บทที่ 2 (2)
คุณธัญจิราถึงกับยกมือขึ้นเช็ดน้ำตาด้วยความสงสารลูกสาว นางอยากมีอำนาจวิเศษเข้าไปช่วยอัลรีน่าในขณะนี้เหลือเกิน
การใช้ชีวิตคู่ร่วมกับสามีผู้ที่รักมั่นต่อหน้าที่การงานอันทรงเกียรติเป็นองครักษ์เอกของเจ้าแผ่นดิน ซึ่งเป็นหน้าที่สืบทอดกันมาของบุรุษชาติในตระกูลฟาติยาซ์ ทำให้นางรู้ว่าสามีนั้นยึดมั่นต่อคำพูดที่ลั่นวาจาออกไปยิ่งนัก หากอัลรีน่าไม่ยอมแต่งงาน นางเชื่อว่าอัลรีน่าต้องถูกทำเช่นดังคำประกาศแน่นอน
“อัลรีน่า แม่อยากช่วยหนูเหลือเกิน แต่หนูรู้ใช่ไหมว่าแม่ก็ไม่สามารถขัดคำสั่งของพ่อได้”
คุณธัญจิราโอบกอดลูกสาว พร้อมกับกระซิบปลอบแผ่วเบาเป็นภาษาไทย ด้วยเกรงว่าสามีซึ่งฟังภาษาไทยออก เพราะนางได้สอนตลอดเวลาที่ใช้ชีวิตคู่อยู่ร่วมกันจะได้ยินเข้า
“รีน่ารู้ค่ะคุณแม่”
อัลรีน่ายิ้มเศร้าๆ ขณะกระซิบตอบมารดา รู้ว่าสิ่งที่มารดาเอ่ยนั้นออกมาจากใจจริง สำหรับเรื่องภายในบ้านคุณพ่อให้เกียรติคุณแม่เสมอ
หากเป็นเรื่องนอกบ้านคุณพ่อจะเป็นผู้นำเป็นผู้ตัดสินใจเองทั้งหมดซึ่งเรื่องการเข้าพิธีอภิเษกหรือการถอนหมั้นเป็นเรื่องที่ใหญ่โตเกินกว่ามารดาจะคัดค้านได้ หญิงสาวดันกายออกจากอ้อมกอดอบอุ่นของมารดา ก่อนจะเอ่ยถามบิดาด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ
“คุณพ่อคะ คุณพ่อจะจับรีน่าส่งให้เจ้าชายอีสดรีสส์ โดยไม่นึกความรู้สึกของหนูเลยหรือคะ”
พลเอกรอซีกัดฟันแน่น เอ่ยตอบเสียงหนักแน่นโดยไม่ลังเล “ใช่! หากรีน่าไม่ยอมพ่อก็จำเป็นต้องทำอย่างที่พูด”
อัลรีน่ายิ้มขื่นขณะพยักหน้ารับ คำตอบของบิดาเป็นเส้นฟางเส้นสุดท้ายที่ช่วยให้เธอตัดสินใจได้ง่ายขึ้น หลังจากที่มีลังเลบ้างตอนที่ได้อ่านราชสาส์นจากเจ้าชายอีสดรีสส์
“คุณพ่อคุณแม่คะ รีน่าไม่อยากได้ชื่อว่าเป็นลูกที่อกตัญญูต่อบุพการี แต่รีน่าก็ไม่อยากแต่งงานกับคนที่รีน่าไม่ได้รัก รีน่าอยากมีประสบการณ์ความรักเหมือนคุณพ่อแม่ อยู่ด้วยกันเพราะความภักดีแต่งงานกันด้วยความรัก”
“รีน่าเดี๋ยวก่อนลูกอย่าเพิ่งไป”
ผู้ที่เป็นแม่ถลาเข้าไปหวังจะฉุดรั้งลูกสาวไว้ แต่นางก็ยังช้าเกินไปเพราะเมื่อเอ่ยตัดพ้อด้วยน้ำเสียงเศร้าๆ เสร็จแล้วอัลรีน่าก็รีบวิ่งออกจากห้องรับแขกทันที เกินกว่าที่ใครจะรั้งไว้ได้ทัน
“คุณพี่คะ คุณพี่ไม่สงสารลูกบ้างหรือคะ” คุณธัญจิราหันมาต่อว่าสามีเสียงสั่นเครือ
