ตอนที่ 4 รักแรกภพ (ep.4)
“ได้ความว่าอย่างไรบอกข้าอย่าช้าที”
เมื่อมาถึงค่ายมวย จมื่นศรีสุรนาทก็นั่งลงยังที่นั่งประจำ เบื้องหน้ามีชายไทยอายุตั้งแต่สิบห้าไปจนถึงสี่สิบที่มาขอรับการฝึกมวยไทยจากเขา
“แม่หญิงชื่อจอมนาง เป็นบุตรีของ พระยาพานทองเพชรรัตน์ ก่อนนี้ท่านเจ้าพระยาพานทองเพชรรัตน์ เคยออกรบแล้วได้กินตำแหน่งเป็นแม่ทัพ และท่านเจ้าพระยายังสนิทสนมคุ้นเคยกับ ท่านพระยาภักดีพิชัย อีกด้วยนะขอรับ”
จมื่นศรีสุรนาทรู้สึกใจชื้นขึ้นมากับคำบอกเล่าของมากิดที่ว่า พ่อของนางและพ่อของตนเองคุ้นเคยกันดี เขาพยักหน้าช้า ๆ
“ข้าพอรู้มาบ้างว่า ท่านเจ้าคุณพ่อมีเกลอที่สนิทและรักใคร่กันมาก จนกระทั่งได้สาบานเป็นเพื่อนรักกันที่จะไม่ทุรยศต่อกัน เมื่อครั้งไปศึกที่เมืองพม่า เนื่องมาจากพวกมอญอพยพเข้ามาพึ่งพระบรมโพธิสมภารขององค์พ่อหลวง พระองค์ทรงโปรดให้ครอบครัวมอญตั้งบ้านเรือนที่สามโคก ใกล้วัดตองปูบัง”
มากิดนั่งลงใกล้ ๆ แล้วตั้งใจฟัง
“ต่อมาพระเจ้าอังวะได้ยกทัพติดตามครัวมอญเข้ามาทางด่านเจดีย์สามองค์ พ่ออยู่หัวได้ให้พระยาศรีหาราชเดโชกับพระยาโกษาเหล็กยกไปตีทัพเมืองอังวะ ได้กวาดต้อนเชลยกลับเข้ามากรุงศรีครานั้นท่ านเจ้าคุณพ่อของข้ากับเกลอสนิทได้ร่วมไปทัพด้วย”
“นั่นก็คือ บิดาของแม่หญิงจอมนางหรือขอรับ”
จมื่นศรีสุรนาทพยักหน้า
“น่าจะใช่ จะเป็นผู้ใดไปมิได้ หากมิใช่ท่านเจ้าพระยาพานทองเพชรรัตน์ผู้ที่ได้เป็นแม่ทัพไปในการศึกเมื่อพระเจ้าแผ่นดินเมืองอังวะถูกลอบปลงพระชนม์ พ่ออยู่หัวสมเด็จพระนารายณ์ทรงเห็นว่า เป็นโอกาสดีจึงจัดทัพไทยและทัพมอญยกไปทางเมืองยาปูน ด่านแม่ละเมาะทางด่านเจดีย์สามองค์และทางเมืองทะวาย กองทัพกรุงศรีอยุธยายกไปรวมพลที่เมืองเมาะตะมะ”
เขาหันไปมองหน้าครูฝึกมวยที่เข้ามาหาแล้วขออนุญาตให้บรรดาผู้มาเรียนในค่ายได้เริ่มการฝึกซ้อม
“จากนั้นก็บุกโจมตีเมืองหงสาวดีและเมืองแปร ฝ่ายพม่ายกทัพหนีจากเมืองอังวะลงมาตั้งรับที่เมืองพุกาม ทัพไทยได้ล้อมเมืองพุกามไว้จนกระทั่งถึงหนึ่งขวบปี จึงได้ยกทัพกลับกรุงศรีอยุธยา ตั้งแต่บัดนั้นท่านเจ้าคุณพ่อของข้ากับเกลอสนิทก็คบหากันเรื่อยมา”
เขาหันมาหามากิด
“ข้าเพียงแว่วมาบ้างว่า ท่านเจ้าพระยาพานทองเพชรรัตน์มีบุตรหนึ่ง และบุตรีอีกหนึ่ง แต่ว่าข้ามิเคยได้ปะหน้าทั้งสองคนนั้นเลย และมิได้ใส่ใจว่าชื่อเรียงเสียงใด”
มากิดยิ้มกว้าง
“คุณพระนายจะรู้ได้เช่นไรกันเล่าขอรับ ก็ไม่ได้อยู่ในที่เดียวกันนี่ขอรับ แม่หญิงจอมนาง เข้าไปอยู่ในวังเพื่อเรียนรู้การทำเครื่องเสวย”
จมื่นศรีสุรนาทมองหน้ามากิด
“มิหน้าแม่ช่างดูงามสรรพ และหวานละมุนยิ่งนัก”
จมื่นศรีสุรนาทเผลอเปรยออกมาเบา ๆ
“นอกจากนี้ครอบครัวของแม่หญิงยังร่ำรวยมาแต่กาลก่อนด้วยการเป็นช่างฝีมือทำทองนะขอรับ กระผมได้ยินมาว่า แม่หญิงช่ำชองการทำทองด้วย”
จมื่นศรีสุรนาทเลิกคิ้วสูง
“จริงกระนั้นหรือ แสดงว่า แม่หญิงของข้านี้เชี่ยวชาญรอบด้าน ทั้งงานบ้านงานเรือนที่ได้ร่ำเรียนวิชาเชี่ยวชาญเรื่องการทำทองอีกด้วย”
“ขอรับ และโดยเฉพาะกิจการของครอบครัวฝ่ายแม่ของแม่หญิง ชำนาญในเรื่องการทอผ้า มีร้านค้าผ้าอยู่ และนำผ้าคือ ผ้าเยียรบับ อัตลัด ผ้าเข้มขาบ และผ้าตาด ใช้ตัดเย็บฉลองพระองค์ เป็นผ้านุ่งใช้ผ้าที่ทอด้วยทองแล่งหรือเงินแล่ง และยังตัดเย็บให้ขุนนาง ขึ้นตรงกับกรมช่างสนะ ด้วยนะขอรับ”
จมื่นศรีสุรนาทลอบระบายลมหายใจออกมาเบา ๆ
“แม่หญิงมีพี่ชายร่วมอุทรเดียวกันคือนายช่างทองเปรม เป็นช่างทองพระคลังมหาสมบัติ นาพลเรือนขอรับ นายช่างเปรมไม่ยอมรับราชการ แม้จะทำงานอยู่ในกรมก็ตาม”
จมื่นศรีสุรนาทหันมามองหน้ามากิด
“ก็คงจะมีการป้องกันอะไรหลาย ๆ อย่าง หากว่าเป็นข้าราชการรับตำแหน่งใด ๆ ถ้าประหมาดพลาดพลั้งทำผิดก็อาจจะถึงขั้นฟันคอริบเรือน คนในครอบครัวก็คงลำบาก หากว่าเป็นเพียงพลเรือนก็ไม่ต้องโทษถึงขนาดนั้น คนในครอบครัวก็ยังอยู่ได้”
จมื่นศรีสุรนาทเอ่ยออกมาก่อนจะคลี่ยิ้ม
“ตระกูลของแม่หญิงนี่ไม่ธรรมดา มิหนำซ้ำคุณสมบัติของแม่หญิงเองก็ช่างน่าหวงแหนเสียยิ่ง”
เขาเปรยออกมาเบา ๆ
“ที่สำคัญคือ แม่หญิงยังหาได้ปลงใจกับชายใดไม่ แม้จะมีชายหลายคนที่ต่างหมายมั่นแม่หญิงไว้แล้วพยายามจะเข้าหาทั้งทางมารดาของแม่หญิงและเข้าทางท่านเจ้าพระยาพานทองเพชรรัตน์ด้วย”
จมื่นศรีสุรนาทวางมือลงที่ไหล่ของมากิดแล้วตบหนัก ๆ
“ขอบน้ำใจเจ้านักมากิด”
“คุณพระนายจะทำเช่นไรต่อหรือขอรับ”
“ดักลอบต้องหมั่นกู้ จีบสาวต้องหมั่นเกี้ยว ข้ามั่นใจว่า ทั้งบิดาและมารดาของแม่หญิงต้องมิอาจหักหาญน้ำใจของแม่หญิงได้เป็นแน่แท้ เนื่องด้วยคุณสมบัติที่มากมายของแม่หญิง แม่หญิงจะต้องตั้งตนเป็นใหญ่ในเรื่องการครองเรือน ที่ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อข้าได้พบแม่หญิง สายตาของแม่หญิงบ่งบอกแจ้งชัดว่าเป็นคนที่ทันสมัย”
จมื่นศรีสุรนาทเอ่ยออกมา
“ใช่ขอรับ แม่หญิงใฝ่เรียนมาก แว่วมาว่า แม่หญิงสามารถอ่านเขียนได้หลายภาษาเลยนะขอรับ”
“ไม้งามย่อมต้องคู่ควรกับเรือนที่เหมาะสม แม้มีเรือนที่เหมาะสมในการปลูกไม้งาม หากอากาศมิเป็นใจก็ยากที่จะรักษาไม้งามให้อยู่ยงได้”
จมื่นศรีสุรนาทยิ้มในทีเมื่อคิดในใจเช่นนั้น แต่ไม่ได้พูดอะไรออกมาอีก เขาดูการฝึกซ้อมของบรรดาชายฉกรรจ์ แล้วมีบางครั้งที่ลุกจากที่ไปสอนด้วยตนเอง