11. เปิดโปงผู้สวมรอย
อีกด้านของเมืองเชียงไห่ หาญเหล่าส่งคนไปก่อกวนที่เรือนของสกุลซู บอกจะเปิดโปงเรื่องที่ย้อมแมวเอาบุตรของอนุมาแต่งใงานกับแม่ทัพใหญ่
ทำให้ทุกคนต่างก็หวาดกลัวว่าอาจจะต้องโทษทั้งสกุลเป็นแน่ ก่อนที่หาญเหล่าจะเข้ามาเสนอความคิดให้คุณหนูซูมินเอ๋อแสดงตน
“ไม่ ข้ามิยอมอยู่กับชายอัปลักษณ์เช่นนั้นเด็ดขาด”
“คุณหนู นั่นเป็นเพียงแค่ข่าวลือ หากท่านไม่เชื่อก็ไปที่เมืองหลวงพร้อมกับข้าก็ได้”
“ข้าจะเชื่อได้เช่นใดว่าจะเป็นเรื่องจริง”
“ท่านก็ต้องตามไปให้เห็นกับตาอย่างไรล่ะ บัดนี้บุตรสาวของอนุได้ดีไปกว่าท่าน ทั้งยังเป็นที่รักของไทเฮาในฐานะหลานสะใภ้อีก และท่านแม่ทัพก็มิได้มีบาดแผลบนหน้าเลยสักนิด ยังคงรูปงามเช่นแต่ก่อนมิผิดเพี้ยน”
“จริงหรือ แต่ถ้าหากว่าฝ่าบาทรู้ว่าสกุลซูยกบุตรสาวของอนุให้แต่งงานแทนล่ะ อย่างไรก็ต้องโทษทั้งสกุลอยู่ดี”
เมื่อเอ่ยถึงตรงนี้ก็ทำให้มินเอ๋อคิดหนักขึ้นมา เพราะนั่นเท่ากับการหลอกลวงเบื้องสูงเลยทีเดียว
“เช่นนั้นเราก็เปิดเผยเรื่องที่นางมิใช่คนของสกุลซูเสียเลยสิท่านพี่ บอกว่านางแอบอ้างเป็นคนสกุลเรา แล้วสวมรอยแต่งงานแทนมินเอ๋อ เช่นนี้เราก็มิต้องรับโทษใช่หรือไม่ใต้เท้าหาญ”
“หมายความว่าอย่างไร นี่จินเยว่มิใช่บุตรสาวของท่านหรอกหรือ มิน่าล่ะ”
หาญเหล่าพูดขึ้นเมื่อได้ยินเช่นนั้น เพราะแปลกใจตั้งแต่มาถึงแล้วว่าเหตุใดจินเยว่ที่งดงามถึงต่างจากคนในสกุลนี้นัก
“มิน่าล่ะอะไรกันใต้เท้า”
ใต้เท้าซูถามผู้ที่เอ่ยด้วยถ้อยคำสงสัยทันที
“ไม่มีอะไร ว่าแต่นางมิใช่บุตรสาวของท่านจริงหรือ”
“หึ ก็แค่เด็กเก็บมาเลี้ยงเท่านั้น เมื่อเกือบสิบแปดปีก่อนมีชายเร่ร่อนอุ้มทารกมาวางหน้าบ้าน ช่วงนั้นว่านเยว่พึ่งเสียบุตรไป จึงได้ขอรับเด็กคนนี้เลี้ยงแทน”
“เช่นนี้ก็ง่ายที่จะทำให้เรื่องกลับไปเป็นเช่นเดิม ถ้าเช่นนั้นคุณหนูและใต้เท้าก็เดินทางไปเมืองหลวงพร้อมข้าเสียเลย ชักช้าหากนางตั้งครรภ์แม่ทัพอาจจะมิทำโทษก็ได้”
หาญเหล่ายังคงเอ่ยถ้อยคำให้ทั้งหมดคล้อยตาม โดยมีว่านเยว่ยืนแอบฟังอยู่ไม่ไกล เมื่อได้ยินเช่นนั้นจึงรีบออกจากเรือนหวังจะเดินทางล่วงหน้าเข้าเมืองหลวง เพื่อเตือนบุตรสาวที่ตนเลี้ยงดูมาแต่เล็ก
“แม่ผิดเองที่ผลักไสเจ้าไปพบกับจุดจบ ใครจะคิดว่าคนพวกนี้จะคิดทำร้ายกันเช่นนี้”
