บท
ตั้งค่า

ตอนที่ 3 รักแรกภพ (ep.3)

ยายทิพย์มองตามร่างของหลานสาวคนเดียวไป ก่อนจะหันมามองหน้าคุณหญิงอรลูกสาวคนสุดท้องของตน

“ปีนี้จอมนางอายุได้กี่ขวบปีแล้วรึแม่อร”

“สิบหกเต็มเจ้าค่ะแม่ท่าน”

ยายทิพย์พยักหน้าช้า ๆ

“มีกระไรหรือไม่เจ้าคะ”

ยายทิพย์บ้วนน้ำหมาก ก่อนจะคลี่ยิ้ม

“เห็นทีว่าเจ้าจะได้รับขวัญเขยในเร็ววัน”

เมื่อฟังคำแม่ คุณหญิงอรก็ย่นคิ้วแล้วมองหน้าแม่นิ่ง นั่นเป็นเพราะยายทิพย์ แกเข้าวัดปฏิบัติธรรมมาตั้งแต่วัยสาว และชอบการทำนายทายทัก และที่สำคัญยายทิพย์ทายแม่นมาก อีกทั้งยังสามารถรู้เหตุการณ์ล่วงหน้าได้อีกด้วย

“จริงหรือเจ้าคะแม่ท่าน แล้วเป็นบุตรของตระกูลใดหรือเจ้าคะ”

ยายทิพย์นิ่งไปชั่วครู่

“แม่อย่าเพิ่งกระหยิ่มใจไปนัก เป็นเรื่องของเวรกรรมที่ไม่อาจจะหลีกเลี่ยงได้..”

ยายทิพย์พูดทิ้งท้ายไว้เพียงเท่านั้นก็ลุกขึ้นโดยมีชไม หญิงวัยกว่าสี่สิบบ่าวคนสนิทช่วยประคองแล้วพาเดินตรงไปยังห้องพระ

“เป็นเพราะเหตุใด แม่ท่านถึงทำนายเช่นนี้”

คุณหญิงอรครุ่นคิดในใจด้วยความสงสัย แต่อีกใจก็อดที่จะดีใจเสียไม่ได้ที่จะได้เขย

เมื่อขุนทองดีควบม้าออกมาจากย่านตลาดค้าของชุมชนชาวจีน ก็ตรงไปยังปากคลองขุนละครไชย มุ่งหน้าสู่ชุมชนของชาวจีนอีกเหมือนกันแต่อยู่ค่อนไปทางทิศใต้ของเกาะเมือง..

ที่นี่มีหญิงละครโสเภณี ตั้งโรงอยู่ท้ายตลาด รับจ้างทำชำเราแก่ชาย ตลาดนี้เป็นตลาดใหญ่ใกล้ทางเรือและทางบก มีตึกที่เป็นร้านค้าจีนมากมาย ขายของจีนมากกว่าของไทย และยังมีศาลเจ้าจีนศาลหนึ่งอยู่ท้ายตลาด

หญิงละครโสเภณี ไม่ใช่คนระดับล่าง ๆ หรือขายบริการกับใครก็ได้แต่เป็นถึงลูกสาวของมูลนาย ขุนนาง รวมทั้งคหบดีชาวจีน ที่ใช้ลูกสาวให้ความสุขสำราญผ่านการละครกับเจ้านาย ขุนนางและเชื้อพระวงศ์ที่ยศสูงและมีทรัพย์สมบัติมาก เพื่อการไต่เต้าไปสู่ยศและตำแหน่งทางการเมือง

“ท่านขุนขอรับ ไม่ไปอโรคยศาลา เพื่อรักษาบาดแผลก่อนหรือขอรับ”

ทนายแสนท้วงติงขึ้น เมื่อขุนทองดีกระโดดลงจากหลังม้าเตรียมจะเข้าไปในสถานอโคจรแห่งนั้น

“เพราะอย่างนี้ เจ้าถึงไต่ได้แค่ทนาย ข้าว่าคงอีกนานโขหลายขวบปีกว่าเจ้าจะไต่ได้ถึงระดับพัน”

ขุนทองดีแผดเสียงออกมาด้วยอาการขบกรามแน่น เพียงปล่อยให้เสียงเล็ดลอดไรฟันออกมาแล้วมองหน้าทนายแสนที่รีบก้มหน้างุด

“มึงใคร่ให้กูได้อายมากกว่านี้หรือกระไร ถึงต้องให้กูไปอโรคยศาลาเพื่อรักษาแผล การที่กูมาที่นี่ก็สามารถรักษาแผลได้เหมือนกัน เพราะยาสมานแผลจากจีนก็หาได้ยิ่งหย่อนไปกว่ายาของสยามไม่ และที่สำคัญ ก็มิอาจมีใครรู้เรื่องนี้จนแพร่งพรายไปถึงหูของพ่อกูอีกด้วย”

ขุนทองดีพูดจบก็รีบเดินเข้าไปด้านในซึ่งมีสาวงามจากหลายประเทศหลายเชื้อชาติต่างกรูกันเข้ามาเพื่อต้อนรับและพร้อมจะดูแล ในขณะที่ทนายแสนจำต้องนำม้าไปฝากไว้แล้วรีบตามเข้าไปอย่างเร่งด่วน เพราะหากช้าก็รู้ดีว่าเจ้านายมีอุปนิสัยเป็นอย่างไร

“อ้ายฮาริส ฝากไว้ก่อนเถอะมึง กูจะหาทางกำจัดมึงเสียให้ได้ในเร็ววัน มึงกล้ามาขวางทางกู มึงกล้าฝากรอยแผลไว้ให้กู”

ขุนทองดีคิดในใจพลางกำมือมือแน่น ความคิดแค้นชิงชังแน่นอกจนเขาไม่สนใจบาดแผลฉกรรจ์บริเวณอกที่นางคณิกาจากจีนกำลังใส่ยาสมานแผลให้ มันแทบไม่มีความเจ็บปวดเลยสักนิดเมื่อเขานึกถึงใบหน้าและการกวัดแกว่งดาบของจมื่นศรีสุรนาทที่รูปงามอย่างหาชายใดในสยามเปรียบมิได้ มิหน้ำซ้ำ จมื่นศรีสุรนาทยังเป็นที่โปรดปรานขององค์สมเด็จพ่ออยู่หัวอย่างมากอีกด้วย

เมื่อขึ้นจากเรือจมื่นศรีสุรนาทก็ตรงไปยังที่พัก อาบน้ำสวมเสื้อผ้าชุดใหม่ เป็นเสื้อคอกลมสวมศีรษะ แขนยาวเกือบจรดศอก มีผ้าขาวม้าคล้องคอแล้วตลบชายทั้งสองไปข้างหลัง นุ่งโจงกระเบน เขาเดินไปที่ศาลาพักร้อนที่ปลูกอยู่กลางสระบัว และยังได้กลิ่นหอมอ่อน ๆ ของดอกกรรณิการ์ ทิวาราตรี บุหงาสาหรี่ แย้มปีนัง ยี่หุบ ที่ปลูกอยู่รอบบ้านอีกด้วย

“แม่ท่าน ทำอะไรหรือขอรับ”

จมื่นศรีสุรนาทเดินมานั่งยังเบาะนุ่ม ตรงข้ามกับคุณหญิงช้อย หญิงวัยกว่าห้าสิบแม่แท้ ๆ ของเขา และด้วยความงดงามและเรียบร้อยอ่อนโยนและนุ่มนวลของคุณหญิงช้อยนี่แหละ ที่ทำให้ ซีคา บิอัมริลลาฮฺ(พ่อของฮาริส) ยินยอมเปลี่ยนศาสนาจากมุสลิม หรือที่ชาวสยามเรียกว่าแขกเซ็น เปลี่ยนมาขอถือพุทธ ส่วนหนึ่งไม่ใช่เพราะเกิดความเลื่อมใสศรัทธาในพุทธศาสนาเพียงอย่างเดียว แต่เป็นเพราะ หญิงงามคนนี้นางไม่เพียงเรียบร้อยอ่อนโยน แต่นางมีสติปัญญาที่ทันคน ไม่ยอมลงให้ใครและกล้าแกร่งเกินหญิงใดอีกด้วย เหตุนี้ที่ทำให้เขาตกหลุมรักจนถอนตัวไม่ขึ้น

