บทที่2
ชั้นบนของโรงเตี๊ยม
“จมูกดียิ่งกว่าสุนัขก็คนอย่างเจิ้งถงนี่ละ”
คราแรก หมิงจงเป่าคิดแยกตัวไปยังหุบเขาเหมยแดง แต่พอนึกขึ้นมาได้ว่าต้องบอกเรื่องสำคัญแก่ศิษย์รักเสียก่อนจึงได้ย้อนกลับมายัง โรงเตี๊ยม แต่เขาไม่ได้เข้าไปร่วมประชุมกับคนอื่น ทำเพียงเข้าไปนั่งจิบชากินขนมรอหนุ่มสาวอยู่อีกห้อง
ผ่านไปสักพักเสี่ยวเอ้อร์ได้มาแจ้งข่าวเรื่องของอดีตศิษย์น้องร่วมสำนัก เขาจำต้องเดินไปตามฟางเล่อมาด้วยกัน เพื่อให้นางได้รู้จักศัตรูหมายเลขหนึ่งของพรรค
การกำจัดเจิ้งถงนั้นง่ายเพียงพลิกฝ่ามือสำหรับคนอย่างหมิงจงเป่า แต่การปรากฏตัวของอีกฝ่ายกลับเป็นช่วงเวลาที่เขามิอาจทำได้อย่างใจคิด เพราะไม่รู้ว่าเวลานี้เจิ้งถงมีผู้ใดหนุนหลัง หรือทำงานอยู่กับใครบ้าง
“ใครหรือเจ้าคะ ท่านอาจารย์ จำเป็นที่ข้าต้องรู้จักเขาด้วยรึเจ้าคะ” ฟางเล่อเอ่ยถามพร้อมมองจากด้านบนชั้นสองลงไป
“จำเป็นอย่างยิ่ง เล่อเล่อ คนทรยศของพรรคเรา และชายผู้นี้เขากำลังตามหาเจ้าเพื่อกำจัด ถึงเจ้าจะเก่งแค่ไหน เล่อเล่อ แต่เวลานี้เราไม่ควรเพิ่มคู่ต่อสู้เขามาอีก และเจ้ายังไม่พร้อมที่จะประมือกับเจิ้งถง”
หมิงจงเป่ากล่าวด้วยน้ำเสียงที่ดูจะเคร่งขรึมกว่าที่เคย ฟางเล่อรีบดึงสายตากลับทันที เมื่อคนที่พวกนางเฝ้าดูอยู่เหมือนจะรู้แล้วว่ามีคนจ้องมองตนเอง
“ข้าเข้าใจแล้วเจ้าค่ะ ท่านอาจารย์”
ทั้งสองหันหลังให้กับคนที่กำลังมองขึ้นมา ส่วนเจิ้งถงเองได้คอยสังเกตการณ์อยู่นานพอสมควร เมื่อยังไม่อาจเห็นสิ่งผิดปกติใด ๆ เจิ้งถงจึงจากไปพร้อมแววตาที่เก็บซ่อนบางอย่างเอาไว้ภายใน
โรงเตี๊ยมเมืองสุ่ยอิง ก่อนถึงเมืองชายแดนเจียงไห่
ใบหน้าเรียบสนิทของสตรีรูปโฉมงดงาม บนร่างกายบอบบางสวมใส่อาภรณ์เนื้อดี รอบกายห้อมล้อมไปด้วยผู้ติดตามมากฝีมือ การเดินทางไกลทำให้นางเหน็ดเหนื่อยมิน้อย แต่จะให้นั่งใจเย็นอยู่ในวังอีกต่อไปได้อย่างไรกัน ในเมื่อข่าวที่ได้รับจากชายแดน มันทำให้นางร้อนใจจนมิอาจนิ่งดูดายได้อีก
นางจำต้องให้บิดาเข้าวังเพื่อทูลขออนุญาต พานางออกติดตามมายังชายแดนเจียงไห่ด้วย แม้จะถูกบิดาทัดทานเพียงใด นางก็มิสนใจที่จะฟัง ในเมื่ออีกไม่นาน แผนการทั้งหมดจะจะสำเร็จผลแล้ว นางจะรั้งรออยู่เพื่ออันใดกัน