เมื่อออกจากเรือนได้ก็ตรงไปหารถม้าทันที เงินเก็บที่มีก็ถูกเอามาจ่ายค่าเดินทางจนเหลือติดตัวเพียงน้อยนิด
แต่นางก็มิหวั่นกลัว ยอมอดเพื่อจะได้เดินทางไปเตือนบุตรสาว จินถงมาถึงเมืองเชียงไห่ก็รีบสืบหาคนสนิทของจางลั่วหลิงทันที จึงได้รู้ว่าอีกฝ่ายอยู่ที่สกุลซู
“มาทำไมที่สกุลซูกันนะ หรือว่าจะรู้เรื่องที่ฮูหยินเป็นบุตรอนุแล้ว”
จินถึงเอ่ยขึ้นเมื่อเห็นคนที่ตนคุ้นหน้าดี ก่อนที่คนของตนจะเอ่ยขึ้นเช่นกัน
“ใต้เท้าพวกมันออกมาแล้วขอรับ”
“จะเดินทางไปไหนกัน หรือว่าจะไปเมืองหลวง”
“ต้องใช่แน่ขอรับ มิเช่นนั้นคงมิไปทั้งครอบครัวเช่นนี้”
“เราต้องรีบกลับเมืองหลวงเพื่อบอกให้ท่านแม่ทัพรู้”
จินถงเอ่ยก่อนจะรีบถอนตัวออกมาจากที่ซ่อน แต่ดูเหมือนอีกฝ่ายจะสังเกตเห็น จึงวางกำลังไว้รอกลุ่มของอีกฝ่าย แต่จนแล้วจนรอดก็ไม่มา
“หัวหน้าเหตุใดพวกมันถึงยังไม่ผ่านมาอีก”
“หรือว่ามันรู้ตัวเลยมิออกเดินทาง”
“เช่นนั้นเราจะรออยู่ที่นี่หรือขอรับ”
“กลับไปร่วมขบวนกับพี่หาญเหล่าดีกว่า ถ้ามันรู้ตัวรอต่อไปก็เสียเวลา”
เมื่อรออีกฝ่ายเกือบสองชั่วยามก็ยังไม่เห็นโผล่มา ทำเอากลุ่มที่รออยู่เกือบสิบคนต้องออกเดินทางกลับเมืองหลวงเช่นเดิม
“ใต้เท้าเหตุใดเราถึงเดินทางเส้นนี้ล่ะขอรับ ลำบากกว่าจะข้ามน้ำมาได้”
“เอาเถอะ หากเราตามพวกนั้นไปคงได้ปะทะกันเป็นแน่ คนของหาญเหล่าล้วนแต่เป็นนักฆ่าจากแดนอาทิตย์อุทัย เจ้าคิดว่าจะสู้พวกมันได้หรือ”
“เช่นนี้เอง เป็นข้าที่คิดไม่รอบคอบ”
จินถงคิดได้เพราะนึกถึงคำพูดของฮูหยินขึ้นมา หากตนมิเชื่อคำของนางก็คงต้องเป็นผีเฝ้าป่าเป็นแน่ เพราะทันทีที่เห็นกลุ่มผู้ติดตามของหาญเหล่ารออยู่นอกเมือง ก็รู้ได้เลยว่าเป็นนักฆ่าจากต่างแดน
คำล่ำลือถึงวิชาดาบที่รวดเร็วราวกับลมพัด จับต้องไม่ได้นั้นตนเองก็มิกล้าที่จะเสี่ยงเช่นกัน การเดินทางแม้จะยากลำบากแต่ก็เพียงแค่ครึ่งเท่านั้น เมื่อพ้นชายป่าก็มีทางที่มุ่งหน้าเข้าเมืองหลวงอีกด้านของฝั่งทิศเหนือ ทำให้ตลอดการเดินทางสองวันเป็นไปอย่างราบรื่น
รวมถึงอีกฝ่ายที่มาถึงเมืองหลวงแล้วเช่นกัน โดยเข้าพักที่เรือนนอกเมือง เพื่อรอยื่นฎีกาถวายแด่ฮ่องเต้
“พวกท่านพักที่นี่ก่อน คนที่นี่จะดูแลเป็นอย่างดี”
“ขอบคุณใต้เท้า ว่าแต่เหตุใดท่านจึงช่วยพวกเราล่ะ แล้วแน่ใจหรือว่าท่านแม่ทัพ มิได้มีใจต่อฮูหยินที่แต่งไปแล้ว จะสามารถเปลี่ยนกลับมาเป็นมินเอ๋อได้หรือ”
มารดาซูมินเอ๋อเอ่ยถามอย่างกังวล เพราะกิตติศัพดิ์ของแม่ทัพนั้นทุกคนต่างก็รู้ว่าเด็ดขาดเพียงใด
“ถึงจะมีใจ อย่างไรนางก็ต้องถูกลงโทษ โทษฐานฝ่าฝืนราชโองการสวมรอยแต่งงานแทนสกุลซู มิต้องห่วงแค่พวกเจ้าให้การตามที่ข้าบอกเท่านั้น”
หาญเหล่าเอ่ยก่อนจะเดินออกจากเรือนไป โดยที่มีคนของตนเฝ้าเอาไว้ เพราะเกรงว่าคนสกุลซูจะเปลี่ยนใจ
“ท่านแม่ข้าอยากเห็นหน้าท่านแม่ทัพจัง ไม่รู้ว่าจะรูปงามอย่างที่ผู้คนกล่าวถึงหรือไม่”
“อีกไม่นานเจ้าก็จะได้พบเอง ว่าแต่ท่านพี่ตอนที่เราออกมา ว่านเยว่าไม่รู้ใช่หรือไม่”
“นั่นสิ หากนางรู้ว่าเราจะทำเรื่องเช่นนี้คงมิยอมเป็นแน่ เพราะว่านเยว่รักจินเยว่ราวกับบุตรสาวตนจริงๆ”
“เช่นนั้นท่านพ่อก็บอกว่านางทั้งสองร่วมมือกันสิเจ้าคะ ให้ทุกคนคิดว่าเราต่างหากที่ถูกพวกนางแย่งชิงราชโองการ”
“จริงด้วยท่านพี่ อย่างไรท่านกับนางก็มิมีบุตรด้วยกันแล้ว เราเองจะได้ย้ายมาอยู่เมืองหลวงเสียที”
ซูเฉินนิ่งไปก่อนจะหันมาพยักหน้ากับภรรยาและบุตรสาว และเดินสำรวจภายในเรือนหลังใหญ่แห่งนี้ราวกับว่าเจ้าของยกให้แล้ว
เมื่อได้รับรายงานจากคนสนิทจางลั่วหลิงก็ถูกใจมาก
“ฮ่าฮ่า คราแรกข้านึกอิจฉามันที่ได้สตรีงามไปครอง แต่พอรู้ว่านางเป็นเพียงแค่บุตรอนุ ข้าก็สะใจมากพอแล้ว แต่พอมาได้ยินว่าสตรีนางนี้มิมีหัวนอนปลายเท้าด้วยซ้ำ ก็ยิ่งทำให้ข้ามีความสุขมากกว่าเดิมเสียอีก”
“นั่นสิขอรับ คราแรกที่พบหน้าคนสกุลซูข้าน้อยก็คิดอยู่ว่าเหตุใดสตรีที่งดงามถึงมีบิดามารดาหน้าตาเช่นนี้ได้”
“หากสิ่งที่มันทำต่อหน้าผู้คนเป็นความจริง ลู่ซือหลางก็คงต้องรักฮูหยินผู้นี้มากแน่”
ลั่วหลิงเอ่ยขึ้นพร้อมกับยกยิ้ม
“เช่นนี้แล้วนางมิต้องโทษประหารหรือขอรับ เสียดายใบหน้างดงามนี้เหลือเกิน”
เมื่อนึกถึงสตรีผิวขาวราวไข่มุก ก็ทำเอานายบ่าวคู่นี้ถึงกับนิ่งไปพอนึกถึงการใหญ่และโอกาสเอาคืนสกุลลู่ที่เป็นหนามยอกอกมานาน ก็ทำให้ลั่วหลิงตัดใจจากสิ่งที่คิด
“ผิดที่นางเกิดมาเป็นฮูหยินของซือหลาง หากนางเป็นคนรักคนแรกของมันคงดีกว่านี้”
เมื่อนึกถึงเรื่องราวในอดีตที่ตนนั้นด้อยกว่าซือหลางทุกทาง แม้แต่ตำแหน่งในราชสำนักก็ยังต่ำกว่า ครั้งที่ชอบพอสตรีก็มักจะถูกอีกฝ่ายตัดหน้าไป จนมาถึงฮูหยินที่ตนชิงมาได้ คิดว่าจะเชิดหน้าชูตาให้แต่ก็เปล่าเลย