พลเอกรอซีขบฟันแน่นเปล่งเสียงตอบภรรยาด้วยน้ำเสียงเศร้าๆ อย่างสำนึกผิดที่ตนเองเป็นตัวต้นเหตุให้บุตรสาวต้องเสียน้ำตา
“สงสารสิจิรา ผมก็อยากให้ลูกแต่งงานกับใครสักคน โดยมีความรักความเข้าใจเป็นพื้นฐาน มีความซื่อสัตย์ภักดีเป็นตัวค้ำจุนให้ชีวิตคู่ของลูกสาวเราพบแต่ความสุข และเพราะสงสารลูกผมถึงได้พูดออกไปเช่นนั้น”
อากาศในดินแดนแห่งทะเลทรายก่อนอรุณรุ่งไม่กี่ชั่วโมงช่างหนาวเหน็บเข้าถึงกระดูก ไม่เป็นใจสำหรับใครบางคน ที่กำลังคิดการใหญ่ตัดสินอนาคตตัวเอง ด้วยการหนีออกจากบ้านไม่ต่างจากเด็กมีปัญหา
อัลรีน่ากระชับกระเป๋าสะพายใบขนาดย่อมไว้บนบ่า เท้าเล็กในรองเท้าหุ้มส้นทะมัดทะแมงก้าวช้าๆ ไปที่ภาพถ่ายของบุพการีทั้งสองซึ่งตั้งอยู่บนหัวเตียงนอน หญิงสาวคว้าภาพถ่ายมาถือไว้ในมือ ก่อนจะกระซิบเอ่ยขอโทษเสียงแผ่วเบา
“คุณพ่อคุณแม่คะ รีน่าขอโทษที่ทำตัวเป็นลูกอกตัญญูไม่ตอบแทนพระคุณพ่อแม่ แต่รีน่าทำใจยอมรับเข้าพิธีแต่งงานกับเจ้าชายอีสดรีสส์ไม่ได้”
อัลรีน่าเก็บภาพถ่ายของบุพการีไว้ในกระเป๋าสะพาย จากนั้นก็ก้าวเท้าแผ่วเบาไม่ให้เกิดเสียงรบกวนคนอื่นที่ยังคงหลับใหลในยามราตรีกาลเช่นนี้
บานประตูห้องเปิดออกกว้างพร้อมกับคลื่นลมที่หอบเอากลิ่นหอมเย็นของดอกราชาวดี ดอกไม้ที่มีชื่อไพเราะซึ่งมารดาเธออุตส่าห์หอบหิ้วเมล็ดพันธุ์มาจากเมืองไทย เพื่อเพาะปลูกในดินแดนทะเลทรายซึ่งได้ส่งกลิ่นหอมฟุ้งไปทั่วบริเวณ หญิงสาวก้าวเท้าช้าๆ ทว่ามั่นคงหนักแน่นออกจากห้อง แต่ไม่ทันได้เดินตรงไปยังบันไดบ้าน ก็มีอันต้องสะดุ้งเฮือกแทบปล่อยกระเป๋าหลุดมือ เมื่อได้เสียงมารดาทักเบาๆ ทำลายความเงียงสงัดในยามราตรีกาล
“รีน่าจะไปวันนี้ใช่ไหมลูก”
คุณธัญจิรากระซิบถามเบาๆ ขณะก้าวออกมาจากความมืด นางอ่านใจบุตรสาวออกตั้งแต่ได้เห็นลูกอ่านราชสาส์นจากเจ้าชายอีสดรีสส์จบแล้ว คิดว่าอัลรีน่าต้องทำเช่นนี้แน่นอน
อัลรีน่ามองมารดาด้วยสายตาอ้อนวอนกระซิบขอร้องเสียงสั่นเครือ “คุณแม่คะ อย่าห้ามรีน่าเลยนะคะ”
ผู้ที่เป็นแม่ไม่ตอบ แต่เอื้อมมืออบอุ่นไปจับต้นแขนขาวผ่องบุตรสาว แล้วดึงให้เข้าไปพูดกันในห้องนอนด้วยเกรงว่าสามีจะตื่นขึ้นมาเห็น และคัดค้านความตั้งใจของลูกสาว นางเปิดดวงไฟให้ความสว่างไสวไล่ความมืดมิดออกไปจากห้องนอนของบุตรสาว ก่อนจะเอ่ยตอบให้อัลรีน่าใจชื้นขึ้นมาได้บ้าง
“แม่ไม่ห้ามรีน่าหรอกจ้ะ แต่จะให้ความช่วยเหลือหนูด้วย”
