บทที่ 2 (1)
ทุกคนในห้องรับแขกต่างก็ยินดีปรีดากับถ้อยประโยคที่อัลรีน่าได้เอ่ยบอกตามคำสั่งของเจ้าชายอีสดรีสส์
พลเอกรอซีดูจะตื่นเต้นกว่าใคร เพราะการที่บุตรสาวสามัญชนธรรมดามีโอกาสได้เข้าไปอยู่ในพระราชวังกับเจ้าชายหนุ่มที่จะขึ้นครองราชย์บังลังก์ เพื่อปกครองประเทศต่อจากพระราชบิดา ก่อนที่จะมีพิธีอภิเษกนั้นถือว่าเป็นเรื่องดี เพราะอัลรีน่าจะได้เรียนรู้ขนบธรรมเนียมในพระราชวัง และเป็นการสร้างความคุ้นเคยให้กับอัลรีน่า ก่อนที่จะก้าวขึ้นเป็นพระชายาเคียงคู่กับเจ้าชายอีสดรีสส์ในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า
“อัยนูน รีบไปจัดเตรียมเสื้อผ้าเครื่องใช้ให้รีน่า”
พลเอกรอซีแสดงอาการตื่นเต้นดีใจกว่าใครเพื่อน รอยยิ้มกว้างแห่งความดีใจปรากฏให้เห็นทั่วใบหน้าคมที่ยังคงความหล่อเหลาแม้อายุจะล่วงเลยมาถึงห้าสิบปีแล้วก็ตาม
“ค่ะ นายท่าน อัยนูนจะไปเดี๋ยวนี้แหละค่ะ”
แม่นมอัยนูนรีบผุดลุกขึ้นไปทำตามคำสั่งของพลเอกรอซีอย่างรวดเร็ว แต่ก่อนจะเดินออกจากห้องรับแขกก็หันไปมองหน้าคุณหนูรีน่าที่รักครู่หนึ่ง เมื่อได้เห็นกิริยาที่สงบนิ่งไม่แสดงอาการคัดค้านเหมือนตอนที่คุยกันในสวนพฤกษชาติ นางก็รู้สึกวางใจโล่งอกรีบเดินออกจากห้อง ไปจัดเตรียมกระเป๋าเครื่องใช้ให้คุณหนูเดินทางไปพระราชวังในวันพรุ่งนี้
“อีกเดือนกว่าๆ หนูรีน่าก็จะอายุครบยี่สิบสี่ปีบริบูรณ์ เข้าไปอยู่ในพระราชวังก่อนก็ดีเหมือนกัน หนูรีน่าจะได้คุ้นเคยกับเจ้าชายอีสดรีสส์มากยิ่งขึ้น”
พลเอกซัลวาออกความคิดเห็น แต่ถึงแม้อัลรีน่าไม่เข้าไปอยู่ที่พระราชวังก่อนที่จะอภิเษกก็ไม่มีปัญหา เพราะเด็กสาวที่น่ารักเรียบร้อยอย่างอัลรีน่า ยังไงก็สามารถสร้างความประทับใจให้กับเจ้าชายอีสดรีสส์ และเหล่าข้าราชบริพารในพระราชวังได้อย่างง่ายดาย
“รีน่าไปเตรียมตัวดีไหมลูก พรุ่งนี้จะได้เดินทางไปที่พระราชวังแต่เช้า”
มือใหญ่ของผู้ที่เป็นพ่อยกขึ้นลูบทั่วศีรษะกลมทุยปกคลุมด้วยเส้นผมยาวนุ่มสลวยอย่างเอ็นดูภาคภูมิใจในตัวบุตรสาวที่ว่านอนสอนง่าย ไม่เคยทำให้ตัวเองเสียใจเลยแม้แต่ครั้งเดียว
“อีกสักครู่ค่อยไปก็ได้ค่ะ รีน่าขออยู่ส่งคุณลุงก่อน”
อัลรีน่าหันมาฝืนยิ้มบางๆ ให้บิดา พยายามบังคับน้ำเสียงไว้สุดกำลังไม่ให้สั่นเครือ จากนั้นก็หลุบสายตาก้มลงมองมือตัวเอง ซ่อนความนึกคิดไว้ภายใต้สีหน้าที่เรียบเฉยสงบนิ่ง
“หนูรีน่าไล่ลุงทางอ้อมแล้ว คงต้องขอตัวกลับก่อนนะรอซี”
พลเอกซัลวาเอ่ยกลั้วหัวเราะขณะเอ่ยแซวหลานสาว เขาไม่ได้นึกโกรธกับคำพูดของหลานสาวเพราะจริงๆ แล้วตัวเขาเองก็มีภารกิจอื่นรออยู่อีกมาก ให้ไปจัดการให้เสร็จสิ้นภายในวันนี้
อัลรีน่าคลี่ยิ้มบางๆ ซึ่งเป็นรอยยิ้มที่สร้างความประทับใจให้กับหนุ่มๆ ทั่วทั้งดาลิยาได้หลงใหลมานักต่อนักแล้ว จากนั้นก็เอ่ยแก้ไขคำพูดตัวเอง ด้วยเกรงว่าญาติผู้ใหญ่จะเข้าใจผิด
“รีน่าไม่กล้าไล่คุณลุงหรอกค่ะ รีน่ายินดีต่างหากที่คุณลุงมาเยี่ยมรีน่ากับคุณพ่อคุณแม่ถึงที่บ้าน”
พลเอกซัลวาหัวเราะร่วนอย่างคนอารมณ์ดี เดินเข้าไปจับมือเล็กนุ่มนิ่มของหลานสาวที่รีบผุดลุกขึ้นยืนเช่นเดียวกัน ก่อนจะเอ่ยบอกให้อัลรีน่าได้สบายใจ
“ลุงก็ดีใจที่ได้มาเยี่ยมหนูรีน่า ภารกิจในพระราชวังมีมากมายเหลือเกิน หากวันนี้ไม่ได้มาส่งราชสาส์นให้หนูรีน่าลุงก็คงไม่ได้มาเยี่ยมทุกคน”
พลเอกซัลวาเอ่ยยิ้มๆ ด้วยความจริงใจ พลางส่งสัญญาณให้เหล่าองครักษ์คนอื่นได้ลุกขึ้นเตรียมตัวเดินทางกลับ
“ลุงกลับก่อนนะหนูรีน่า ลุงดีใจที่หนูจะได้แต่งงานกับเจ้าชายอีสดรีสส์”
‘แต่รีน่าไม่ดีใจเลยค่ะ’
อัลรีน่าเอ่ยตอบอยู่ในใจฝืนยิ้มให้พลเอกซัลวาคำว่า ‘หน้าชื่นอกตรม’ คงใช้ได้ดีที่สุดสำหรับเธอในขณะนี้
“รีน่าไปส่งคุณลุงนะคะ”
“ไม่ต้องหรอก ส่งลุงแค่ตรงนี้ก็พอแล้ว”
พลเอกซัลวาพยักหน้ารับการทำความเคารพจากอัลรีน่าและคุณธัญจิรา จากนั้นก็ก้าวเท้ายาวๆ เดินเข้าไปจับมือกับพลเอกรอซีเพื่อนรัก
“เราภูมิใจแทนนายจริงๆ ที่มีบุตรสาวน่ารักน่าเอ็นดูเหมือนหนูรีน่า”
พลเอกรอซีหัวเราะร่วนตบบ่าเพื่อนรักหนักๆ ก่อนจะสวมกอดสมานมิตรภาพระหว่างเพื่อนรักไว้แนบแน่น
“อัลรีน่าเป็นความภาคภูมิใจที่สุดของตระกูลฟาติยาซ์”
คนที่ตกเป็นหัวข้อการสนทนาถูกเอ่ยชมด้วยความภาคภูมิใจไม่ได้นึกดีใจด้วยเลยสักนิด หญิงสาวกัดเม้มริมฝีปากแน่น หากแม้นบิดาได้อ่านใจ ล่วงรู้ถึงสิ่งที่เธอนึกคิดวางแผนอยู่ท่านคงยิ้มไม่ออก ไม่กล้าแม้แต่จะเอ่ยชมเธอให้ใครได้สดับรับฟังอีก
คุณธัญจิรารอจนกระทั่งสามีได้เดินออกไปจากห้องรับแขก เพื่อส่งพลเอกซัลวาและเหล่าองครักษ์ จึงได้กวักมือเรียกบุตรสาวให้มานั่งลงใกล้ๆ
“รีน่า มาหาแม่สิลูก” นางยกมือขึ้นลูบใบหน้างามคมเข้มของบุตรสาว ก่อนจะโอบกอดร่างบางระหงไว้แนบกาย
“รีน่าไม่อยากเข้าแต่งงานกับเจ้าชายอีสดรีสส์ใช่ไหมลูก”
อัลรีน่ามีอาการตกใจเล็กน้อยกับคำถามแทงใจดำของมารดา ดวงตาคู่สวยสีอ่อนใสราวกับน้ำที่น้อยคนนักจะอ่านและเดาใจเธอถูก ได้เงยหน้าขึ้นมองมารดาด้วยความฉงนสงสัยว่ามารดาเดาถูกได้อย่างไร
“ทำไมคุณแม่รู้คะ ว่ารีน่าไม่อยากแต่งงานกับเจ้าชายอีสดรีสส์”
“รีน่า แม่เป็นแม่หนูนะ เลี้ยงหนูมาตั้งแต่แบเบาะมีหรือแม่จะเดาใจหนูไม่ถูก”
คุณธัญจิรายิ้มอบอุ่นให้บุตรสาวไม่อยากคาดเดาเหตุผลว่า ทำไมนางฟ้าองค์น้อยที่ครั้งหนึ่งเคยใฝ่ฝันอยากจะเป็นเจ้าหญิง เข้าพิธีอภิเษกกับเจ้าชายอีสดรีสส์รูปงาม ถึงได้เกิดเปลี่ยนใจขึ้นมาในเวลานี้
อัลรีน่ายิ้มเศร้าๆ เลิกปิดบังความรู้สึกของตัวเอง เมื่ออยู่กับมารดาแค่เพียงสองคน
“สมัยเด็กๆ รีน่าใฝ่ฝันเหลือเกินที่จะได้แต่งงานเดินเคียงคู่กับเจ้าชายอีสดรีสส์ผู้กุมหัวใจสาวๆ ทั่วทั้งดาลิยา แต่นั่นก็เป็นความฝันจิตนาการของเด็กสาวตัวเล็กๆ ที่ยังไม่รู้จักคำว่าความรัก แต่สำหรับอัลรีน่าในตอนนี้ ขณะที่นั่งอยู่ตรงหน้าของคุณแม่ เธอไม่ได้อยากแต่งงานกับเจ้าชายอีสดรีสส์เลยสักนิด ไม่ว่าเจ้าชายจะมีรูปโฉมหล่อเหลาร่ำรวยมากเพียงใด เธอก็ไม่อยากแต่งงานด้วย”
“ทำไมอัลรีน่า ทำไมหนูไม่อยากแต่งงานกับเจ้าชายอีสดรีสส์”
น้ำเสียงที่เอ่ยถามห้าวทุ้มของบิดาซึ่งยืนอยู่ตรงช่องธรณีประตู ทำเอาสองแม่ลูกถึงกับสะดุ้งเฮือกตกใจไปตามