ้นทุกช่วงเวลา นั่นบอกได้ดีว่าคนตรงหน้าอันตรายและเป็นภัยที่นางต้องกำจัด
ผมที่ดกดำของจีกวานฮวา ตอนนี้ไยเริ่มมีสีขาวแซม
‘หรือว่า…’ ฟางเล่อนึกถึงคำของผู้เป็นอาจารย์ ว่าหากคนที่บรรลุวิชาไร้รักเมื่อใด ผมจะเริ่มเปลี่ยนสี เพราะจิตมารเข้าควบคุมร่างกายและจิตใจจนหมดสิ้นแล้ว
“เจ้าไม่เคยไร้รักน้องพี่ แต่เป็นเจ้าที่ผลักไสมันออกไปเอง”
ฟางเล่อพูดกับหญิงสาวที่กำลังพุ่งโจมตีนางแบบไม่ลืมหูลืมตา ทุกการเคลื่อนไหวรุนแรงขึ้น แม้แต่แววตายังเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง
“เพราะเจ้า ไป๋หลาน หากไม่มีคนอย่างเจ้า ข้าคงไม่ต้องตกอยู่ในสภาพเช่นนี้ ตายซะ!”
จีกวานฮวาพูดด้วยความเกรี้ยวกราด และยังคงโทษผู้อื่น มากกว่ามองการกระทำของตนอยู่นั่นเอง
ฟางเล่อได้แต่ถอนหายใจ เมื่อได้ยินคำกล่าวหาของญาติผู้น้อง มันสายไปแล้วจริง ๆ ที่จะเตือนสติคนเช่นจีกวานฮวาให้รู้ผิดชอบชั่วดี
“จะเพราะอะไรนั้น…มันไม่ได้ขึ้นที่ผู้ใด จีกวานฮวา ต่อให้ไม่มีข้าอยู่บนโลกนี้ หากเจ้ามิใช่คู่ของหยางซานหลาง เจ้าทั้งคู่ก็ต้องพลัดพรากกันอยู่ดี จงโทษโชคชะตาที่ทำให้เจ้าและเขาไร้วาสนาซึ่งต่อกันถึงจะถูกน้องสาว”
“ข้าคือคู่ครองของเขา ควรเป็นเจ้าที่ต้องสิ้นใจ ไม่ใช่พี่ซานหลาง
อ๊ากก…มีข้าต้องไม่มีเจ้า โม่ไป๋หลาน”
เสียงคำรามเสมือนคนเสียสติของจีกวานฮวาไม่ได้ทำให้อะไรเปลี่ยนแปลงได้ นอกจากตัวนางที่กำลังทำร้ายตนเอง จีกวานฮวาขาดการควบคุมจิตใจทำให้ผมเริ่มเปลี่ยนสีมากขึ้นเรื่อย ๆ ดวงตากลายเป็นสีเลือด ใบหน้าเริ่มซีดเซียวไร้สีสันเช่นแต่ก่อน การเคลื่อนไหวของจีกวานฮวาเริ่มว่องไวขึ้น ความดุดันในการฟาดฟันอาวุธห้ำหั่นต่อศัตรูหัวใจมีมากกว่าเดิมหลายสิบเท่าจนยากที่ฟางเล่อจะรับมือตรง ๆ ได้
ฟางเล่อเริ่มเคลื่อนไหวหลบหลีกยากมากขึ้น ด้วยนางยังไม่สำเร็จวิชาทั้งหมดจะรับมือมารเต็มขั้นนั้นนับว่าตึงมืออยู่ไม่น้อย แต่ยังคงรักษาระดับมิได้เพลี่ยงพล้ำแกอีกฝ่ายเช่นกัน
ระยะเวลาสองปี ต่อให้เป็นเทพเซียนฝึกหัดยังไม่กล้าที่จะต่อกรกับปีศาจซึ่งบำเพ็ญมานานกว่าตนเองเช่นกัน นางฝึกฝนมาเพียงสองปีจะรับมือกับนางมารที่ฝึกฝนมาแต่เยาว์อย่างจีกวานฮวาได้ง่าย ๆ อย่างไรกัน นี่คือเรื่องจริง มิใช่นิทานที่เพียงวาดกระบี่ออกไปแล้วมารร้ายตายเป็นร้อย นางต้องใช้สมองให้มากกว่ากำลังแล้วในตอนนี้ เพราะเวลานี้ ผู้เป็นอาจารย์มิได้อยู่ช่วยชี้แนะนางอย่างในคราแรกแล้ว นางต้องพึ่งพาตนเองไปก่อน
‘ท่านอาจารย์…ไยทิ้งข้าตอนนี้เล่า’
“โม่ไป๋หลาน…ข้าจะไม่มีวันให้เจ้าพ้นมือข้าอีกครั้งเป็นแน่”
จีกวานฮวายังคงพูดจาข่มขู่โม่ฟางเล่อ พร้อมทั้งไล่ตามอีกฝ่ายอย่างบ้าคลั่งเหมือนโม่ฟ่างเล่อคือเหยื่ออันโอชะในเวลานี้
โม่ฟางเล่อเองยังคงเคลื่อนไหวต่อไป พร้อมคอยจับสังเกตหาจุดอ่อนบนร่างกายของนางมาร ผู้กำลังควบคุมตนเองไม่ได้แล้ว ทว่า…
‘เจอจนได้’
“นั่น…มันเรื่องของเจ้าน้องสาว สำหรับตัวข้าไม่เคยคิดจะแย่งชิงอันใดกับเจ้าเลย แต่จะมิละเว้นคนที่เคยลงมือสังหารข้าเช่นกัน”
ฟางเล่อยังคงต่อคำกับอีกฝ่ายไปเรื่อย ๆ เพื่อทำลายสมาธิของอีกฝ่ายไปด้วย ฟางเล่อจำต้องใช้หลักการหันเหเพื่อเรียกความสนใจของ
จีกวานฮวา ทั้งยังหาจังหวะจัดการกับอีกฝ่าย เพราะนางเห็นแล้วว่าจุดอ่อนของจีกวานฮวาคือที่ใด
ยิ่งสภาวะจิตใจของจีกวานฮวากำลังสาหัสจนเกินเยียวยา โม่ฟางเล่อจึงอาศัยโอกาสนี้ราดน้ำเกลือลงสู่บาดแผลที่ละน้อย เมื่ออีกฝ่ายไร้เมตตาต่อนาง ตัวนางเองก็ไม่จำเป็นต้องปรานีคนอย่างจีกวานฮวาเช่นกัน
เหมือนกับว่าฟางเล่อกำลังสะกดจิตของนางเองให้ไร้เมตตา เพื่อตัดขาดความอ่อนแอทางจิตใจให้ง่ายต่อการลงมือต่อศัตรู นี่เป็นครั้งแรกที่นางจับอาวุธสังหารคนจริง ๆ มิใช่การฝึกฝน
‘หากข้ามิก้าวข้ามมันให้ได้ ข้าก็ต้องกลายเป็นผู้ที่ต้องตาย เจ้าทำได้ ฟางเล่อ’