“จริงหรือคะ แล้วคุณแม่รู้ได้ไงว่ารีน่าจะหนีออกจากบ้าน”
แม้จะดีใจมากเพียงใดสำหรับคำพูดของมารดาที่สนับสนุนการกระทำของตัวเอง แต่หญิงสาวก็บังคับน้ำเสียงไม่ให้เปล่งออกมาดังมากเกินไป
คุณธัญจิราถอนหายใจหนักหน่วงทรุดตัวลงนั่งบนโซฟา ก่อนจะกวักมือให้ลูกสาวได้นั่งลงด้วย มือที่เคยประคับประคองอุ้มชูลูกสาวมาตั้งแต่แบเบาะ จนกระทั่งเติบโตเป็นหญิงสาวที่งดงามน่าทะนุถนอม ได้โอบกอดไปรอบบ่าเล็กดึงร่างบางระหงมากอดไว้แน่น
“แม่อ่านใจรีน่าออกตั้งแต่เห็นสีหน้าหนูหลังจากอ่านราชสาส์นจบแล้ว”
อัลรีน่าดึงกายให้หลุดพ้นจากอ้อมแขนมารดานิดหนึ่งแล้วจับมืออบอุ่นมากุมไว้ ดวงตาคู่สวยสีอ่อนใสจ้องมองแกมขอร้องมารดา ก่อนที่เจ้าตัวจะได้เอ่ยพูดออกมา
“รีน่าไม่อยากแต่งงานเพราะหน้าที่ เพราะคำว่ากตัญญู รีน่าอยากใช้ชีวิตที่เหลือทั้งหมดกับบุรุษเดียวที่รีน่ารัก และได้ตัดสินใจเลือกด้วยหัวใจ”
“แม่รู้จ้ะลูกรัก เพราะถ้าหากเป็นตัวแม่ที่ตกอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้ แม่ก็คงทำใจยอมรับไม่ได้ และคงตัดสินใจไม่ต่างจากรีน่าตอนนี้หรอก”
ผู้เป็นมารดายิ้มอบอุ่นให้ลูกสาว มีแม่คนไหนบ้างที่อยากเห็นลูกออกเรือนแต่งงานกับคนที่ตัวเองไม่ได้รัก แม้จะแต่งงานกับสามีเดินทางจากบ้านเกิดเมืองนอนแผ่นดินสยาม มาพำนักพักพิงอยู่ยังดินแดนทะเลทรายช้านานเกือบทั้งชีวิต แต่นางก็ยังเป็นคนไทยแท้ถือคติที่ว่า ‘ปลูกเรือนตามใจผู้อยู่ ผูกอู่ตามใจผู้นอน’ เพราะฉะนั้นนางจะไม่บังคับใจลูกเป็นอันขาด
“รีน่าดีใจที่คุณแม่เข้าใจรีน่า แม้จะรู้ว่าเจ้าชายอีสดรีสส์เป็นสุภาพบุรุษ เป็นเจ้าชายที่ดี แต่รีน่าก็ไม่อาจทำใจรักเจ้าชายได้ หนูอยากพบรักแท้ที่งดงามเหมือนคุณแม่”
“แล้วรีน่าจะไปที่ไหนลูก” คุณธัญจิราอมยิ้มให้กำลังใจขณะที่เอ่ยถามเสียงอบอุ่น
“ยังไม่รู้เลยค่ะรีน่าคิดยังไม่ออกอาจจะไปอเมริกา อังกฤษหรือที่ไหนก็ได้สักแห่ง รีน่าขอแค่ออกจากบ้านได้ก่อน เพราะถ้าหากรีน่าไม่ไปวันนี้ รีน่าก็จะไม่มีโอกาสออกจากกรงทองได้อีกเลย”
ใบหน้างามที่อมทุกข์ นัยน์ตาสีอ่อนใสที่เคยเต้นระริกสุกสกาวแปรเปลี่ยนเป็นหม่นหมองไม่สดใสดังเดิม กอปรกับน้ำเสียงที่เอ่ยเศร้าๆ เป็นตัวผลักดันให้คุณธัญจิรากล้าขัดคำสั่งขัดใจสามีเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ครองคู่อยู่ด้วยกัน
“ถ้าอย่างงั้นไปเมืองไทยไหมลูก หนูไม่ได้ไปเมืองไทยนานแล้วไม่ใช่หรือ”
