บทที่ 7 ยัยตัวดี
อรอินทุ์ยิ้มนิดๆ ยกมือไหว้ลาพรพจน์ กัลยาและฉลองก่อนจะเดินตามธาตรีออกไป และอดที่จะมองไปตามทางเดินที่เป็นเรือนหลังเล็กไม่ได้ ธาตรีมองตามแล้วหัวเราะเบา ๆ
“อินทุ์สงสัยใช่มั้ยว่าเรือนหลังเล็กเป็นอะไร นั่นแหละห้องนอนห้องทำงานส่วนตัวของพี่ไชยเขาล่ะ ไปดูมั้ยพี่พาไป พี่ไชยยังไม่นอนไฟยังเปิดอยู่”
“ไม่เอาหรอกค่ะ เดี๋ยวได้โดนตะเพิดกลับออกมาไม่ทัน ดุยังกับยักษ์”
หล่อนทำท่ากลัวแบบขนลุกขนพอง ธาตรีเลยหัวเราะก๊ากใหญ่
“พี่ไชยไม่ใช่คนอย่างนั้นหรอก ถ้าอินทุ์ได้อยู่ใกล้หรือรู้จักพี่ไชยนานกว่านี้อินทุ์จะรู้ว่าพี่ไชยเป็นคนยังไง”
“เหมือนในทีวีงั้นเหรอคะ”
“อินทุ์ดูรายการที่พี่ไชยไปออกมาด้วยเหรอ”
“เผอิญเปิดไปเจอค่ะก็เลยนั่งดู เห็นว่ามีรีสอร์ทที่เป็นธรรมชาติที่สุดก็เลยอยากมาเที่ยว”
“พี่ไชยเป็นคนจริงจังเหมือนที่ออกรายการนั่นแหละ”
“ไม่จริงหรอกค่ะ อินทุ์ขอเถียง”
ธาตรีมองหน้าหญิงสาวแล้วยิ้มบางสงสัยว่าไชยวัฒน์จะพบผู้หญิงที่เหมาะสมเข้าแล้วมั้ง ตั้งแต่เขาเข้ามาทำงานในฟาร์มไชยอาชาไม่เคยเห็นผู้หญิงคนไหนตั้งข้อรังเกียจไชยวัฒน์และต่อปากต่อคำอย่างนี้มาก่อนมีแต่เข้ามารับอาสาช่วยและเอาใจสารพัดพอไชยวัฒน์ไม่สนใจกกระฟัดกระเฟียดออกไปและไม่ยอมเดินเฉียดเข้ามาใกล้อีกเลย
เสียงรถสตาร์ทดังขึ้น ไชยวัฒน์ก้าวมายืนกอดอกมองที่หน้าต่าง เขาเห็นหญิงสาวที่เขาว่าหล่อนเจ็บ ๆ และหล่อนด่าตอบเขาเจ็บพอกันด้วยรอยยิ้มรื่นรมย์ เขาอยากไปส่งหล่อนด้วยตัวเองแต่เขามีแผนในวันรุ่งขึ้น เขาจะไม่ยอมให้หล่อนไปจากที่นี่ เขาอยากเห็นหล่อนเดินเล่นในบ้านหลังนั้น อยากเห็นหล่อนนอนบนเตียงที่เขาเคยไปนอนบ่อย ๆ อยากมีหล่อนอยู่ข้าง ๆ
“เพ้อเจ้อแล้วเรา”
เขาพูดกับตัวเองแล้วถอนหายใจยาวพลันคิดไปถึงรังสิมานึกเปรียบเทียบหญิงสาวสองคนนี้ รังสิมาพบเขาครั้งแรกหล่อนก็พูดจาอ่อนหวานจนเขาหลงและต่อมาหล่อนก็เริ่มทำตัวจุ้นจ้านน่าเบื่อและแสดงกิริยารังเกียจญาติพี่น้องของเขาอย่างเห็นได้ชัด ไม่มีใครฟ้องเขาแต่เขาแอบเห็นและได้ยินหล่อนว่าให้พรพจน์กับกัลยาซึ่งเขายอมให้หล่อนดูถูกญาติพี่น้องของเขาไม่ได้