ยิ่งมาเห็นภรรยาของแม่ทัพที่พึ่งเผยโฉม ก็รู้ทันทีว่าตนคิดผิดมหันต์ที่แย่งคนรักของซือหลางมา
“ข้าจะรอดูวันที่เจ้าเจ็บเจียนตายเพราะสตรีอีกครั้ง”
ยิ้มร้ายผุดขึ้นจากผู้ที่เต็มไปด้วยความเคียดแค้น ยิ่งตั้งแต่แม่ทัพเอาหน้ากากออกชาวเมืองต่างก็ชื่นชมสองสามีภรรยานี้ไม่ขาดปาก
“ข้าจะออกไปพบคนสกุลซู เตรียมรถม้าให้ด้วย”
จางลั่วหลิงตั้งใจที่จะออกไปนัดแนะกับอีกฝ่าย ก่อนจะยื่นฎีกาให้ฮ่องเต้
อีกด้านของเมืองหลวง ว่านเย่เดินทางมาถึงช้ากว่าคนของสกุลซู เพราะรถม้าต้องไปส่งผู้ที่เดินทางมาด้วยก่อน
“จวนแม่ทัพไปทางไหนกันนะ”
ว่านเยว่เดินไปมาอยู่นาน ก่อนจะตัดสินใจถามผู้คนจนได้รับคำตอบว่าจวนนี้อยู่ที่ใด แต่ในขณะที่กำลังมุ่งหน้าไปกลับเจอกับคนของสกุลจางเสียก่อน
“ท่านน้าจะไปที่ใดกันหรือ ดูแต่งตัวมิเรียบร้อยเลยสักนิด คงมิใช่คนเมืองหลวงสินะ”
“ใต้เท้าข้าน้อยมิใช่คนเมืองนี้หรอกเจ้าคะ พอดีข้ามาตามหาบุตรสาวหนีมาอยู่ที่นี่เท่านั้น”
“มีเรื่องเช่นนี้ด้วยหรือถ้างั้นก็ไปกับข้าสิ เดี๋ยวจะพาไปแจ้งทางการให้ช่วยตามหาบุตรสาวของท่าน”
“มิเป็นไรเจ้าคะ ข้ารู้แล้วว่านางอยู่ที่ใดขอบคุณใต้เท้า”
ว่านเยว่เดินเลี่ยงออกมา โดยที่ยังมีคนกลุ่มนี้มองตามอยู่ คราแรกก็คิดจะให้ช่วยแต่พอจดจำใบหน้าได้จึงรีบเอ่ยเลี่ยงออกไป
“คนพวกนี้ไปรับท่านพี่และฮูหยิน หากข้าเอ่ยบอกคงไม่ดีกับจินเยว่แน่ รีบไปจวนแม่ทัพดีกว่า”
ว่านเยว่เดินหลบออกจากทางเดินหลักตรงไปยังจวนแม่ทัพ ก่อนจะเจอกับจินหยางและชิงหมิงที่กลับจากซื้อของใช้ให้ฮูหยินพอดี
“ชิงหมิง นั่นเจ้าใช่หรือไม่”
“นายหญิงน้อย ท่านมาได้อย่างไรเจ้าคะ”
“อย่าพึ่งถามข้าอยากพบจินเยว่ เรามีเวลาไม่มากนัก”
“เช่นนั้นก็รีบเข้าไปเถอะขอรับ”
เมื่อได้ยินเช่นนั้นชิงหมิงก็พาว่านเยว่เข้าจวน แล้วพาไปพบฮูหยินที่นั่งอยู่ในสวนกับสามีที่ยังคงเอาใจใส่มิขาด พอจินเยว่เห็นมารดาตนก็รีบวิ่งเข้าไปหาทันที
เพราะภาพความจำที่เคยสัมผัสจากมารดากำลังจะเกิดขึ้น แต่ทว่ากลับไม่ทัเพราะธนูจากที่ใดมิรู้ปักลงที่กลางหลังทะลุร่างของว่านเยว่เสียก่อน
จินเยว่ชะงักยื่นนิ่งกับภาพที่เห็น จนซือหลางต้องรีบวิ่งเข้ามากอดเอาไว้ พร้อมกับสั่งคนของตนค้นหาที่มาของธนู
“จับตัวมันมาให้ได้ ผู้ใดกล้าสังหารคนในจวนข้า”
ร่างของว่านชิงล้มลงกองกับพื้นก่อนจะเป็นชิงหมิงและจินหยางที่เข้ามาประคองพยุงขึ้น