อัลรีน่าแย้มยิ้มกว้างออกมาทันที เมื่อมารดาจุดประกายเพิ่งดวงไฟทำลายเส้นทางที่กำลังริบหรี่ให้กับเธอ
“จริงด้วยสิ ทำไมรีน่าคิดไม่ถึงนะ ไปเมืองไทยสยามเมืองยิ้ม รีน่าอยากไปเที่ยวไปเยี่ยมคุณยายตั้งนานแล้ว แต่คุณพ่อไม่ว่างจากราชการสักที”
คุณธัญจิราแย้มยิ้มออกมาได้ เมื่อนึกถึงบ้านเกิดเมืองนอนอันเป็นที่รัก ซึ่งนางไม่เคยลืมไม่เคยละทิ้งเลยชั่วชีวิต หากมีโอกาสประจวบเหมาะนางมักจะขอร้องให้สามีพากลับไปเยี่ยมแผ่นดินเกิดทุกครั้ง
“รีน่าจำได้ว่าครั้งสุดท้ายที่รีน่าไปเยี่ยมคุณยายก็ตอนที่รีน่าอายุราวๆ เก้าขวบ”
“ใครว่าจ๊ะ สิบขวบกว่าต่างหากลูก” คุณธัญจิราค้านยิ้มๆ
อัลรีน่ายิ้มเก้อเขินก่อนจะแก้ต่าง “ก็รีน่าจำไม่ค่อยแม่นนี่คะ ไปซ่อนตัวอยู่กับคุณยายดีที่สุด แถมยังมีผลไม้ให้กินเยอะแยะไม่มีหมดด้วย”
ดวงตาสีอ่อนใสเปล่งประกายเต้นระริกด้วยความตื่นเต้น เมื่อนึกถึงบ้านสวนที่ยังคงอนุรักษ์วิถีชาวบ้านคงความเป็นไทยไว้ โดยไม่ยอมให้ความศิวิไลซ์ของโลกในยุคโลกาภิวัตน์ได้เข้ามาย่างกราย บ้านที่เต็มไปด้วยต้นไม้สีเขียวขจีเก็บกินได้ทั้งไม้ผลไม้ดอกเป็นสิ่งที่เธอชื่นชอบมากเป็นพิเศษ
“รีน่าจำที่อยู่คุณยายได้ไหมลูก”
“เอ๋...รีน่าจำได้คร่าวๆ ว่าอยู่ที่จังหวัดสะ...สมุทรสาครใช่ไหมคะคุณแม่”
สมัยเด็กๆ ก่อนที่จะเข้าเรียนมัธยมมารดาเธอมักจะพาไปเยี่ยมคุณยายที่เมืองไทยบ่อยครั้งแต่พอเธอเข้าเรียนแล้ว และช่วงที่เข้ามหาวิทยาลัยก็ไม่มีโอกาสได้ไปเยี่ยมคุณยายอีกเลย
“สมุทรสงคราม เมืองแม่กลองต่างหากจ้ะ”
คุณธัญจิราแก้ไขให้ถูกต้อง แม้จะมีอาณาเขตจังหวัดที่ติดกันชื่อคล้ายๆ กัน แต่ถ้าหากไม่ชัดเจนเรื่องที่อยู่ก็อาจจะทำให้หาบ้านสวนของคุณยายไม่เจอได้ นางลุกขึ้นไปหยิบกระดาษปากกามาจากโต๊ะทำงานของลูกสาว จากนั้นก็เขียนที่อยู่พร้อมกับเบอร์โทรศัพท์ของมารดานางคือคุณยายทองสุขให้กับบุตรสาว
“แม่จะโทรไปบอกคุณยายไว้ก่อนว่าหนูจะไปหา ให้คุณยายส่งคนที่ไว้ใจได้มารับหนูที่สนามบิน”
“ไม่ต้องหรอกค่ะคุณแม่ ลำบากคุณยายเปล่าๆ ดีไม่ดีคุณยายจะมารับรีน่าเอง จะพลอยทำให้คุณยายไม่สบายได้ หากต้องนั่งรถไกลๆ เดี๋ยวรีน่าไปหาคุณยายที่บ้านสวนจะสะดวกกว่า”
อัลรีน่ารับกระดาษแผ่นเล็กมากวาดสายตาอ่านที่อยู่เบอร์โทรศัพท์ของคุณยายอย่างคร่าวๆ ก่อนจะเก็บไว้ในกระเป๋าสะพาย
“คุณแม่คะ รีน่าต้องไปแล้วนะคะ”