“เมิ่งชี! พ่อคิดว่าเจ้ากลับเมืองหลวงไปก่อนเพื่อรอฟังข่าวจะมิดีกว่าหรือ” ราชครูหลิวเอ่ยกับบุตรสาวเบา ๆ ให้ได้ยินกันเพียงสองคน ด้วยเกรงคนนอกที่แวะพักยังโรงเตี๊ยมจะรู้ว่าบุตรสาวของตนเองเป็นใครซึ่งมันจะนำความยุ่งยากมาสู่ทุกคน
“พรุ่งนี้ก็จะถึงแล้ว…มิช้าไปหน่อยหรือเจ้าคะ ท่านพ่อ ที่จะให้ข้ากลับไป”
ราชครูหลิวได้แต่ถอนหายใจแรง เขาทัดทานบุตรสาวมาตลอดการเดินทาง แต่มันไม่มีผลสักนิดกับบุตรสาวหัวดื้อคนนี้
ในการออกเดินทางครั้งนี้ของหลิวกุ้ยเฟยมิเป็นทางการจึงจำเป็นต้องปิดบังฐานะของนางเอาไว้ เพื่อมิเป็นการประมาท นั่นก็นับว่าเป็นที่หนักใจของทุกคนมากพอแล้ว หากต่อจากนี้เกิดสิ่งไม่คาดฝันขึ้นอีกระหว่างทาง ย่อมนำพาหายนะอันใหญ่หลวงมาสู่ทุกคน ซึ่งมันไม่ใช่ความคิดที่ดีนัก
ผู้คนมากหน้าหลายตาเดินทางสัญจรผ่านไปมา และโรงเตี๊ยมคือจุดศูนย์ร่วมของเหล่านักเดินทางเลยก็ว่าได้ ดังนั้น ทุกคำพูดและการแสดงออกจึงจำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องระวังให้ดี
หลิวเมิ่งชีเหม่อมองออกไปยังด้านนอกโรงเตี๊ยมคิดถึงเรื่องราวที่ผ่านมาซึ่งเรียกได้ว่าความสุขนั้นแทบหาไม่ได้ สุขเพียงอย่างเดียวของนางคือชายผู้องอาจในชุดเกราะผู้นั้น ซึ่งเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจของนางให้คงอยู่ได้จนถึงทุกวันนี้
กว่าที่ตัวนางจะก้าวมาถึงจุดนี้ได้ต้องแลกด้วยหลายสิ่งเหลือเกิน แม้แต่การฆ่าคน นางก็ต้องทำเพื่อรักษาความลับที่จะนำภัยมาสู่นางเอง จะให้การเสียสละความสุขส่วนตนของนางสูญไปเปล่า ๆ มิได้ นางใช้ทุกวิถีทางเพื่อทำให้เป็นที่โปรดปรานจนอยู่เหนือสนมทุกนาง เป็นรองเพียงฮองเฮาเท่านั้น
ยิ่งเวลานี้ ฮ่องเต้มิทรงไยดีในตัวฮองเฮา หรือสนมนางในอื่นใด มีเพียงนางที่ทรงเรียกหาให้ร่วมดื่มกินเป็นเพื่อนคุยอยู่สม่ำเสมอ ทุกอย่างที่นางต้องการก็มิเคยขัด จะมีก็แต่เพียงตำแหน่งสูงสุดในวังหลังเท่านั้นที่นางยังไม่ได้ครอบครอง
