ตอนที่ 2 รักแรกพบ (ep.2)
เมื่อจมื่นศรีสุรนาทเตรียมเดินไปที่เรือเพื่อนั่งกลับบ้าน ขุนทองดีก็ไล่ตามติดก่อนจะก้าวไปขวางหน้าเขาเอาไว้
“จะรีบไปที่ใดเล่าท่านจมื่นศรีสุรนาท ผู้เก่งฉกาจ”
ขุนทองดีเอื้อนเอ่ยวาจาทักทายพร้อมกับยกปลายดาบที่ซ่อนอยู่ในฝักยันไหล่ข้างซ้ายของจมื่นศรีสุรนาทไว้ แต่จมื่นศรีสุรนาทก็ยกมือปัดออกไปพร้อมกับกระชับดาบในมือเมื่อมองสบตาของขุนทองดี
“เจ้ามีการอันใดกับข้ากระนั้นหรือ ขุนทองดี”
จมื่นศรีสุรนาทผู้ที่มียศสูงกว่าเอ่ยทักโดยไม่เกรงกลัว
“มึงคงจะหมายให้กูยกมือไหว้มึงกระมังอ้ายลูกแขกเซ็น”
ขุนทองดีสยายยิ้มอย่างหยามเหยียด
“ต่อให้มึงเรืองยศถึงขนาดได้เป็นพระยาพานทอง คนอย่างกูชาวสยามโดยแท้ หาได้ยอมสยบสิโรราบได้โดยมึงไม่”
จมื่นศรีสุรนาทขบกรามแน่น
“แล้วเจ้ามีกิจอันใดกับข้า หากมิมีแล้วไซร้ จงหลีกทางบัดเดี๋ยวนี้”
ขุนทองดีปลายตามาหาทนายแสนที่รีบก้าวไปยืนเคียงข้างขุนทองดีพร้อมกับวางมือกระชับดาบให้มั่น
“กูจะพูดและไม่ออมถ้อยคำ กูมีใจให้แม่หญิงจอมนางมาช้านาน กูจับจองนางไว้ในหัวใจมาหลายขวบปี นับเริ่มต้นแต่นางยังเยาว์ด้วยซ้ำ ข้าหาได้พึงใจที่เจ้าบังอาจแตะกายนางไม่”
จมื่นศรีสุรนาทคลี่ยิ้ม เมื่อรู้ว่าที่ขุนทองดีมาทำเช่นนี้ด้วยเหตุผลใด ทำให้เขานึกถึงใบหน้าของจอมนางขึ้นมา และเขาก็เดาได้ว่าต้องเป็นนางแน่ ๆ ผู้มีรูปลักษณ์ที่งดงามอย่างหาที่ติมิได้
“จอมนาง ..”
จมื่นศรีสุรนาททวนชื่อของนางเมื่อนึกถึงใบหน้างามงอนนั้น
“แล้วแม่หญิงสมัครใจด้วยเจ้าแล้วหรือไม่”
ถ้อยคำที่ยอกย้อนนั้นช่างยอกแสยงหัวใจของขุนทองดีอย่างมากล้น
“นางต้องปลงใจโดยข้าเท่านั้นเพราะข้าคือชายชาวสยาม หาใช่ลูกครึ่งอ้ายคนทรยศที่หักหลังแม้ศาสนาเพียงหวังเอาตัวรอดและมักใหญ่ใฝ่สูงอย่างพ่อเจ้าไม่”
“อ้ายทองดี มึงกล้าย่ำเหยียบศักดิ์ของพ่อกูเชียวหรือนี่ เพียงแค่มึงหมิ่นแคลนกู กูก็ยังอาจจะยั้งได้ แต่นี่คงไม่มีเหตุผลกลใดเล่าอ้างให้กูละเว้นมึงได้อีก”
จบคำพูดของจมื่นศรีสุรนาท เขาก็ชักดาบออกจากฝัก พร้อมกับขุนทองดีและทนายแสนที่ชักดาบออกพร้อมกันแล้วโจนทะยานเข้าใส่จมื่นศรีสุรนาทที่รวดเร็วและแข็งแกร่งนั้นทันที
แต่ว่าทั้งฝีมือและชั้นเชิงของขุนทองดีและทนายแสนยังห่างชั้นกับจมื่นศรีสุรนาทมาก เพียงไม่กี่ดาบที่ตวัดไปมา ขุนทองดีก็ได้เลือด แม้จมื่นศรีสุรนาทจะยั้งไว้แล้ว แต่ก็จำต้องปรามขุนทองดีไว้บ้าง
“ท่านขุน!”
เมื่อขุนทองดีเพรี้ยงพร้ำ ทำให้ทนายแสนรีบถลาเข้ามาประคอง โดยที่ปลายดาบในมือของจมื่นศรีสุรนาทชี้มาที่คอของขุนทองดี เพียงแค่เขาตวัดปลายดาบ ก็สามารถปลิดชีพของขุนทองดีได้อย่างง่ายดาย
“กูใคร่ครอบครองแม่หญิงจอมนาง กูจะไม่ถอยให้มึงแม้แต่ก้าวเดียว แต่หากเบื้องหน้า มึงกล้าหมิ่นเกียรติพ่อกู ชีวิตมึงกูจะยึดมาเสีย”
จมื่นศรีสุรนาทเก็บดาบเข้าฝัก ก่อนจะเดินตรงไปที่เรือเมื่อบ่าววิ่งขึ้นมาเมื่อได้ยินเสียงผู้คนอื้ออึงเพราะการประดาบของทั้งสามคนนั้น และเมื่อคล้อยหลังจมื่นศรีสุรนาทไป ขุนทองดีก็ให้แค้นเคืองอย่างมากล้น การที่จมื่นศรีสุรนาททิ้งรอยแผลไว้ให้ขุนทองดีในครั้งนี้ เสมือนตีงูสันหลังหัก ภัยทั้งหลายทั้งปวง กำลังคืบคลานเข้ามาหาเขาแล้ว
“อ้ายฮาริส กูก็ขอสาบานต่อแม่คงคาเบื้องหน้านี้ หากกูมิสามารถปลิดชีพมึงได้แล้วไซร้ กูใคร่ขอยอมตาย มึงกับกู จะอยู่ร่วมพื้นปฐพีเดียวกันหาได้ไม่ สายเลือดในกายของกูที่รินไหล จะเป็นไฟเผาไหม้มึงในภายหน้า สิ่งใดที่กูหมาย มึงหาได้มีทางแผ้วพานได้ไม่ ไม่ว่าสิ่งใดที่กูหมาย แล้วหากกูไม่ได้แล้วไซร้ มึงก็อย่าหมายว่าจะได้เช่นกัน”
ขุนทองดีหมายมาดในใจก่อนจะลุกขึ้นพร้อมกับสะบัดมือของทนายแสนที่เข้าประคองนั้นให้ถอยห่างแล้วกวาดสายตามองไปทั่วทุกตัวคนที่มองเห็นเหตุการณ์แล้วซุบซิบกัน จากนั้นก็เดินมุ่งหน้าไปยังม้าแล้วควบออกไปจากชุมชนแห่งนั้น
จอมนางตรงขึ้นจากท่าน้ำเข้าไปยังบ้านเรือนไทยโบราณขนาดใหญ่ หรือเรียกอีกอย่างว่าเรือนเครื่องสับ ซึ่งเป็นเรือนของผู้มีฐานะ เช่น ขุนนางหรือเจ้านาย ซึ่งเป็นเรือนที่สร้างอย่างประณีตด้วยไม้เนื้อแข็งหนาแน่นและทนทาน ไม้เหล่านี้ได้มาจากป่าในหัวเมืองเหนือที่ใช้วิธีล่องลงมาตามลำน้ำเจ้าพระยา
เมื่อเปิดประตูไม้บานใหญ่เข้าไปก็เป็นศาลาโถง คือที่ตกแต่งแบบไทยแท้ มีชานภายนอก ตัวเรือนไม้แดง พื้นไม้มะค่าโมง มีการแบ่งระดับที่นั่งตามยศ มีมุกหลายมุก มีโถงกลางบ้าน ประดับประดาด้วยตุ๊กตาไม้แบบโบราณในท่าทางอ่อนน้อมเคียงคู่แจกันกระเบื้องที่มาจากจีน เป็นทรงสูงลวดลายดอกบัวระเรื่อสดใส
รายล้อมด้วยเรือนที่เป็นห้องหลายห้อง บริเวณนี้คือที่พักสำหรับคนในบ้าน ส่วนอีกมุกหนึ่งถัดไปจากตัวบ้าน มีไว้สำหรับรับแขกและสำหรับการจัดพิธีต่าง ๆ
แล้วส่วนเรือนอีกหลัง ห่างจากเรือนที่พักมาเล็กน้อย เรือนหลังนั้นมีไว้สำหรับทาส หรือบ่าวไพร่ได้อยู่อาศัย ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากเรือนครัวมากนัก และทางด้านหลังของเรือนโบราณที่ทำจากไม้เนื้อแข็งอย่างดีหลังใหญ่นี้ เป็นสวนผลไม้ และนาข้าว ซึ่งเป็นศักดินา 10,000 ไร่ของพระยาพานทองเพชรรัตน์ พ่อของจอมนางนั่นเอง
“แม่ท่าน”
เมื่อจอมนางกลับมาถึงก็เดินตรงไปหามารดาคือคุณหญิงอร กับยายทิพย์ที่กำลังดูบ่าวจัดเตรียมเจียนหมากพลู และเครื่องคาวหวานสำหรับอาหารมื้อเย็น
“ยายท่าน ทำอะไรหรือเจ้าคะ”
ยายทิพย์หญิงชราวัยกว่าแปดสิบ เรือนผมยาวสีดอกเลารวบเกล้าเป็นมวยไว้ด้านหลังอย่างเรียบร้อย สวมผ้ารัดอกสีอ่อนกับโจงกระเบนสีเข้มตามแบบคนสูงวัย ท่านเงยหน้ามองหลานสาวที่งามสรรพก่อนจะบ้วนน้ำหมากแล้วหยิบผ้าประเจียดซับน้ำหมากที่ปาก แล้วพยักหน้าพลางคลี่ยิ้มเห็นไรฟันดำสนิท
“เตรียมอาหารค่ำ วันนี้กลับช้านะเจ้า”
ยายทิพย์เอ่ยทักหลานที่แย้มยิ้มเมื่อคลุกเข่านั่งพับเพียบอยู่แทบเท้าของผู้เป็นยาย ซึ่งนั่งอยู่บนตั่งไม้เตี้ย ๆ มีหมอนขวานหรือหมอนอิงไว้เอนหลัง
จอมนางเงยหน้ามองยายเมื่อได้ยินคำถาม ทำให้เธออดนึกถึงชายหนุ่มรูปงามมีเค้าแขกขาว น้ำเสียงไพเราะ แววตามีเสน่ห์และบ่งบอกถึงพลังอำนาจคนนั้นเสียไม่ได้ แม้จะเพียงไม่กี่อึดใจที่ได้พบเขา แต่ความรู้สึกกลับถวิลหาและจดจำได้อย่างแม่นยำ โดยเฉพาะสายตาคมกริบคู่นั้นที่มองมา มันเจือแววหวานและแฝงไว้ด้วยความอยากรู้อยากเห็น ผสมผสานกับความอาทรอยู่ในที
“หลานแวะที่ชุมชนชาวจีนมาเจ้าค่ะยายท่าน ได้ของมาหลายอย่าง มีสาคูเม็ดมาฝากแม่ท่านด้วยนะเจ้าคะ”
จอมนางหันไปหาคุณหญิงอร หญิงวัยกว่าห้าสิบผู้เป็นมารดา คาดผ้ารัดอกสีฟ้าพยับหมอกกับนุ่งซิ่นไหมเป็นผ้าพิมพ์ลายเนื้อดีสีแดงโกเมน
“ดีเลยนะเจ้า วันรุ่งเป็นวันอาสาฬหบูชา แม่กำลังให้บ่าวไพร่ จัดเตรียมเครื่องคาวหวานสำหรับไปวัด แม่จะทำสาคูเปียกไปด้วย ดูทีว่าท่านสมภารจะโปรดนัก”
“เจ้าค่ะ”
จอมนางยิ้มหวาน
“เจ้ามาเหนื่อย ๆ ไปอาบน้ำเสียเถิดนะเจ้า แล้วมาช่วยแม่เจียนหมากเจียนพลู เตรียมไว้รอท่านเจ้าคุณพ่อ”
“เจ้าค่ะ”
จอมนางขานรับแล้วค่อย ๆ คลานถอยหลังออกมาก่อนจะลุกขึ้นเดินค้อมหลังตรงไปยังห้องพัก