“ถึงเมืองไทยเมื่อไรโทรมาบอกแม่ก่อนนะลูก แม่เป็นห่วง”
เมื่อรู้ว่าถึงเวลาที่ต้องจากกัน ผู้ที่เป็นแม่ก็เริ่มทำใจไม่ได้ น้ำตาที่เอ่อคลอเบ้าทำท่าจะหยดแหมะ ขณะดึงร่างบางระหงมาสวมกอด พร้อมกับหอมลงไปบนพวงแก้มแดงปลั่งทั้งสอง
“รีน่าสัญญาค่ะคุณแม่ ถึงเมืองไทยเมื่อไรหนูจะโทรมาหาคุณแม่เป็นอันดับแรกเลย”
อัลรีน่ากอดตอบแนบแน่น หอมแก้มมารดาหลายฟอด ก่อนจะผุดลุกขึ้นเมื่อมองออกไปนอกหน้าต่าง เห็นว่าอรุณกำลังจะรุ่ง ความมืดมิดกำลังจะจางหายไปจากฟากฟ้า ลำแสงสีเทากำลังเคลื่อนกายอย่างสง่างามเข้ามาแทนที่
“ไปเถอะลูก จวนจะสว่างแล้ว เดี๋ยวคุณพ่อจะตื่นขึ้นมาเห็นก่อน” ผู้เป็นมารดาบอกเสียงเศร้าๆ
อัลรีน่าเดินออกจากห้องตามแรงผลักของมารดา แต่ก้าวได้ไม่กี่ก้าวก็วิ่งกลับมาสวมกอดมารดาไว้อีกครั้ง
“รีน่ารักคุณแม่คุณพ่อ รักแผ่นดินดาลิยา รีน่าฝากกราบขอโทษคุณพ่อด้วยค่ะ”
ผู้ที่เป็นแม่กอดลูกสาวไว้แน่นอีกครั้ง ก่อนจะตัดใจดันตัวลูกสาวออกห่างเล็กน้อย มืออบอุ่นกุมใบหน้างามลออไว้ ก่อนจะเอ่ยให้พรด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ
“เดินทางปลอดภัยนะลูก ตามหาหัวใจให้เจอ แล้วหนูจะรู้ว่าความรักเป็นสิ่งที่สวยงามควรคุณค่าสำหรับการตามหา”
“ค่ะคุณแม่ รีน่าจะตามหาให้พบ หากแม้นไม่พบรีน่าก็ยังได้รับความรักจากคุณพ่อคุณแม่ที่มอบให้รีน่าเสมอ”
อัลรีน่าหอมแก้มมารดาอีกครั้ง ก่อนจะเดินเป็นวิ่งออกไปจากบ้าน เมื่อลำแสงสีเทาก่อนอรุณเบิกฟ้าค่อยๆ คืบคลานเข้ามาทีละเล็กทีละน้อย หญิงสาวสูดลมหายใจเข้าลึกๆ รวบรวมพลังกำลังใจให้กับตัวเองสำหรับการออกเดินทางจากบ้านเกิดเมืองนอนเป็นครั้งแรก และถ้าหากทำใจกล้าหันไปมองที่หน้าต่างห้องนอนของบิดามารดาสักนิดก่อนที่จะขึ้นแท็กซี่ เธอจะได้เห็นบิดาผู้องอาจรักลูกยิ่งกว่าสิ่งใดได้ยืนส่งเธออยู่ ณ ที่ตรงนั้นด้วย
พลเอกรอซีคลี่ยิ้มบางๆ ขณะมองบุตรสาวที่รักซึ่งเติบโตเป็นผู้ใหญ่กล้าตัดสินใจเลือกเส้นทางชีวิตด้วยตัวเอง ดวงตาคมของผู้ที่เป็นพ่อมองตามจนกระทั่งรถแท็กซี่เคลื่อนตัวลับหายไปจากสายตา จากนั้นก็ได้พึมพำออกมาด้วยความภาคภูมิใจ พร้อมกับอวยพรให้ลูกสาวไปในตัว
“เพราะพ่อไม่อยากเห็นลูกต้องทุกข์ทรมานกับการแต่งงานที่ไม่ได้เกิดจากความรัก พ่อถึงได้พูดออกไปเช่นนั้น พ่อขอให้อัลรีน่าของพ่อพบกับบุรุษหนุ่มที่จริงใจ พร้อมที่จะรับมือกับลูกสาวตัวน้อยๆ ของพ่อ”