บทที่7
ใช่แล้ว หากว่านางฉลาดย่อมใช้มันแก้ปัญหาได้ดีกว่าการใช้เพียงกำลังและอารมณ์ในการตัดสินปัญหาซึ่งยากที่จะสำเร็จได้ลุล่วงด้วยดี เท้าบางขยับรุกรับได้อย่างว่องไว ร่างกายเอนหลบสลับโจมตีได้พลิ้วไหว หนักแน่นเสมอฟางเล่อกับอาจารย์ของนางคือคนคนเดียวกันก็มิปาน
ด้านเจิ้งถงทำได้เพียงขบกรามแน่น เสมือนตัวเขากำลังถูกตบใบหน้าจนชาหนึบ เมื่อเห็นการกระทำของประมุขพรรคโลกันต์กำลังขยับตามท่าทางการต่อสู้จากผู้คุ้มกันของนาง ซึ่งคนผู้นี้กำลังประมืออยู่กับเขาในตอนนี้
‘พวกเจ้ากล้าดูถูกข้า สารเลวนัก’
เป็นผู้ใดก็ย่อมเสียหน้าเป็นที่สุด มีอย่างที่ไหนกำลังต่อสู้กับเขาอยู่ยังหาญกล้าถ่ายทอดวิชาให้แก่อีกคนได้อย่างหน้าตาเฉย มันช่างหยามเกียรติกันเกินไปแล้ว เจิ้งถงเพิ่มความดุดันในการลงมือต่อศิษย์พี่ของตนเองให้หนักขึ้น
“ข้าจะไม่มีวันให้คนอย่างพวกเจ้ามาเหยียดหยามข้าถึงเพียงนี้ต่อไปได้อีก ความตายคือของขวัญสำหรับเจ้าสองคน ข้าเป็นผู้ที่เหมาะสมกับผู้นำแห่งโลกันต์ เข้าใจหรือไม่ ศิษย์พี่”
“ฮา ๆ เจ้ามั่นใจขนาดเลยรึ! ลองทำให้ข้าดูสักหน่อยจะเป็นไร”
แม้ใบหน้าหมิงจงเป่าจะประดับไปด้วยรอยยิ้ม เสียงหัวเราะยังคงมีไม่ขาดสาย แต่ใช่ว่าภายในจิตใจจะเป็นดังเช่นภายนอกเสียเมื่อไหร่กัน บุรุษที่จับอาวุธเพื่อช่วงชิงอำนาจผู้อื่นได้นั้น มิว่าอย่างไรก็อย่าได้ประมาทเป็นอันขาด ต่อให้มองเสมือนศัตรูดูไร้ฝีมือ แท้จริงอาจเป็นเพียงกลลวง เพื่อให้เราตายใจก็เป็นได้
เช่นเดียวกันกับเจิ้งถง แม้จะฝีมือไม่อาจทัดเทียมเขาได้เมื่อในอดีต แต่ตลอดหลายปีที่เจิ้งถงหายไป มิอาจรู้ได้ว่าอีกฝ่ายร่ำเรียนวิชาเพิ่มพูนความสามารถมาจากที่ใดอีกบ้าง การประมือในครานี้นับว่าความเสี่ยงมีอยู่ไม่น้อย
หนึ่งรุกด้วยความทะนงในฝีมือ อีกหนึ่งรับด้วยความชาญฉลาด ผู้หนึ่งใช้กำลังเพื่อช่วงชิงชัยชนะ อีกหนึ่งนั้นใช้สติตอบโต้เพื่อรอจังหวะพลิกสถานการณ์ หากนี่คือสนามรบขนาดใหญ่ก็ยากจะประเมินได้ว่าผู้ใดคือคนที่จะคว้าชัยมีเพียงทั้งสองที่กำลังต่อกรกันเท่านั้นที่พากันประเมินผลครั้งนี้อยู่ภายในใจ
จีกวานฮวาลอบมองการต่อสู้ของ ชายที่นางเคยพบเจอเมื่อสองปีก่อนอยู่เช่นกัน
‘มิธรรมดาจริง ๆ คนผู้นี้คือใครกัน ไยดูจะห่วงใยโม่ไป๋หลานยิ่งนัก’
ดวงตากลมโตที่เคยสดในของจีกวานฮวาเปลี่ยนเป็นดุร้ายเจ้าเล่ห์ เสมือนจิ้งจอกก็มิปาน นางพลาดพลั้งให้คู่ต่อสู้บ้างแล้ว เรียกว่าตัวนางกำลังจะตกเป็นรองอีกฝ่ายอยู่รอมร่อ
“โม่ไป๋หลาน หากวันนี้ ข้าไม่ปลิดชีพเจ้าให้สิ้น ข้าไม่ขอมีลมหายใจอยู่ต่อไปอีกเช่นกัน”
“ข้าคงไม่อาจห้ามเจ้าได้น้องพี่ หากเจ้าคิดอยากจะตายในวันนี้ เอาเป็นว่าทำตามที่ใจเจ้าปรารถนาเถิด หึ ๆ พี่รักเจ้ามากยิ่งนัก คงทำได้เพียงสนับสนุนเจ้าให้สมปรารถนาเท่านั้นกระมัง”
ฟางเล่อกล่าววาจาเย้าแหย่อีกฝ่าย ทั้ง ๆ ที่ตนเองก็ไม่มั่นใจนักว่าจะจบการต่อสู้ลงได้เมื่อใดกัน แต่มันคือหลักการใช้จิตวิทยาในการทำลายสมาธิของคู่ต่อสู้ตามแบบแผนที่นางจดจำมาจากอีกมิติ มาใช้หันเหความคิดของจีกวานฮวา เพื่อให้ญาติผู้น้องมุ่งเน้นแต่การกำจัดนาง โดยลืมเพิ่มการป้องกันตัวเองจากการต่อสู้
‘ในเมื่อกำลังของข้ายังไม่แข็งแกร่ง แต่ฝีปากข้าในการเบี่ยงเบนเจ้า เชื่อเถอะว่าข้าเหนือชั้นกว่าเจ้าจีกวานฮวา’
การต่อสู้ทางด้านพี่น้องสกุลหยาง
เมี่ยวจ้านขยับเท้าหลบการโจมตีได้แบบเฉียดฉิวมาก หญิงสาวคลี่ยิ้มกว้าง คนอย่างนางหรือจะยอมละสายตาจากคู่ต่อสู้และทุกอย่างรอบ ๆ กาย หากทำเช่นนั้นก็เท่ากับว่านางยินยอมตกเป็นรองศัตรูด้วยความสมัครใจนั้นเอง
‘ไม่ทางเสียละพี่ชายข้า’
หญิงสาวก้าวหลบได้อย่างว่องไวดุจสายลม ดาบในมือของหยางซานหลางฟันลงหมายผ่ากลางลำตัวให้จงได้ แต่มันกลับฝันลงยังพื้นดิน เฉียดปลายเท้าผู้เป็นน้องสาวเพียงเสี้ยวเท่านั้น
เมี่ยวจ้านจำต้องสะกิดปลายเท้า เหินกายถอยห่างหยางซานหลางด้วยว่านางใช้แส้เป็นอาวุธ แม่ทัพหนุ่มพุ่งตามเมี่ยวจ้านไปติด ๆ สองพี่น้องห้ำหั่นกันอย่างดุเดือด
เสียงระเบิดของพลังวัตรมีเป็นวงกว้าง หยางซานหลางริษยาน้องสาวผู้ที่แย่งความรักของมารดาไปจากตนเอง เมื่อก่อนเขาเป็นลูกรักของมารดาเพียงผู้เดียวมาตลอด แต่เวลานี้ นอกจากมารดาจะเกลียดชังเขาแล้วยังมีลูกรักคนใหม่ที่เก่งกาจไม่แพ้กันกับเขา
‘เจ้ามันน่าชังนัก น้องสาวข้า’
“เจ้ามันสมควรตาย…เจ้าแย่งทุกอย่างไปจากข้า ข้าไม่มีน้องสาวเช่นเจ้า” หยางซานหลางพูดด้วยน้ำเสียงลอดไรฟันขณะที่บุกเข้าประชิดตัวผู้เป็นน้องสาว ใบหน้าดุดันจนกลายเป็นเหี้ยมเกรียมเลยทีเดียว
“มันควรเป็นข้าที่ต้องพูดแบบนี้พี่ชาย ท่านมันเกิดมาเพื่อหนักแผ่นดิน แล้วยังช่วงชิงครอบครัวของข้าไปอีก” เมี่ยวจ้านเองก็จุกไปทั้งทรวงอกเมื่อหยางซานหลางกำลังพาลหาเรื่องนาง
หยางซานหลางเองดวงตาเริ่มแดงก่ำจากการข่มกลั้นบางสิ่งเอาไว้ภายใน มิอาจปลดปล่อยออกมาให้ศัตรูได้เห็นมัน เขาเก็บกดเรื่องมารดามาหลายวันแล้วจนถึงตอนนี้ที่…
“อ๊ากกก…”
ตูม! ตูม!
พื้นดินแตกกระจายจนฝุ่นดินคละคลุ้งไปทั่วบริเวณจากการระเบิดพลังของชายหนุ่ม
เมี่ยวจ้านพุ่งขึ้นสู่ที่สูง สองเท้าเหยียบอยู่บนกิ่งไม้ มองลงด้านล่าง นางเห็นเพียงหยางซานหลางกวัดแกว่งดาบในมือพร้อมปลดปล่อยพลังออกมาอย่างบ้าคลั่ง
“เจ้าเสียสติไปแล้วหรือ หยางซานหลาง”
เมี่ยวจ้านพึมพำเบา ๆ เมื่อมองเห็นสิ่งที่พี่ชายกระทำอยู่ในเวลานี้ เมี่ยวจ้านเหมือนกำลังมองดูอีกด้านของผู้เป็นพี่
หยางซานหลางเกิดความอิจฉานางอย่างนั้นหรือ ไยเขาถึงกล่าวหาว่านางแย่งชิงทุกอย่างมา ทั้ง ๆ ที่ตัวนางเองนั้นมิเคยได้รับอะไรเลย แม้แต่น้ำนมมารดาสักหยด อ้อมกอดจากบิดาแท้จริงสักครั้งยังไม่เคย แล้วเหตุใดกัน หยางซานหลางจึงมากล่าวหาว่านางแย่งชิงทุกอย่างมาจากเขาเล่า
น้ำตาของมารดาทั้งสองต่างไหลออกมาด้วยความรู้สึกที่แตกต่างกัน หลิวเมิ่งชีต้องการได้ยินคำเรียกขานว่า ‘แม่’ สักครั้งจากปากของชายหนุ่ม ก่อนที่นางจะไม่มีโอกาสได้ฟังมันอีกชั่วชีวิต ตัวนางคงมิอาจทนต่อบาดแผลนี้ได้นานเท่าใดนัก
“เมตตาแม่สักครั้งเถิดลูกรัก เป็นแม่เองใช่หรือไม่ที่ทำร้ายเจ้า”
หลิวเมิ่งชีได้แต่รำพึงรำพันกับตนเองเบา ๆ ด้วยหัวใจที่สิ้นหวังเต็มทีแล้ว เสียใจตอนนี้ก็สายเกินกว่าที่จะกลับไปแก้ไขได้แล้ว หากนางปล่อยให้บุตรชายไม่รู้ความจริงเรื่องชาติกำเนิด ทุกอย่างคงมิเลวร้ายเช่นนี้ก็เป็นได้ หากนางยอมปล่อยหลิวเจินเจินไปเสีย ซานหลางคงมิเจ็บปวดถึงเพียงนี้
ส่วนหลิวเจินเจินนั้นนึกโทษตนเองที่ไร้ความสามารถในการอบรมบุตรชายให้เป็นคนดีได้ เสมือนนางผู้เป็นแม่นั้นบกพร่องในหน้าที่ยิ่งนัก ไหนจะเวลานี้ พี่น้องต้องมาเข่นฆ่ากันเอง สวรรค์ช่างโหดร้ายกับนางอะไรเช่นนี้
‘เพราะเจ้าเพียงผู้เดียวหยางซานชิน เจ้ามันไร้ความเป็นคน เจ้ามันไม่คู่ควรที่จะเป็นพ่อของผู้ใดได้เลย’
“สวรรค์โปรดเมตตาข้าสักครั้ง หากชีวิตข้าแลกกับลูก ๆ ของได้ ข้ายินดีที่จะมอบมันให้แก่พวกท่าน”
ปากก็พร่ำเอ่ยถึงสวรรค์เบื้องบน แขนเรียวยังคงกวัดแกว่งอาวุธ ห้ำหั่นศัตรูอย่างไม่ลดละเช่นกัน น้ำตาแม้จะไหลอาบแก้ม แต่ก็ไม่อาจบดบังดวงตาที่จะปกป้องตนเองให้ปลอดภัยเช่นกัน
หลิวเจินเจินรู้ดีว่าหากนางล้มเจ็บลง ลูก ๆ ของนางอาจเสียสมาธิได้ แม้นางมิชอบใจนักที่สองพี่น้องต่อสู้กันเอง แต่นางคือบุตรสาวนักรบ ย่อมรู้กฎดีว่าต้องทำเช่นไร หน้าที่กับความรู้สึกนั้นจำต้องแยกแยะให้ออกอยู่เสมอ เมื่อก้าวสู่สนามรบ แม้ศัตรูคือคนที่เรารักก็ตามที
ขณะที่หยางซานหลางหันหลังให้มารดาทั้งสอง เมี่ยวจ้านกลับมองเห็นทุกเหตุการณ์ แม้จะเห็นใจพี่ชายแค่ไหน นางก็มิอาจหยุดมือได้ เพราะส่วนรวมย่อมสำคัญกว่าพี่ชายผู้น่าสงสารที่ตกเป็นเพียงหมากในกระดานของบิดามารดาแท้ ๆ ของเขาเอง หากคนพวกนั้นมีจิตสำนึกในความผิดชอบชั่วดี ไม่แน่ว่าหยางซานหลางอาจจะเป็นคนดีกว่านี้ก็เป็นได้
เพราะหยางซานหลาง เติบใหญ่มากับคำสอนของคนเช่นหยางซานซินที่เสี้ยมสอนให้บุตรชายทะเยอทะยานจนเกินตน เมื่อฝุ่นดินจางลง เมี่ยวจ้านจึงเหินกายลงจากต้นไม้ ยืนประจันหน้ากับพี่ชายอีกครั้ง
ดวงตาของหยางซานหลางแดงก่ำดุจสีของโลหิต ยิ่งเพิ่มแรงกดดันในจิตใจของเมี่ยวจ้านขึ้นอีกเท่าตัว นางใช่คนไร้หัวใจจนมองไม่เห็นความในจากสายตาพี่ชายที่มีต่อมารดาของนาง แม้แต่กับตัวนางเองด้วยเช่นกัน
“อภัยให้ข้าด้วยพี่ชายที่ไม่อาจละเว้นท่านได้”
เมี่ยวจ้านกล่าวเนิบช้ากับชายหนุ่มตรงหน้าที่ขบกรามแน่นจนเป็นสันให้เห็นอย่างเด่นชัดต่อสายตาของเมี่ยวจ้าน
“ยังไม่ถึงบทสรุป อย่าได้มั่นใจไปน้องพี่ว่าเจ้าจะเป็นผู้คว้าชัยในครั้งนี้ ทุกอย่างย่อมเป็นไปได้เสมอ จงอย่ามองเพียงภาพภายนอกแล้วตัดสิน เจ้าควรมองที่จุดสิ้นสุด มันจะชัดเจนกว่าน้องสาวข้า”
ทุกคำพูดของชายหนุ่มนั้น เขามั่นใจว่าน้องสาวรู้ความหมายคำพูดของเขาได้เป็นอย่างดี และเขามิคิดเพรียกหาคำว่าเห็นใจจากนางเลยแม้แต่น้อย เวลานี้ หยางซานหลางเสมือนไร้ความรู้สึกเหน็ดเหนื่อยหรือเจ็บปวดไปเสียแล้ว ชายหนุ่มพุ่งเข้าหาน้องสาวด้วยความดุดันและรวดเร็วเหมือนการรุกให้ไวและจบการต่อสู้เสียที
‘ไยต้องเป็นข้าที่เจ็บปวดแต่ผู้เดียว ทำไมกันเล่า’ หยางซานหลางโอดครวญอยู่ภายในใจ
แส้ของเมี่ยวจ้าวตวัดดุจอสรพิษ เข้าปะทะร่างแกร่งเต็มแรง โดย หยางซานหลางได้เกร็งร่าง รอรับอยู่ก่อนแล้วเช่นกัน เมื่อรู้ว่ามิอาจหลบได้พ้น
ควับ!
“อึก!”
ตุบ! ร่างแกร่งตกลงยังแทบเท้าของหลิวเจินเจิน
“ซานหลาง”
เสียงแหบโหยของสตรีวัยกลางคน ได้แต่ยืนมองบุตรชายที่คุดคู้อยู่แทบเท้าตน ดวงตาอ่อนโยนเช่นมารดามองบุตรในอุทรของนางเสมือนคมมีดกรีดแทงใจแม่ทัพหนุ่มยิ่งนัก ซึ่งเวลานี้เขาได้เงยหน้ามองมารดาผู้เลี้ยงดูตนมาตั้งแต่แรกเกิด ก่อนจะเงยหน้ามองเลยไปยังด้านหลังของหลิวเจินเจิน
ในครรลองสายตาของชายหนุ่มนั้น มันสั่นสะท้านไปทั้งใจกับภาพที่เห็น พระสนมหลิวเมิ่งชี มารดาที่แท้จริงมีเลือดสด ๆ ไหลนองเปรอะเปื้อนบนชุดงามจนกลายเป็นสีแดงฉาน ก่อนจะดึงสายตากลับมายังคนตรงหน้าที่ยืนกำมือแน่น ร่างบางสั่นสะท้านด้วยหัวใจที่แตกสลาย