เมื่อก่อน นางอาจต้องการตำแหน่งนั้น แต่ตอนนี้ มันไม่จำเป็นที่จะยื้อแย่ง เพราะไม่ช้า มันจะเป็นของนางอยู่ดี
เรียวปากอวบอิ่มยกยิ้มหยัน เมื่อนึกถึงสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นกับศัตรูของนางและคนรัก
‘หมดยุคของสกุลโม่แล้ว หยางและหลิวจะรวมเป็นหนึ่ง’
“พ่อมิคิดว่า...มันจะไม่ง่ายอย่างที่เราคาดการณ์เอาไว้น่ะสิ! หากเป็นเช่นที่คนผู้นั้นบอกมา ไอ้เด็กนั่นมันยังไม่ตาย รวมทั้งจิ่วอิงและเงา แต่มันก็อาจจะเป็นข่าวลวงเพื่อให้เราไขว่เขวได้เช่นกัน ทางที่ดีนับจากนี้ไป เราจะวางใจอะไรไม่ได้ทั้งนั้น แม้แต่พันธมิตรของเราเองก็ตามที”
สมกับที่ผ่านอะไรมามาก ราชครูหลิวพยามที่จะชี้แนะให้แก่บุตรสาว การที่พวกเขาซ่อนมีดไว้ข้างหลัง แต่ใบหน้ายิ้มแย้มให้แก่พันธมิตร และอีกฝ่ายก็ทำเช่นเดียวกัน ไม่เคยมีความภักดีที่แท้จริงต่อกัน ในการช่วงชิงอำนาจทำให้ราชครูผู้มากด้วยความรู้ คอยวางแผนรับมือได้อย่างแยบยลมาตลอดหลายปี
แต่ครั้งนี้ มันต่างออกไป เพราะมีข่าวลับ ๆ ที่มิสู้ดีเท่าใดนักเกี่ยวกับบรรดาทายาทสกุลโม่และจ้าว โดยเฉพาะองค์ชายที่ควรตายไปแล้ว ไยยังมีข่าวว่าองค์ชายผู้นั้นปรากฏตัวขึ้น
ไหนจะฝั่งสกุลจ้าวเองก็เหมือนจะมีการเคลื่อนไหวแล้วเช่นกัน คนของเขาส่งข่าวมาว่าจ้าวอวิ๋นได้เดินทางออกจากเกาะดอกเหมยมุ่งสู่เมืองหลวง แม้จะไร้สามารถ แต่เขาไม่อาจวางใจคนสกุลจ้าวได้ หากไม่มีดีจริง จ้าวเหลียนคงยังไม่รั้งตำแหน่งฮองเฮาอยู่จนถึงทุกวันนี้เป็นแน่
“หึ! กลัวไปไย! มันเป็นเพียงภูตผีที่มิอาจกลับมาทวงอะไรได้ และครั้งนี้ พวกมันต้องไม่รอดไปเป็นครั้งที่สองอย่างแน่นอน ท่านพ่อควรห่วงเรื่องคนผู้นั้นเอาไว้จะดีกว่า มันมิโง่เช่นโม่เหยียนเฉาที่จะให้พวกเราจับจูงได้ง่าย ๆ ยิ่งคนที่เราเรียกว่าพันธมิตรนั่นละตัวดี คนพวกนี้มิต่างจากจิ้งจอก”
ราชครูหลิวระบายยิ้มพึงพอใจขึ้นมาได้บ้าง เมื่อได้ยินคำพูดในตอนท้ายของบุตรสาว อย่างน้อย นางก็มิได้โง่เขลาไปเสียทุกเรื่อง นับตั้งแต่หยางซานหลางถือกำเนิด เขาไม่เคยนอนหลับได้สนิทสักคืน ด้วยหวาดกลัวความลับจะรั่วไหล มันมิใช่แค่ชีวิตเขาหรือบุตรสาวเท่านั้นที่จะถูกลงทัณฑ์ หากเรื่องนี้หลุดลอดออกไป หลอกลวงเบื้องสูงพ่วงด้วยการหมิ่นพระเกียรติคงไม่พ้นถูกประหารสิบชั่วโคตรเป็นแน่
สองพ่อลูกมิได้เอ่ยชื่อผู้ใดมากนัก เพราะที่นี้มิใช่ห้องลับหรือจวนของพวกเขา จำต้องระวังทุกคำพูดเอาไว้เสมอ หน้าต่างมีหูประตูมีตา คนเช่นกัน ไว้ใจมิได้แม้แต่คนข้างกาย
“เรื่องนั้นมิต้องห่วง พ่อจัดการได้ รีบกินเข้าเถอะ เราจะได้เร่งออกเดินทางกันต่อ”
ห้องอาหารด้านข้างมีชายชราสองคน พร้อมหญิงชราอีกสองคนนั่งกินอาหารอยู่เงียบ ๆ แต่ใช่หูจะมิฟังสิ่งใด
รอยยิ้มเฉกเช่นคนอารมณ์ดีของชายชราทั้งสองนั้นเป็นเอกลักษณ์ของคนสกุลนี้เสียจริง แต่ตอนนี้ไม่มีใครจำทั้งคู่ได้จึงคิดว่าเป็นพ่อค้าเจ้าสำราญทั่ว ๆ ไปเท่านั้น การเดินทางจำต้องทิ้งระยะห่างเสียแล้ว ตอนนี้คงปล่อยคนห้องข้าง ๆ ล่วงหน้าไปก่อน อย่างไรเสีย เจียงไห่ก็มีคนรอต้อนรับ พระสนมคนงามและบิดาของนางอยู่แล้ว พวกเขามิต้องเร่งรีบตามไปให้เหนื่อย
พรรคเมฆาทมิฬ
จีกวานฮวาเดินหน้าตึงเข้าไปยังส่วนห้องรับรอง ด้วยอารมณ์มิค่อยดีนักทำให้หญิงสาวหญิงสาวปัดกาน้ำชาในถาดที่สาวรับใช้ยกมาให้แก่นาง
เพล้ง!
ประมุขพรรคถึงกับชะงักค้างขณะกำลังคีบอาหารเข้าปาก ก่อนจะวางกลับลงในจาน แล้วหันไปเผชิญหน้ากับหญิงสาว ดวงตาของท่านประมุขหรี่ลงมองไปยังหลานสาว ไยวันนี้ถึงได้ปิดบังใบหน้า ซ้ำยังอารมณ์ขุ่นมัวกว่าที่เคย ไม่ว่าจีกวานฮวาจะเอาแต่ใจเพียงใด นางมิเคยทำลายข้าวของต่อหน้าเขาเช่นนี้
“มานั่งข้าง ๆ อาสิ กวานเอ๋อร์ เกิดอันใดขึ้นกับเจ้า”
ประมุขแห่งเมฆทมิฬตบลงเก้าอี้ข้างตัว จีกวานฮวาเดินไปหย่อนกายนั่งลงยังเก้าอี้ตามที่ผู้เป็นอาต้องการ พร้อมปลดผ้าออกจากใบหน้า ดวงตาของผู้เป็นอาถึงกับเบิกกว้าง ไยหลานสาวเขาถึงเป็นเช่นนี้ไปได้ ด้วยฝีมือของนาง มิน่าพลาดพลั้งให้แก่ผู้ใดได้ง่าย ๆ
“เล่ามาสิ หลานข้า”
หญิงสาวเริ่มเล่าทุกอย่างที่เกิดขึ้นให้ผู้เป็นอาฟัง เมื่อจีกวานฮวาเล่าถึงตอนลมพัดแรงปานพายุ และควบคุมใบไผ่ได้เสมือนมีชีวิตดุจใบมีดแหลมคมที่พร้อมปลิดชีพของศัตรูได้นั้น มันทำให้ผู้นำแห่งเมฆาทมิฬถึงกับมือสั่นระริก
‘มิใช่แค่ทำให้บาดเจ็บได้เท่านั้น หากหมายเอาชีวิตก็ทำได้ เพียงแต่คนที่ใช้วิชาที่ว่า ไม่คิดที่จะลงมือทำเท่านั้นเอง วิญญาณที่ใดกันจะใช้วิชาหงส์สะบัดปีกเล่า พรรคโลกันต์ปรากฏกายแล้วรึนี่’
ว่าแต่มันมีความเกี่ยวพันอันใดกับอดีตภรรยาของแม่ทัพหยางซานหลาง ว่าที่หลานเขยของเขากันนะ…เห็นทีเรื่องนี้คงต้องสืบให้กระจ่างเสียแล้วกระมัง
หากผู้ขัดขวางคือคนของพรรคโลกันต์ ย่อมอันตรายมากสำหรับหลานสาวของเขา นางมิอาจต่อกรกับศิษย์ระดับกลางของพรรคโลกันต์ได้เลยด้วยซ้ำไป หากเกิดปะทะกับผู้อารักขาหรือผู้ถือครองไข่มุก จีกวานฮวามิพ้นต้องพบจุดจบอย่างแน่นอน
‘เห็นทีข้าคงต้องทำอะไรสักอย่างแล้วจริง ๆ’
“ท่านอา…ท่านฟังข้าอยู่หรือไม่เจ้าคะ”
จีกวานฮวาเอ่ยถามขึ้น เมื่อผู้เป็นอานิ่งเงียบไป ไม่เอ่ยถามอันใดจนนางหยุดเล่าได้สักพัก คนด้านข้างก็ยังนั่งเงียบมิเอ่ยสิ่งใดออกมาอยู่อีกจึงทำให้หญิงสาวเกิดความสงสัยขึ้น
“กวานเอ๋อร์ หลานรัก…จงฟังอาเอาไว้สักเรื่องนะ ตอนนี้ โลกันต์ตื่นจากหลับใหลแล้ว เจ้าไม่เชื่อก็ไม่เป็นไร แต่เจ้าอย่าได้ประมาทเช่นที่ผ่านมา สิ่งที่เจ้าเล่ามานั้นไม่ใช่ภูตผี แต่เป็นวิชาของเหล่าชาวพรรคโลกันต์ อย่าให้ความดื้อรั้นของเจ้านำภัยมาสู่ตนเอง”
“ท่านอาเอาอะไรมาพูดเจ้าคะ โม่ไป๋หลานน่ะรึเจ้าคะที่จะใช้วิชาของพรรคสาบสูญ ไม่มีทางเป็นไปได้ มันก็แค่ผีที่พยายามทวงสามีคืนก็เท่านั้น ท่านอาอย่าได้โยงสองเรื่องเข้าหากันจนเป็นเสมือนเรื่องเดียวกันเลยนะเจ้าคะ”
ความดื้อดึงและเชื่อมั่นในตัวเองของจีกวานฮวาทำให้ประมุขแห่งเมฆาทมิฬทำได้เพียงทอดถอนหายใจ ก่อนร่างสูงจะลุกขึ้นก้าวตรงไปยังประตู และหยุดยืนนิ่ง แต่มิได้หันกลับไปมองหลานสาวที่กำลังทำสีหน้าไม่พอใจอย่างถึงที่สุดในเวลานี้
“อาปกป้องเจ้ามิได้ตลอดไปนะ…กวานเอ๋อร์”
เมื่อกล่าวจบ ร่างสูงก็ได้ก้าวเท้าพ้นประตูหายไปอย่างรวดเร็ว ทิ้งไว้เพียงคำพูดที่ยากจะคาดเดาความหมายได้ และจีกวานฮวาหาได้ใส่ใจกับคำพูดของผู้เป็นอา นางกำลังคลั่งแค้นจนมองไม่เห็นความหวังดีของใครทั้งสิ้น
“คนอย่างข้า ไม่เคยมีคำว่าพ่ายอยู่ในหัวสมอง”