บทที่5
“ยะ!”
กุบ! กับ!
สตรีในชุดหรูหราควบม้าด้วยความร้อนใจโดยมีผู้ติดตามไปนับสิบคนตามหลังมิห่าง ฝันร้ายที่เกิดขึ้นติดต่อกันมานานทำให้นางไม่อาจวางใจได้ เมื่อรู้เรื่องจากคนรักว่าเวลานี้บุตรชายเพียงคนเดียวกำลังออกติดตามอดีตภรรยาของแม่ทัพใหญ่หยางซานชินที่กำลังหลบหนีไปยังแคว้นข้างเคียง พร้อมหลักฐานสำคัญและความลับของนางกับแม่ทัพสกุลหยางทั้งสอง
สำหรับเรื่องนั้น นางมิกังวลใจเท่ากับภาพฝันซ้ำ ๆ ว่าบุตรชายเพียงคนเดียวร้องเรียกหาผู้เป็นมารดาด้วยความเจ็บปวดแสนสาหัส
“ยะ!”
หลิวเมิ่งชีเร่งกระตุ้นม้าให้เร็วขึ้น ทั้งหมดวิ่งไปตามถนนเส้นเล็กที่รอบด้านเรียงรายไปด้วยต้นไม้น้อยใหญ่ ใจของนางยิ่งมิอาจควบคุมให้สงบลงได้ เมื่อภาพฝันฉายชัดอยู่ในห้วงความคิดไม่ยอมจางหาย
ดวงตาคู่งามเบิกกว้างขึ้นพร้อมอาการตื่นตัวของคนบนหลังม้าทันที เมื่อเสียงอาวุธกระทบกันดังให้ได้ยินจากเพียงบางเบาจนชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ จนภาพที่ปรากฏให้เห็นอยู่เบื้องหน้าทำให้หลิวเมิ่งชีดวงตาเบิกโพลง ก่อนจะเหินกายจากหลังม้า ตรงเข้าหาบุตรชาย
แต่ยังมิทันเข้าถึงตัว ร่างงามต้องเซถอยเมื่อเท้าสัมผัสพื้นดิน หลิวเจินเจินปรากฏกายขวางกั้นญาติผู้พี่ของตนเอาไว้เสียก่อน
“ท่านพี่…ไยถึงมิอยู่ในวังเล่าเจ้าคะ ออกมาเที่ยวเล่นเช่นนี้มิเหมาะสมเลยนะเจ้าคะ”
หลิวเจินเจินพูดด้วยน้ำเสียงติดเยาะหยัน แววตาที่เคยมีแต่ความรัก และไว้ใจเมื่อครั้งในอดีต บัดนี้มันเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง มีเพียงความว่างเปล่าในสายตาของหลิวเจินเจินที่มีต่อญาติผู้พี่ของนาง
หลิวเมิ่งชีสะท้านในอกเล็กน้อย ก่อนจะเหยียดยิ้มอย่างผู้มีชัย ส่งกลับให้ญาติผู้น้องของตนเอง
“เจินเจิน…อย่าปากดีไปหน่อยเลย อย่างไรซะ! วันนี้ ข้าก็ต้องจบเรื่องระหว่างเราให้เสร็จสิ้นกันเสียที ”
หลิวเมิ่งชีชี้กระบี่ไปยังญาติของตน พระสนมคนงามถึงกับขบกรามแน่น เมื่อมองเลยไปยังบุตรชายที่กำลังต่อสู้กับหญิงสาวซึ่งนางไม่รู้จักว่าเป็นใครด้วยความเป็นห่วง
นับตั้งแต่เยาว์วัย หยางซานหลางจะนับนางเป็นเพียงแม่ทูนหัว แต่วันนี้ นางอยากได้ยินคำว่าแม่อย่างเพียงเดียว ไม่มีคำอื่นใดต่อท้าย