แต่เนื่องจากพ่อของคุณหญิงช้อยเป็นผู้ที่เลื่อมใส่ศรัทธาในพระพุทธศาสนามาก เขาไม่ยอมยกลูกสาวให้แต่งงานกับชายนอกศาสนา โดยเฉพาะชาวต่างชาติ ซีคา บิอัมริลลาฮฺ ก็พยายามทุกอย่างที่จะแสดงให้พ่อของคุณหญิงช้อยเห็นว่าเขาดีพร้อมและก็รักคุณหญิงช้อยจริง เขาสามารถดูแลปกป้องคุณหญิงช้อยได้ เขาพยายามพิสูจน์ตัวเองจนเขาได้สมหวังเมื่อได้รับตำแหน่งรับใช้ใกล้ชิดสมเด็จพระนารายณ์มหาราช

“แม่เตรียมเครื่องคาวหวาน สำหรับไปทำบุญวันรุ่ง เป็นวันอาสาฬหบูชา”

จมื่นศรีสุรนาทนิ่งไปชั่วครู่ ทำให้เขามีโอกาสตรึกได้ว่า ชาวสยามเรานี้เลื่อมใสศรัทธาในพระพุทธศาสนามาก ไม่ว่าจะมีงานบุญหรือเทศกาลใด ทั้งสาว แก่ แม่หม้าย ต่างพากันไปวัดด้วยกันทั้งสิ้น

“หากเป็นเช่นนั้น เราก็คงได้สบพักตร์แม่หญิงจอมนาง หากว่าเราไปวัดด้วยแม่ท่านของเรา”

เขาคิดในใจก่อนจะคลี่ยิ้มให้แม่

“กระผมขอไปด้วยนะขอรับ”

คุณหญิงช้อยยิ้มกว้าง

“ดีจริงนะเจ้า เข้าวัดเข้าวาแต่ยังหนุ่ม”

จมื่นศรีสุรนาทมองดูแม่ของเขา หญิงวัยกว่าห้าสิบที่ไว้ผมทรงดอกกระทุ่ม ใบหน้าผ่องใสงดงามสมวัย ยามแย้มยิ้มเห็นไรฟันเป็นสีดำเงางาม สวมรัดอกสีโศกอ่อน(สีใบอ่อนของต้นโศก)กับนุ่งซิ่นไหมยกดอกจีบหน้านางสีลิ้นจี่ตัดกับผิวขาวที่ดูผุดผ่อง

“แม่ท่านช่างงามนัก แม้วัยจะผ่านเลยมาถึงกว่าห้าสิบขวบปีแล้ว ลูกมิแปลกใจเลยว่า ด้วยเหตุใดท่านเจ้าคุณพ่อจึงมิยอมมีอนุเหมือนเช่นชาวเปอร์เซียทั่วไป”

คุณหญิงช้อยยิ้มให้ลูกก่อนจะยกมือเรียวมาแตะที่แก้มของเขาซึ่งประดับด้วยเคราอ่อน ๆ อย่างเอ็นดูรัก

“ปากหวานนักเชียวนะเจ้าคุณพระนาย มีถ้อยคำแบบนี้ เป็นเพราะแอบต้องใจสาวงามเข้าแล้วกระมัง”

เขารวบมือแม่พร้อมกับยิ้มกว้างก่อนจะฝังริมฝีปากลงยังมือเรียวของแม่แล้วแนบแก้มลงไปหา

“ขอรับ รักแรกพบเลยนะขอรับแม่ท่าน”

คุณหญิงช้อยหัวเราะเบา ๆ

“รับชาไหมลูก วันนี้แม่ไปย่านชุมชนจีนมา ได้ชาหอมมา หอมมากจริงนะเจ้า กินกับขนมฝรั่งของชาวโปรตุเกส อร่อยจริงเชียว”

แม่ช้อยว่าพลางหันไปมองหน้าบ่าวที่รีบรุดไปยังเรือนครัว จัดชุดน้ำชาและขนมมาให้เขา ที่หยิบกินอย่างว่าง่าย แต่ว่าเมื่อขนมเข้าปาก เขากลับมองเห็นภาพใบหน้าของจอมนางโดดเด่นขึ้นในความทรงจำ วันนี้เขาก็พบนางที่ย่านชุมชนจีนเช่นกัน และพอกลับมาถึงบ้านก็ได้ดื่มชาที่หอมกรุ่น

“ดูท่าว่า ในถ้วยชาคงมีหน้าของหญิงงามอยู่กระมังเจ้า ถึงได้มองพลางยิ้มพลางเช่นนี้ ขอแม่ดูทีสิ”

คุณหญิงช้อยว่าพลางชะโงกหน้ามาที่ถ้วยชาในมือของลูกชายที่รีบยกขึ้นจิบด้วยสีหน้าที่แดงละเรื่อขึ้นมาอย่างน่ามอง ทำให้คุณหญิงช้อยตวัดสายตามองมาก่อนจะหัวเราะเบา ๆ พลอยทำให้บ่าวไพร่ที่นั่งอยู่ในที่นั้นต่างพากันปิดปากแล้วหัวเราะ

“คุณพระนายขอรับ”

เมื่อเขาวางถ้วยชาลง มากิดก็คลานเข้าไปหาแล้วนั่งลงใกล้ ๆ พลางมองหน้าเขา เหมือนจะส่งสัญญาณอะไรบางอย่าง

“แม่ท่านขอรับ กระผมอิ่มแล้ว เห็นทีจะต้องไปที่ค่ายมวยแล้วนะขอรับ”

คุณหญิงช้อยพยักหน้า

“อย่ากลับค่ำนักนะเจ้า กลับมาให้ทันเจ้าคุณพ่อ จะได้กินข้าวพร้อมหน้ากัน”

“ขอรับ”

จมื่นศรีสุรนาทรับคำแล้วเดินนำหน้ามากิดออกมา มุ่งหน้าไปยังค่ายมวยของเขา ซึ่งอยู่ห่างจากเรือนไปประมาณหนึ่งกิโลเมตร ในสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ยุคนี้บ้านเมืองสงบร่มเย็นและเจริญรุ่งเรืองพระองค์จึงทรงให้การสนับสนุนและส่งเสริมการกีฬาอย่างกว้างขวาง โดยเฉพาะอย่างยิ่งมวยไทยซึ่งนิยมกันจนกลายเป็นอาชีพ

และมีค่ายมวยต่าง ๆ เกิดขึ้นมากมาย มวยไทยสมัยนี้ชกกันบนลานดิน โดยใช้เชือกเส้นเดียวกั้นบริเวณเป็นสี่เหลี่ยมจตุรัส นักมวยจะใช้ด้ายดิบชุบแป้งหรือน้ำมันดินจนแข็งพันมือ เรียกว่า มวยคาดเชือก นิยมสวมมงคลไว้ที่ศีรษะ และผูกประเจียดไว้ที่ต้นแขนตลอดการแข่งขัน

การเปรียบคู่ชกยึดเอาความสมัครใจของทั้งสองฝ่าย ไม่คำนึงถึงขนาดรูปร่างหรืออายุโดยมีกติกาง่าย ๆ ว่าชกจนกว่าฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งจะยอมแพ้ ทั้งนี้ในงานเทศกาลต่าง ๆ จะต้องมีการแข่งขันมวยไทยด้วยเสมอ ถือได้ว่าการแข่งขันมวยไทยเป็นมหรสพที่สำคัญ มหรสพหนึ่งในงานเทศกาลเลยก็ว่าได้

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel