บทที่3
เจ็ดวันต่อมา ถนนมุ่งสู่ด่านชายแดน ชีเป่ย-จิ้งหนาน
รถม้ากำลังเร่งความเร็วสุดฝีเท้าเหมือนกำลังหนีอะไรสักอย่างอยู่ และใช่ มันคือการหนีจากกลุ่มคนที่ห้อม้าตามมาติด ๆ โดยทหารของกองทัพเจียงไห่นำโดยแม่ทัพหนุ่ม หยางซานหลาง
เนื่องจากชายหนุ่มได้รับข่าวจากสายรายงาน ว่าหลิวเจินเจินพร้อมหลักฐานสำคัญกำลังจะข้ามชายแดนในวันนี้ เขาจึงได้รับคำสั่งจากผู้เป็นพ่อให้ออกติดตามช่วงชิงหลักฐานกลับมาให้ได้ พร้อมกำชับให้จัดการกับมารดาเลี้ยง อย่าให้เกิดปัญหาตามมาในภายภาคหน้า
ด้วยใจที่รักในมารดาผู้เลี้ยงดู เขาจึงได้ขออาสารับหน้าที่นี้ด้วยตนเอง แทนที่จะเป็นคนของบิดาหรือเจิ้งถง หยางซานหลางมีแผนการบางอย่างอยู่ในใจ แม้ความเป็นไปได้จะน้อยนิดก็ตาม เขาจะไม่มีวันทำร้ายมารดาอย่างหลิวเจินเจินเป็นอันขาด
‘ถึงข้าจะชั่วช้าเพียงใด แต่จะไม่ลงมือต่อผู้ที่กลั่นเลือดในอกให้ข้าดื่มเป็นอันขาด’
หยางซานหลางควบม้าจนสุดฝีเท้า เมื่อมองเห็นรถม้าอยู่ไม่ไกลนัก หลังจากฝุ่นดินจางลงบ้างแล้ว
“ยะ!”
ทุกคนต่างกระตุ้นม้า ไล่กวดคนที่กำลังหนีให้ทัน เพราะรถม้านั่น…ข้ามชายแดนไปได้ ทุกอย่างจะไม่ง่ายอย่างที่คิดแน่นอน
“ข้าหวังว่าท่านแม่ทัพจะรู้จักหน้าที่” คนสนิทของหยางซานซินเอ่ย
“อย่าได้บังอาจถามข้า” หยางซานหลางตอบกลับด้วยน้ำเสียงทรงอำนาจ และไม่แม้แต่จะชำเลืองมองคนที่ควบม้าตีเสมอขึ้นมาอยู่ข้างกาย
ทางด้านหมิงจงเป่าเร่งม้าให้เร็วขึ้นอีก ส่วนคนที่นั่งอยู่ภายในรถม้ามิได้พากันหวาดกลัวต่อภัยที่กำลังมาถึงตัวสักนิด
หลิวเจินเจินรู้สึกใจหาย เมื่อรู้ว่าคนที่ตามล่านางคือบุตรชายซึ่งนางเลี้ยงดูมาตั้งแต่เกิดด้วยสองมือ นางไม่คิดว่าวันนี้จะเกิดขึ้น เมื่อต้องทำร้ายชายหนุ่มที่นางรักดั่งบุตรในอุทร หากพวกนางไม่รีบลงมือเสียแต่ตอนนี้ ไม่ช้าคงต้องกลายเป็นเพียงเบี้ยในกระดานจนกลายเป็นศึกรอบด้านก็เป็นได้ นางจำต้องร่วมแผนการตัดกำลังของฝ่ายกบฏซึ่งมีอดีตสามีและบุตรชายร่วมอยู่ในฝ่ายตรงข้ามกับนาง
ทุกอย่างมิอาจรั้งรอได้เหมือนที่คิดในคราแรก ว่าควรจะรอเวลาเหมาะสมที่ค่อยลงมือ แต่อดีตสามีกลับไม่คิดละเว้นชีวิตนางและบุตรสาว เมื่ออีกฝ่ายมิเมตตาต่อนาง เช่นนั้นจำเป็นด้วยหรือที่จะยอมถูกกระทำอยู่เพียงฝ่ายเดียว
“เมี่ยวเอ๋อร์ มิว่าอย่างไรวันนี้ เจ้าห้ามห่วงแม่มากกว่าตนเองเข้าใจหรือไม่ สำหรับแม่นั้นเสมือนใบไม้ที่ใกล้ปลิดปลิว ส่วนลูกนั้นเปรียบดั่งดอกไม้แรกแย้ม อย่าเลือกที่จะเสียสละตนเอง โดยทำร้ายใจคนแก่เช่นแม่ รู้ไหม”
หลิวเจินเจินกำชับบุตรสาว เพราะเกรงว่าหากเมี่ยวจ้านมัวแต่ห่วงนางอาจพลาดพลั้งถึงชีวิตเอาได้ แม้แต่บาดเจ็บ นางก็ไม่อยากให้เกิดแก่บุตรสาวเพียงคนเดียว
“ท่านแม่อย่ากังวลไปเลยเจ้าค่ะ แค่ไม่กี่คน ข้ากับท่านอาหมิงรับมือไหวอย่างแน่นอนเจ้าค่ะ”
หญิงสาวตอบยิ้ม ๆ นางไม่มั่นใจนัก แต่มิอยากให้ผู้เป็นแม่ต้องเป็นกังวลเท่านั้นเอง นางคือนักรบ ไม่เคยคิดที่จะประมาทศัตรู การที่อีกฝ่ายกล้าตามไล่ล่าพวกนาง นั่นเท่ากับว่าอีกฝ่ายก็ต้องมิใช่ธรรมดาเช่นกัน พี่ชายของนางเป็นถึงแม่ทัพ ฝีมือย่อมต้องสูงส่ง ในความดุดันย่อมต้องมีสมองที่ชาญฉลาดในการเอาชนะคู่ต่อสู้ มิเช่นนั้น คนอย่างหยางซานหลางคงไม่ยืนอยู่บนจุดนี้ได้นานถึงเพียงนี้เป็นแน่
“แม่ขอโทษ…ที่ทำให้ลูกต้องทำร้ายกันเอง” หลิวเจินเจินบีบเบา ๆ ที่มือของบุตรสาว
“ท่านแม่! มิว่าอย่างไร ข้าก็พร้อมที่จะป้องป้องท่านแม่นะเจ้าคะ” เมี่ยวจ้านเอ่ยเบา ๆ พร้อมระบายยิ้มงามทั่วใบหน้าทำให้หลิวเจินเจินอดอมยิ้มตามมิได้
ด้วยแผนการครั้งนี้ของฟางเล่อ ทั้งหมดเพียงเพื่อแยกสองพ่อลูกสกุลหยางออกจากกันเท่านั้น เพราะจะทำให้ทุกฝ่ายดำเนินตามแผนได้อย่างราบลื่น อย่างไรเสียวันนี้ บรรดาจิ้งจอกทั้งหลายคงได้พากันโผล่หางออกมาอวดโฉมเป็นว่าเล่น
คนที่เดินทางมาอย่างลับ ๆ ตอนนี้อยู่ที่พรรคเมฆาทมิฬโดยมีหรู่อี้เป็นผู้ส่งข่าวมาให้ หลังจากคนสนิทของท่านหญิงโม่ได้แฝงตัวเข้าไปกับคณะของกลุ่มคนต้องสงสัย โดยมีหมิงจงเป่าเป็นผู้จัดการให้หญิงสาวปลอมตัวเข้าร่วมในคณะได้อย่างแนบเนียน
แม้คนส่งข่าวของหมิงจงเป่ามิอาจระบุตัวผู้นำของฝ่ายนั้นได้ แต่ก็สามารถบอกได้ว่าคณะเดินทางใดคือกลุ่มกบฏจึงง่ายต่อการส่งหรู่อี้เข้าไปปะปนแฝงตัวในคณะเดินทาง จนตอนนี้ หญิงสาวได้เข้าไปอยู่ในพรรคมารคอยสืบหาข่าว
ส่วนขุนนางที่ร่วมมือกับสกุลหยางนั้นก็มาถึงยังค่ายทหารแล้วเช่นกัน หากพวกเขาปะทะซึ่ง ๆ หน้าฝ่ายตนย่อมลำบากด้วยกำลังคนที่จำนวนน้อยกว่า แต่หากจะเอาชนะได้โดยเสียเลือดเนื้อน้อยที่สุดก็จำต้องกำจัดผู้บงการไปทีละคน
‘ในเมื่อเป็นคนดีแล้วยังถูกทรยศหักหลัง ไยพวกเขาจะทำตัวเยี่ยงโจรร้าย หรือนักฆ่าบ้างไม่ได้เล่า’
นั่นคือคำพูดที่ไม่มีใครคาดคิดว่าจะออกมาจากปากของท่านหญิงผู้เคยอ่อนโยนประดุจดอกไม้กลีบบาง แต่ไฉนนางกลับกลายเป็นดั่งพยัคฆ์ร้ายที่คอยซุ่มตะครุบเหยื่ออย่างชาญฉลาด เสมือนท่านหญิงโม่มิใช่คนเดิม
ฟิ้ว! ฉึก ๆ
สองแม่ลูกยังคงนั่งนิ่งอยู่ภายในรถม้า แม้จะถูกโจมตีมาแล้วก็ตาม
ฮี้ ๆ
สองขาหน้าของม้ายกขึ้นสูงเมื่อด้านหน้าถูกขวางทางอย่างกะทันหัน หมิงจงเป่ายังมีสติมากพอ ใช้เวลาเพียงครู่เดียวเขาก็สามารถทำให้ม้าสงบลงได้ พอ ๆ กับทุกสิ่งรอบกายหยุดนิ่ง รวมถึงศัตรูที่ประกบหน้าหลัง โดยมีรถม้าจอดนิ่งอยู่ระหว่างกลาง
หญิงสาวในชุดสีฟ้าอ่อนนั่งอยู่บนหลังม้า นำกลุ่มชายฉกรรจ์หลายสิบคนขวางทางอยู่ ด้านหลังคือชายหนุ่มรูปงามที่คนทั่วแคว้นรู้จักดี เขาคือแม่ทัพหนุ่มผู้เกรียงไกร แต่มีจิตใจมิสะอาดเช่นหน้าตา แม่ทัพหยางซานหลางในวันนี้กลับสวมหน้ากากไว้ครึ่งซีกซ้าย เพื่อปกปิดรอยแผลที่ยังไม่หายดีจากการถูกผีอดีตภรรยาหลอกหลอน
หมิงจงเป่ายังคงนั่งนิ่งประจำที่ผู้บังคับม้า ดวงตาจ้องเขม็งไปยังด้านหน้า รอยยิ้มค่อย ๆ ปรากฏขึ้นทีละน้อยทำให้ใบหน้าของชายวัยกลางคนน่ามองยิ่งนัก หากเวลานี้อยู่ในวงล้อมของสตรี เขาคงรู้สึกดีกว่านี้ แต่ตอนนี้อยู่ในวงล้อมของเด็กเลือดร้อนทำให้เขาอนาถใจที่ต้องสังหารหนุ่มสาวพวกนี้
นางมารน้อยที่เมื่อสองปีก่อนเขาเคยไว้ชีวิต แต่เมื่อไม่ยอมจะกลับใจ วันนี้ เขาคงมิจำต้องยั้งมือหรือปล่อยไปเช่นในอดีตอีกแล้ว หากมิตัดรากถอนโคนเสียในตอนนี้ สักวันก็จะกลับมาแว้งกัดพวกเขาอีกอยู่ดี
“ท่านแม่! ออกมาพูดคุย…กับบุตรชายผู้นี้สักคำเถิด”
คำพูดของชายหนุ่มมีติดขัดบ้างเล็กน้อย มือของแม่ทัพหนุ่มสั่น
น้อย ๆ ศัตรูมากมายเขาไม่เคยหวั่นเกรง แต่สตรีในรถม้าคือคนที่ป้อนนมในอกให้เขาดื่มกิน
“ท่านแม่ทัพ”
หนึ่งในคนสนิทของหยางซานซินเอ่ยเสียงเรียบ เขาได้รับคำสั่งให้คอยจับสังเกตชายหนุ่มอยู่ตลอดเวลา เพื่อไม่ให้เกิดความผิดพลาดในภารกิจนี้
“ข้ารู้แล้ว!”
หยางซานหลางชำเลืองมองคนด้านข้างด้วยความขัดเคือง แต่ก็ไม่อาจทำสิ่งใดได้ เพราะเขารู้ดีว่างานนี้บิดามิได้วางใจเขานัก ไม่อย่างนั้นคงไม่ส่งคนสนิทตามประกบเขาเช่นนี้ แผนการของเขาคงต้องลำบากมิน้อย หากคนสนิทของบิดายังอยู่ข้างกายเช่นนี้
“ท่านแม่! ได้โปรดออกมาตกลงกับลูกจะดีกว่านะขอรับ” หยางซานหลางยังคงเรียกหลิวเจินเจินว่าแม่ ทั้งที่ใจนั้นสับสนอยู่มิน้อย ไม่ใช่มารดาผู้นี้ไม่ดี แต่เป็นตัวเขาที่ไม่คู่ควรจะเรียกสตรีแสนดีว่าแม่
คนสนิทของหยางซานซิน พยายามที่จะคาดเดาความคิดของชายหนุ่ม หากแผนการต้องพังลงเพราะความใจอ่อนของหยางซานหลาง เขาก็คงต้องกำจัดเสียให้สิ้นซาก ไม่เว้นแม้แต่ชายหนุ่มผู้เป็นแม่ทัพ ตามคำสั่งของนายใหญ่ซึ่งจะปล่อยให้ทุกอย่างเสียหายไม่ได้ แม้จะเป็นเพียงเรื่องเล็กน้อยก็ตามที เขาได้รับคำสั่งจากนายใหญ่มาโดยตรง ดังนั้น หยางซานซินก็ไม่มีสิทธิ์คัดค้านหากเขาจะลงมือกำจัดบุตรชายของแม่ทัพใหญ่สกุลหยาง
“หยางซานหลาง…เสียแรงที่ข้าอบรมสั่งสอนเจ้ามาแต่เยาว์วัย ไยถึงมิเอาสิ่งเหล่านั้นเข้าไปในสมองของเจ้าสักนิด เหตุใดเจ้าไม่รู้จักแยกแยะว่าสิ่งใดถูกผิดกันเล่า” หลิวเจินเจินยังคงนั่งอยู่ภายในรถม้าทำเพียงส่งเสียงตอบโต้ชายหนุ่มออกมาเท่านั้น
หยางซานหลางได้แต่กัดฟันด้วยความเจ็บแปลบในหัวใจ ไยเขามิรู้ถูกผิด แต่เขาก็ไม่อยากอยู่ใต้อำนาจผู้ใดด้วยเช่นกันจึงเลือกที่จะอยู่ข้างบิดาซึ่งคอยบอกเขาเสมอว่า แผ่นดินชีเป่ยถูกสกุลโม่แย่งชิงไป แม้วันนี้ เขาจะรู้ว่ามันคือเรื่องโกหก แต่เขาก็ไม่อาจถอยหลังได้แล้วในตอนนี้
“ลูกจำคำสอนของท่านแม่ได้ดีขอรับ แต่มิใช่ท่านแม่หรอกหรือที่เลือกข้างผิดเสียเอง มอบของที่ท่านแม่ขโมยไปคืนแก่ข้าเถอะนะขอรับ แล้วข้าจะมิทำอันใดท่านแม่ ได้โปรดอย่าทำให้ข้าลำบากใจไปมากกว่านี้อีกเลย”
น้ำเสียงของชายหนุ่มที่เอ่ยกับมารดาเลี้ยงช่างนุ่มนวลยิ่งนัก ทุกถ้อยคำสะท้อนลึกลงไปในหัวใจของคนในรถม้า หลิวเจินเจินพยายามควบคุมตนเองมิให้อ่อนไหวกับคำพูดของบุตรชายจนพลั้งเผลอออกไปด้านนอกก่อนเวลาที่เหมาะสม
เมี่ยวจ้านเมินหน้าไปอีกทางด้วยสงสารมารดาจับใจ ถึงหยางซานหลางจะเลวร้ายเพียงใด เขาก็คือพี่ชายของนาง และชายหนุ่มผู้นี้ไม่เคยทำร้ายมารดาของนางสักครา จะมีก็แต่เพียงบิดาเท่านั้นที่เป็นผู้กระทำ
“อย่าเสียเวลาอีกต่อไปเลย ซานหลาง จะลงมือก็จงทำเสียเถอะ ยืดเยื้อไปก็รังแต่จะมากความเปล่า ๆ” หลิวเจินเจินเอ่ยกับชายหนุ่มด้วยน้ำเสียงไร้เยื่อใย หากจะตัดก็จำต้องให้ขาดกันไปเสีย แม้ภายในจะเจ็บร้าวเพียงใดก็ตาม ส่วนรวมย่อมมาก่อนส่วนตน
หยางซานหลางใบหน้าถอดสีจนซีดเผือด เมื่อได้ยินคำพูดของมารดา ชายหนุ่มจึงส่งสัญญาณให้ผู้ติดตามไปนำตัวหลิวเจินเจินออกมาจากรถม้า
แต่ทว่า…ยังมิทันก้าวเข้าถึง หลังคารถม้ากลับกระเด็นออกอย่างแรงด้วยฝีมือของคนภายใน ทั้งหมดดวงตาเบิกกว้าง มือของแต่ละคนกระชับอาวุธแน่น ต่างพากันจ้องมองไปยังจุดเดียวกันคือรถม้าของหลิวเจินเจิน ซึ่งเวลานี้ได้มีหญิงสาว หน้าตางดงามยืนอยู่ขอบด้านบนของรถม้า ในมือถือวงแส้สีทอง หากจะมองให้ดี แส้เส้นนั้นมันทำจากทองคำบริสุทธิ์ทั้งเส้น
เมี่ยวจ้านจ้องมองไปยังพี่ชายร่วมบิดา ชายหนุ่มผู้แย่งชิงมารดาของนางไปกว่ายี่สิบปี เกิดต่างกันเพียงสองวันเท่านั้น นางกลับเป็นผู้ถูกเลือกให้ตาย ส่วนเขากลับได้รับโอกาสให้มีชีวิตอยู่ แต่ถึงแม้นางไม่ตายและถูกเลือกให้มีลมหายใจอยู่ต่อ นางก็จะขอยืนคนละข้างกับคนสกุลหยางอยู่ดี
หยางซานหลางจ้องมองคนตรงหน้า ด้วยแววตาเหยียดหยาม เขารู้เรื่องนางมาจากบิดาแล้ว แม้จะมิเคยพบหน้ากันมาก่อน แต่วงหน้างามคล้ายคลึงกับหลิวเจินเจินนั้น มิต้องบอก เขาก็รู้ว่าคือใคร
“เจ้าคิดว่าจะแย่งชิงทุกอย่าง กลับคืนไปได้หรือ น้องพี่ มิว่าวันไหน ๆ เจ้าก็เป็นเพียงส่วนเกินของสกุลหยาง”
หยางซานหลางคิดจะใช้คำพูดเสียดแทงใจน้องสาวต่างมารดา ซึ่งแท้จริงแล้วในใจลึก ๆ เขาอิจฉาน้องสาวเป็นที่สุดที่สามารถเลือกทำในสิ่งที่ต้องการ โดยไร้คนบีบบังคับ
‘ข้าอิจฉาเจ้า น้องสาว แต่ก็ต้องเสียใจกับเจ้าด้วยที่ต้องตายในวันนี้’