“ข้าก็ยังเป็นคนเดิมพี่สาว สิ่งใดถูกผิด ข้าแยกแยะออกเสมอ เรื่องระหว่างเรานั้นคืออันใดเล่า บอกน้องสาวผู้โง่เขลานี้สักนิดจะได้หรือไม่”
หลิวเจินเจินข่มกลั้นความคลั่งแค้นเอาไว้ ภายใต้ใบหน้าระบายยิ้ม เพื่อมิให้คนที่หักหลังนางได้ใจไปมากกว่านี้
“เจ้ามิใช่เด็กแล้วเจินเจิน จงยอมรับความจริงว่า วันนี้ เจ้าพ่ายแพ้ให้แก่ข้าในทุก ๆ ด้าน เสียจะดีกว่าน้องรัก ไม่ว่าสิ่งใดที่เจ้าคิดว่าได้ครอบครอง แท้จริงมันเป็นของข้ามาแต่แรกแล้ว และจะเป็นตลอดไป เจ้าควรขอบคุณพี่สาวเช่นข้าที่เมตตาให้ยืมคนรักและบุตรชาย เพื่อให้เจ้ามีความสุขในวัยสาวอย่างภาพฝันที่เจ้าปรารถนามาตั้งแต่วัยเยาว์”
หลิวเมิ่งชียังคงพยายามพูดเพื่อให้ญาติของตนรู้สึกต่ำต้อยโดยการต้องย้ำเรื่องความพ่ายแพ้ที่อีกฝ่ายได้รับมา นางไม่สนว่าจะถูกหรือผิด ใครจะอยู่หรือตายนางไม่สนใจ เพื่อให้ลูกของนางอยู่อย่างปลอดภัยและเติบโตมาด้วยความเพียบพร้อม คนเช่นนางทำได้ทุกอย่าง ในเมื่อมันเกิดขึ้นแล้ว มิอาจกลับไปแก้ไขอันใดได้อีก วันนี้ นางจะต้องกำจัดญาติผู้น้องให้ตายตกตามลูกน้อยของหลิวเจินเจินไปซะ
“เช่นนั้นรึ…ท่านพี่ เป็นข้าสินะ! ที่ต้องของคุณในความเมตตานั้น สตรีที่กล้าทำผิดศีลธรรมเช่นท่านยังคิดอยู่อีกหรือว่า ซานหลางจะยอมรับในตัวมารดาเช่นท่านกัน”
“จะ…เจ้ายังคิดว่าตัวเองเหนือกว่าข้าอยู่อีกหรือ ซานหลางเลือกข้า เจินเจิน ไม่ใช่เจ้า เช่นนั้นแล้ว เขาจะตามมาฆ่าเจ้าเพื่อข้าทำไม”
ทุกถ้อยคำของหลิวเมิ่งชีนั้นเหมือนมีดที่หมายกรีดกลางใจของอีกฝ่าย แต่หลิวเจินเจินกลับนิ่งเฉยต่อคำเหล่านั้น เพราะนางรู้ดีแก่ใจว่าบุตรชายเลือกใคร
‘เขาคือลูกชายข้าเมิ่งชี ต่อให้เขาลงมือกับข้า ใจของซานหลางก็มีแต่ข้าที่เป็นมารดาของเขา ข้าเชื่อเช่นนั้น’
“แล้วเราจะได้รู้กัน ท่านพี่”
หลิวเมิ่งชีกำอาวุธเอาไว้แน่น ฝีมือนางมิเป็นรองหลิวเจินเจินแม้แต่น้อย และวันนี้ นางจะพิสูจน์ให้ทุกคนประจักษ์แก่สายตา ว่านางคือสตรีที่เพียบพร้อมทั้งอำนาจ หน้าตา และฝีมือ มิใช่หลิวเจินเจินที่มีแต่ผู้คนยกย่องสรรเสริญว่าสตรีเหนือสตรี เป็นรองเพียงฮองเฮาของแคว้น สิ่งใดที่คนอย่างหลิวเมิ่งชีต้องการ มิมีคำว่าไม่ได้
“ข้าจะส่งเจ้าไปอยู่กับลูกสาวของเจ้าเองน้องพี่”
“มั่นใจขนาดนั้นเลยหรือพี่สาวข้า ว่าบุตรสาวข้าตายแล้ว บ่าวที่ภักดีของข้าก็มากมาย มีหรือพวกเขาจะปล่อยให้ลูกข้าตาย”
หลิวเจินเจินหันใบหน้าไปด้านข้างเล็กน้อย ก่อนจะปรายตาไปยังหญิงสาวอีกคนที่กำลังสะบัดแส้ไปมาอย่างดุดัน ต่อกรอยู่ในวงล้อมของเหล่าทหารกบฏ
หลิวเมิ่งชีได้มองตามสายตาของหลิวเจินเจินไป ก่อนจะตั้งใจเพ่งมองยังหญิงสาว ซึ่งเป็นช่วงจังหวะเดียวกับที่อีกฝ่ายหันมาพอดี ผิวสีน้ำผึ้งต่างจากหญิงสาวทั่ว ๆ ไป แต่กลับงดงามและเหมือนกับใครบางคนที่ยืนอยู่ตรงหน้าของนางในตอนนี้
“เป็นไปไม่ได้ เจ้าเสียสติขนาดนั้นเลยหรือ ถึงขนาดต้องอุปโลกน์ว่าผู้อื่นเป็นลูกตน” หลิวเมิ่งชียังคงไม่เชื่อในสายตา แม้ในใจลึก ๆ กำลังหวาดหวั่น
“ข้าไม่จำเป็น…ต้องบังคับให้ใครมาเชื่อ”
หลิวเมิ่งชีขบกรามแน่น กระชับกระบี่ในมือ ก่อนจะสะกิดปลายเท้า เหินกายเข้าหาญาติผู้น้องของตนอย่างรวดเร็ว
“อย่าเสียเวลาพล่ามอยู่เลยเจินเจิน มอบชีวิตเจ้าให้แก่ข้าซะ!”
หลิวเจินเจินที่ขยับถอยเพียงเล็กน้อย ยิ้มหยันอีกฝ่าย
‘มันควรเป็นคำพูดของข้ามากกว่านะ’
หยางซานหลางที่กำลังรับมืออยู่กับอดีตภรรยา คราแรกที่เขาเห็นใบหน้าของหญิงสาวชัดเจน เขาไม่คิดที่จะเชื่อในสายตาของตนเองสักนิด แต่เมื่ออีกฝ่ายเอ่ยปากออกมา เพียงคำเดียว เขาก็จำได้เป็นอย่างดีว่าเป็นอดีตภรรยาซึ่งควรจะตายไปแล้ว
เมื่อหญิงสาวยกแขนเสื้อขึ้น ปิดบังใบหน้าส่วนล่างเอาไว้ แล้วจ้องมองมาที่เขา ชายหนุ่มถึงกับสั่นสะท้านไปทั้งใจ
‘นายหญิงแห่งเซียนอี้’
สตรีที่เขาหมายปองกลับเป็นอดีตภรรยาที่เขามิเคยต้องการ วันนี้กลับเป็นนางที่ยืนอยู่ตรงหน้าของเขา ฟางเล่อใช้ดาบคู่เข้าปะทะกับอดีตสามีด้วยความดุดัน แต่ใบหน้างามยังคงประดับไปด้วยรอยยิ้มเช่นเดิม
จีกวานฮวาผละออกจากชายบนรถม้า พุ่งตรงเข้าหาศัตรูหัวใจอย่างรวดเร็ว แต่ทว่า ร่างงามยังมิทันได้ถึงตัวอีกฝ่าย เอวบางกลับถูกแส้ทองของเมี่ยวจ้านพันเข้าเสียก่อน
ขุนพลสาวกระชากร่างของจีกวานฮวาเหวี่ยงใส่ต้นไม้ที่อยู่ห่างออกไปมิไกล รอยยิ้มเหี้ยมปรากฏขึ้นบนใบหน้างาม นางมิจำเป็นต้องอ่อนโยนกับศัตรู เพราะเมื่อใดที่นางใจอ่อน แล้วปล่อยไปก็มิต่างตีงูให้หลังหัก สักวัน มันต้องกลับมากัดนางอย่างมิต้องสงสัย ดังนั้น กฎของการรบคือกำจัดเสียให้สิ้นซาก
ความรวดเร็วของแส้ทองคำช่างอ่อนพลิ้วแต่หนักแน่นยิ่งนัก ทุกที่ ๆ แส้กระทบจะแตกกระจายออกเป็นเสี่ยง ๆ เสียงการปลดปล่อยพลังนั้น สร้างความพรั่นพรึงให้แก่เหล่าทหารที่ติดตามมิน้อย