ส่วนอรอินทุ์หล่อนเห็นหน้าเขาก็ชี้หน้าด่าทันที และพอนึกออกว่าเขาเป็นใครหล่อนก็ฉอด ๆ ใส่ ๆ จนเขาโมโหแต่เป็นความโมโหที่อยากเข้าใกล้ เมื่อเขาพาหล่อนมาทานอาหารที่บ้านหล่อนให้ความเคารพญาติผู้ใหญ่ของเขาและเป็นกันเองกับลูกน้องของเขาทุกคน
ถ้าถามเขาตอนนี้ว่าจะเลือกใครระหว่างรังสิมากับอรอินทุ์เขาตอบโดยไม่ต้องคิดเลยว่าเขาเลือกคนหลัง เพราะหล่อนเป็นผู้หญิงที่มองคนด้วยจิตใจไม่ใช่วัตถุภายนอก
ถึงแม้ว่าจะอยู่ห่างกันมากระหว่างบ้านหลังใหญ่และบ้านหลังเล็กแต่อรอินทุ์ก็ยืนส่งสายตามายังเรือนหลังเล็กที่ติดกับเรือนหลังใหญ่ ไฟในห้องของไชยวัฒน์ยังไม่ปิดแสดงว่าเขายังไม่นอน
“อีตาบ๊องเอ๊ย ทำหยิ่งวางตัวเป็นเจ้าของฟาร์มใหญ่ นึกว่าฉันจะแคร์คุณหรือไงเชอะ พรุ่งนี้ฉันจะไปจากรีสอร์ทคุณ ฉันไม่อยากอยู่ใกล้คนปากหมา”
ทางไชยวัฒน์ถึงกับสำลักน้ำลายโดยไม่รู้สาเหตุ เขาลุกจากเก้าอี้หลังโต๊ะทำงานเดินไปที่ตู้เย็นรินน้ำมาดื่มแล้วกลับไปนั่งที่เดิมแต่เพียงครู่เดียวก็ลุกขึ้นเดินไปแหวกม่านหน้าต่างมองไกลออกไปยังบ้านหลังเล็ก
“ปิดไฟมืดหมดสงสัยหลับแล้ว ยัยตัวดี”
เขายิ้มระบายเต็มดวงหน้าคิดว่าหญิงสาวที่เขาหลงชอบหล่อนตั้งแต่เห็นครั้งแรกหลับอุตุไปแล้วแต่ที่ไหนได้หล่อนยังคงยืนมองห้องเขาอยู่และกลับไปล้มตัวลงนอนคิดถึงแต่เขาจนกระทั่งหลับไป
เสียงนกร้องปลุกแต่เช้ามืด อรอินทุ์ลุกขึ้นมาตามเสียงจิ๊บจ๊าบที่อยู่ใกล้หน้าต่าง และเสียงกาเหว่า เสียงนกกาที่ร้องกันระงมมาแต่ไกล หล่อนก้าวลงจากที่นอนอันอบอุ่นอย่างเกียจคร้านไม่อยากลุก
แต่พอนึกถึงบรรยากาศสดชื่นและดวงตะวันดวงกลมโตที่ลอยขึ้นเหนือทิวเขาเท่านั้นร่างบางก็โดดขึ้นออกกำลังในท่ากระโดดตบมือยี่สิบครั้งอาการง่วงงุนหายไปเป็นปลิดทิ้ง จากนั้นวิ่งเข้าห้องน้ำอาบน้ำอย่างรวดเร็ว น้ำเย็นเฉียบทำให้ร่างงามถึงกับสั่น หล่อนไม่ยอมใช้เครื่องทำน้ำอุ่นเพราะต้องการความสดชื่นแต่มันหนาวเกินไป หล่อนรีบวิ่งออกมาหาเสื้อผ้าสวมทันที
“หนาวชะมัดญาติเลยแฮะ”
แต่เพียงครู่เดียวก็รู้สึกอบอุ่นสดชื่นแจ่มใส หล่อนเปิดประตูก้าวออกมานอกบ้านคิดจะเดินไปหากาแฟดื่มที่ร้านค้าของรีสอร์ทแต่นึกถึงระยะทางและความมืดที่ยังปกคลุมอยู่จึงได้แต่ยืนกอดอกสูดอากาศสดเข้าปอด สายตากวาดไปรอบ ๆ บ้านและทอดยาวไกลไปถึงเรือนใหญ่และหยุดที่เรือนหลังเล็ก