บทที่6
รอยยิ้มอย่างมีชัยปรากฏขึ้นบนใบหน้าของหลิวเมิ่งชีเพื่อเยาะเย้ยมารดาของหญิงสาว มันกลับค้างแข็งอยู่ได้เพียงครู่เดียว ดวงตาคู่งามหลุบลงต่ำเพื่อมองยังทรวงอกของตนเอง ก่อนจะเงยหน้ามองไปยังเจ้าของกระบี่คมที่ยังปักคาอยู่กับทรวงอกของนาง
ไร้รอยยิ้มจากหลิวเจินเจิน ไม่ว่าด้านหลังของนางจะเกิดอันใดขึ้น มันไม่สามารถเรียกความสนใจของนางได้ หลิวเมิ่งชีจะเก่งกาจเพียงใด แต่นางขาดประสบการณ์ในสนามรบจึงประมาทคู่ต่อสู้ และพบกับจุดจบแบบคนเขลา
“ข้าคือบุตรสาวแม่ทัพ ท่านพี่…จงจำเอาไว้ให้ดี ไม่ว่าจะเกิดอันใดขึ้น จำไว้ว่าอย่าเสียสมาธิแม้แต่น้อย ต่อให้ท่านเก่งเพียงไร ท่านก็เป็นได้แค่ดอกไม้งามที่บุรุษมีไว้ประดับบารมีเท่านั้น มิอาจเป็นบุปผาที่มีหนามแหลมคม อยู่กลางป่าเขาเช่นข้าได้ นี่คือความต่างระหว่างเรา ท่านพี่ สงครามย่อมมีการสูญเสีย เก็บรอยยิ้มนั้นเราไว้รอหยางซานซินเมื่อเขาตามท่านพี่ไปยังนรกก็แล้วกัน”
หลิวเจินเจินขยับเข้าประชิดตัวญาติผู้พี่ ก่อนจะปัดกระบี่ในมืออีกฝ่ายให้หลุดจากมือ แล้วโน้มใบหน้าเข้าไปกระซิบคำพูดที่เสมือนเอามีดกรีดลงกลางใจของหลิวเมิ่งชีก็มิปาน
มือบางสั่นระริกก่อนจะคว้าจับเสื้อของหลิวเจินเจินเอาไว้แน่น ดวงตากะพริบถี่ ๆ เพื่อไล่น้ำใส ๆ ที่เริ่มเอ่อคลอเต็มสองเบ้าตา
“เจ้าไม่มีวันได้ครอบครองใจของซานชิน ใจของเขาเป็นของข้าแต่ผู้เดียว เจินเจิน” ทุกคำพูดที่หลุดออกมาจากปากนั้น เลือดสีแดงฉานทะลักออกมาพร้อม ๆ กันเสมอ
“ใจที่สกปรกเช่นนั้น ข้าไม่ต้องการเอามาแปดเปื้อนหัวใจของข้าแม้แต่น้อย บอกเขาเก็บมันไว้ให้ดี เพราะข้าจะควักมันออกมา เหยียบให้จมลงไปในแผ่นดินให้หมดสิ้น”
ทุกคำพูดของหลิวเจินเจิน มันดูเลือดเย็นไร้ซึ่งความอาลัย ในตัวของหยางซานซินนัก ไม่เว้นแม้แต่แววตาที่ไร้ความรู้สึกของนาง
“เจ้ามัน…เป็นได้แค่...ดอกไม้ไร้ค่า เจินเจิน…อึก!”
ดวงตาของหลิงเมิ่งชี มองเลยไปยังชายหนุ่มซึ่งอยู่ห่างจากนางไปพอสมควร หยางซานหลางยังไม่ทันเห็นว่าตอนนี้ นางกำลังจะสิ้นใจในมิช้า สักคำที่นางอยากได้ยินจากปากของชายหนุ่มคือ
‘เรียกข้าว่าแม่…ได้หรือไม่ซานหลาง’ นางทำได้แต่เพียงคิดเท่านั้น
หลิวเจินเจิน แม้จะสงสารญาติผู้พี่จับใจ แต่ไม่คิดใจอ่อนให้คนที่ขึ้นชื่อว่าศัตรูได้
“ข้าหรือท่านกันแน่…พี่ข้า!”
เรียวปากบางเหยียดยิ้มหยัน ก่อนจะใช้ฝ่ามือกระแทกเข้ายังด้ามกระบี่ ร่างบางของหลิวเมิ่งชีถอยหลังไปตามแรงนั้นโดยมิอาจขัดขืนอันใดได้
ปึก!
หลังของสนมงามกระแทกกับต้นไม้ โดยมีกระบี่ของหลิวเจินเจินแทงทะลุปักยึดร่างของหลิวเมิ่งชีติดกับต้นไม้ด้านหลังของนางแน่น
“ข้าไม่เคยเสียดายบุรุษเช่นหยางซานชินเลยสักนิด ข้าขอย้ำเตือนอีกครั้ง เผื่อท่านพี่จะลืมที่ข้าเคยบอกไปก่อนหน้านี้”
หลิวเจินเจินเข็มแข็งเกินกว่าที่หลิวเมิ่งชีคิดนัก หลังที่ยืดตรงของญาติผู้น้องบอกความจริงในคำพูดได้เป็นอย่างดี นางทำได้เพียงมองดูอีกฝ่ายเดินอย่างมั่นคงตรงไปยังกระบี่ของนางเองที่หลุดจากมือไป เพราะไร้ซึ่งเรี่ยวแรงจะถือมันอีก
และตอนนี้ มันเป็นอาวุธให้แก่ศัตรูเพื่อนำไปสังหารเหล่าทหารของนางเอง เสมือนหลิวเจินเจินต้องการระบายความอัดอั้นตันใจทั้งหมดออกมาโดยการฆ่าฟัน แม้วัยจะล่วงเลยมามากแล้ว แต่หลิวเจินเจินก็ยังคงเป็นหนึ่งเหนือนางจริง ๆ สินะ
“สุดท้าย…เจ้าก็เหนือกว่าข้า...อีกแล้วหรือนี่”
เสียงพึมพำแผ่วเบาลอดออกจากริมฝีปากที่ย้อมไปด้วยสีแดงสดของเลือด ดวงตาแทบลืมไม่ขึ้นของสนมคนงาม พยายามที่จะมองไปยังชายหนุ่มที่กำลังต่อกรกับหญิงสาว ซึ่งคงเป็นใครไปไม่ได้ นอกจากลูกสาวอีกคนของชายคนรัก
‘ลูกข้าต้องไม่แพ้ เจ้าเลี้ยงเขามากับมือเจินเจิน เจ้ารู้ดีกว่าผู้ใด’
น้ำตาของพระสนมผู้สูงส่งไหลรินออกมาปะปนไปกับคราบเลือด ไยเป็นนางที่ต้องยืนมองบุตรชายถูกทำร้าย
“ซะ…ซาน…ละ…หลาง…อึก!” พูดเพียงเบา ๆ มันกลับเจ็บร้าวไปทั้งกาย หลิวเมิ่งชีพยายามสูดลมหายใจให้ได้มากที่สุด เพื่อต่อชีวิตของตนเองเอาไว้ให้นานขึ้นอีกสักหน่อย
สำหรับหลิวเจินเจินนั้น ไม่ใช่นางมิเจ็บซ้ำในหัวใจ แต่จะให้นางคร่ำครวญเพื่อประโยชน์อันใดกัน ในเมื่อตลอดเวลาที่ผ่านมา นางเป็นเพียงภรรยาที่ถูกวางเป็นเพียงหมากในประดาน มิใช่สตรีหนึ่งเดียวในใจของอดีตสามีอย่างที่เขาหลอกลวงนางมาตลอด
‘ถือว่าข้าตอบแทน…ความมีน้ำใจของท่านพี่สาวข้า’
แต่จะให้นางละเว้นบุตรชายนอกไส้นั้นคงเป็นไปมิได้ ทุกครั้งที่กระบี่ต้องกายศัตรู ความเยือกเย็นภายในใจมันมีมากขึ้นเรื่อย ๆ หลิวเจินเจินมองเห็นการต่อสู้ของลูก ๆ แล้วรู้สึกสะท้านใจยิ่งนัก นางเสียดายฝีมือของหยางซานหลาง และรอยยิ้มเมื่อครั้งในอดีตของเขา
ใช่นางจะไม่รักชายหนุ่มเสียเมื่อไหร่ น้ำนมจากอกนางนั้นเลี้ยงเขาจนเติบใหญ่ หากเขามิคิดคดทรยศต่อบ้านเมือง มีหรือมารดาผู้นี้จะยอมให้ผู้ใดทำร้ายเขาได้
เป็นจังหวะเดียวกับผู้มาใหม่พุ่งเข้าหาหลิวเจินเจินอย่างรวดเร็ว
เคล้ง!
ดาบโค้งที่ร้อยด้วยโซ่เส้นยาว กระทบกับดาบขนาดใหญ่ทำให้หลิวเจินเจินรอดพ้นจากอันตรายได้ เจิ้งถงมองไปยังเจ้าของดาบ ก่อนจะตรงเข้าหาในทันที
“ข้าเจอเจ้าจนได้…ผู้คุ้มกัน ข้าก็อยากรู้นักว่าเจ้ามีอะไรดี เจ้าถึงได้ถูกเลือก ไยมิใช่ข้า” ทุกคำพูดบอกได้ว่าเจิ้งถงนั้นรู้สึกเช่นไรกับเรื่องในอดีต
“เด็กน้อย…เพราะข้าหล่อเหลาอย่างไรล่ะ ฮา ๆ” หมิงจงเป่าหัวเราะดังก้อง โดยไม่สนใจว่าอีกฝ่ายจะขำขันไปกับตนหรือไม่
“วันนี้ เราจะได้เห็นดีกัน” เจิ้งถงกวัดแกว่งดาบรุกหมิงจงเป่าด้วยความดุดัน
“ข้ากลัวแล้ว…เจิ้งถงอย่าทำร้ายข้าเลย ฮา ๆ ทำให้ได้เสียก่อนค่อยเอ่ยปาก เด็กน้อย”
หมิงจงเป่ากำลังจับทิศทางของอีกฝ่าย แต่ยังคงแสร้งยั่วยุเจิ้งถงไปพร้อม ๆ กัน ศิษย์น้องของเขาเป็นอะไรที่มิอาจประมาทได้ นอกจากความเก่งกาจแล้ว เจิ้งถงยังเจ้าเล่ห์เพทุบาย ถึงตัวเขาจะมีฝีมือล้ำเลิศแต่ก็ต้องระวังคนผู้นี้ให้มากอยู่นั่นเอง เพราะแค่เพียงกระบวนท่าเดียว เจิ้งถงยังรู้ว่าเขาเป็นใคร แล้วมีหรือเจิ้งถงจะไม่รู้ตัวตนของฟางเล่อ การต่อสู้ของศิษย์รักนั้น ทุกกระบวนท่าคือโลกันต์โดยแท้
“สิ่งใดที่ข้าต้องการ จะต้องช่วงชิงมาให้จงได้”
เจิ้งถงเอ่ยออกมา ด้วยความคับแค้นใจที่มีต่ออีกฝ่าย เขาแอบซุ่มอยู่นานแล้ว เขาเห็นทุกกระบวนท่าของคนที่ประมืออยู่ด้วยในตอนนี้ และหญิงสาวอีกคนหนึ่งซึ่งได้ใช้วิชาของโลกันต์ในการลงมือต่อศัตรู เขาตื่นเต้นจนเก็บอาการเอาไว้ไม่อยู่จึงได้พุ่งออกมาร่วมวงในการต่อสู้ด้วย
‘มันอยู่ที่นางนั่นเอง สิ่งที่ข้าตามหาเนิ่นนาน’
การที่จะแย่งชิงไข่มุกโลกันต์มาเป็นของตนได้ เขาต้องกำจัดผู้คุ้มกันเสียก่อน คนตรงหน้าฝีมือจัดว่าสูงส่งไม่แพ้อาจารย์ของเขาเลย หรืออาจเหนือกว่าหลายเท่า กำจัดคนผู้นี้ได้ หญิงสาวผู้ถือครองไข่มุกก็ไร้คนปกป้องซึ่งดูจากฝีมือของหญิงสาวแล้ว เขามั่นใจว่านางยังไม่บรรลุฝ่ามือ
โลกันต์ เจิ้งถงกระหยิ่มยิ้มย่องอยู่ภายในใจกับความคิดที่แยบยลของตนเอง
“ทำให้ได้เสียก่อน เจ้าค่อยคิดเรื่องนั้นเด็กน้อย”
หมิงจงเป่ามองศิษย์น้องของตนที่มีแววตากระหายอยากในไข่มุก
โลกันต์ แต่มันไม่ง่ายอย่างที่เจิ้งถงคิดแน่นอน ตราบใดที่เขายังอยู่ ใครก็อย่าหวังแย่งชิง หรือทำร้ายฟางเล่อเป็นอันขาด
เคล้ง! ผลัวะ!
ไม่ว่าจะเป็นอาวุธหรือหมัดของหมิงจงเป่าทั้งว่องไว และหนักหน่วง
‘ในเบาให้มีหนัก ในหนักต้องมีเบา อ่อนไหวดุจสายน้ำ หนักแน่นดั่งหินผา ว่องไวดุจสายลม เฉียบคมดั่งยอดปราชญ์’
มันคือเคล็ดการเรียนวิชาที่ดูเหมือนง่าย แต่หากคนที่ฝึกฝนไม่เข้าใจในความหมายอย่างถ่องแท้ก็ไร้หนทางที่จะสำเร็จได้
ในทุกกระบวนท่า และการเคลื่อนไหวของเขายังเป็นตัวอย่างให้แก่ฟางเล่อไปในที เขารู้ดีว่าหญิงสาวคอยสังเกตสิ่งรอบกายอยู่ตลอดเวลาแม้กำลังต่อสู้อยู่กับนางมารน้อย เขามั่นใจว่าฟางเล่อจะนำทุกท่วงท่าไปใช้เพื่อสยบจีกวานฮวาในการต่อสู้ครั้งนี้
เวลาเพียงสองปี เขาไม่อาจทำให้นางบรรลุขั้นสูงสุดได้แน่นอน เพราะฟางเล่อมิเคยผ่านการฝึกยุทธ์มาก่อนแม้แต่ขั้นพื้นฐาน ถึงกระนั้นก็นับว่าฝีมือของฟางเล่อรุดหน้าไปได้อย่างรวดเร็ว แต่การเรียนรู้ฝึกฝนยังต้องทำอีกมาก เพราะการก่อกบฏทำให้การฝึกฝนจำต้องชะงักลงก่อนเวลาอันสมควร
ดังนั้น เมื่อมีโอกาสถ่ายทอดวิชาแก่ศิษย์รักไม่ว่าจะมากน้อย เขาจะไม่ยอมให้สูญเสียโอกาสเป็นอันขาด ส่วนเจิ้งถงจะฉวยเรียนรู้ไปด้วยหรือไม่นั้น เขามิคิดสนใจ เพราะถึงอย่างไรก็ไม่อาจฝึกฝนไปทั้ง ๆ ที่ต่อสู้กับเขาได้อยู่แล้ว
เป็นอย่างที่หมิงจงเป่าคิดไม่มีผิด เมื่อฟางเล่อใช้สายตาที่ว่องไว ดูการเคลื่อนไหวของผู้เป็นอาจารย์ โดยร่างกายของนางนั้นขยับก้าวตามเสมือนการร่ายรำตามผู้นำการเต้นที่มีการแปรขบวนท่าอยู่อย่างต่อเนื่อง ครั้งแรก นางไม่ได้สนใจอะไรนอกจากจดจ่อกับการต่อสู้ แต่พอมีผู้มาใหม่ซึ่งทำให้อาจารย์ของนางหัวเราะเสียงดัง จากนั้นทุกการเคลื่อนไหว ตกอยู่ภายใต้สายตาของนาง และใช้ทุกกระบวนท่าที่จดจำได้มาตั้งรับและรุกคู่ต่อสู้ มันทำให้นางดูเหมือนจะได้เปรียบจีกวานฮวาขึ้นมาบ้างแล้ว
หากเป็นในโลกที่นางจากมา นับว่าสายตาของนางคืออัจฉริยะที่ว่องไวจนนางเองยังไม่อยากจะเชื่อ ความจำนั้นยิ่งเป็นเลิศกว่าแต่ก่อนมากนัก นางจำทุกถ้อยคำของท่านอาจารย์ได้ดี มิมีลืมเลือน
‘เล่อเล่อรู้ไหมนอกจากฝ่ามือโลกันต์แล้ว เพราะอะไรคนถึงอยากครอบครองไข่มุก จำไว้ให้ดีว่าไข่มุกโลกันต์ทำให้เจ้ามีสายตาที่ดี สมองที่ดี มันคือสมบัติที่ล้ำค่ากว่าสิ่งใด เพราะถ้าเจ้าฉลาดหลักแหลม เจ้าจะใช้มันเอาตัวรอดและกอบโกยเงินทองได้อย่างง่ายได้ จงใช้พรจากไข่มุกให้เกิดประโยชน์ และในทางที่ถูกต้องเข้าใจหรือไม่’