หมิงจงเป่าไม่สนใจเหล่าทหารติดตาม แต่เขามุ่งเข้าจัดการกับพรรคมารที่อยู่ ๆ ก็โผล่มาโดยมิได้ส่งเทียบเชิญไปสักหน่อย
การต่อสู้เริ่มดุเดือดขึ้นตามลำดับ จีกวานฮวาไม่คิดปิดบังวิชามารของตนแล้วในเวลานี้ เพราะถ้ามัวกลัวว่าคนรักจะรับในตัวนางไม่ได้คงมิพ้นต้องตายเสียตรงนี้อย่างแน่นอน
ฟางเล่อหมุนกายสลับกับเมี่ยวจ้านทันที เมื่อจีกวานฮวาปลดปล่อยพลังของมารออกมา หยางซานหลางที่ไม่คิดว่าคู่ต่อสู้อยู่ ๆ จะเปลี่ยนเป็นน้องสาวต่างมารดาจึงได้พลาดท่า ถูกแส้ทองพันรอบลำคอในทันใด ยังดีที่เขายกมือข้างที่ไม่ได้จับอาวุธขึ้นกันไว้จึงถูกรวบติดกับลำคอ ส่งผลให้เขายังสามารถหายใจได้อยู่
“พบกันอีกแล้วนะเจ้าคะ…ท่านพี่”
“ข้าต่อให้เจ้าก่อน น้องพี่”
สองพี่น้องยังคงพูดเหน็บแนมกันอยู่ในที เมี่ยวจ้านส่งพลังไปตามแส้ ก่อนจะหมุนแส้อย่างรวดเร็วและรุนแรง หยางซานหลางใช้วิชาตัวเบา ผ่อนแรงแส้ พร้อมกับพยายามทำให้ตนหลุดพ้นจากพันธนาการของน้องสาว ชายหนุ่มขมวดคิ้วด้วยความแปลกใจอยู่มาก ไยข้อมือบอบบางของน้องสาว มันกลับแข็งแกร่งดุจบุรุษนักเล่า
หยางซานหลางได้รวบรวมพลังทั้งหมด เพื่อทำให้ตนหลุดพ้นแส้ของน้องสาวให้เร็วที่สุด ก่อนที่คอของเขาจะถูกกระชากให้ขาดตามแรงของแส้ทองเส้นนี้
ตูม!
เสียงระเบิดพลังของชายหนุ่มทำให้แส้ทองคลายออก ด้วยเมี่ยว
จ้านจำต้องถอยห่างจากแม่ทัพหนุ่ม เพื่อตั้งหลักอีกครั้ง
“แค่ก ๆ”
หยางซานหลางถอยไปยืนพิงต้นไม้ ก่อนจะเอามือลูบที่ลำคอ พร้อมทั้งไอติด ๆ กันหลายครั้ง ดวงตาคมดุร้ายดั่งสัตว์บาดเจ็บที่พร้อมห้ำหั่นกับผู้ที่ทำร้ายตน ดาบในมือถูกกระชับแน่น ก่อนจะพุ่งเข้าโจมตีน้องสาวโดยอีกฝ่ายยังมิทันตั้งตัว
หลิวเมิ่งชีที่คอยจับตาดูการต่อสู้ของบุตรชายอยู่แทบตลอดเวลา ครั้งแรกนั้นนางแถบจะถลาเข้าไปหาผู้เป็นลูกด้วยความเป็นห่วง แต่ก็ติดที่หลิวเจินเจินยืนขวางทางอยู่
แต่ตอนนี้ สถานการณ์ได้เปลี่ยนไปแล้ว เมื่อนางเห็นบุตรชายปลดปล่อยพลังออกมา และหลุดพ้นจากพันธนาการจากบุตรสาวของหลิวเจินเจินได้แล้ว ช่างโง่เขลานัก เด็กน้อยที่กล้าต่อกรกับบุตรชายของนางซึ่งเป็นถึงแม่ทัพไร้พ่ายแห่งแผ่นดิน
‘คนอย่างเจ้า มิอาจเทียบเคียงลูกชายข้าได้’
“เหมือนแม่เจ้านักหึ ๆ”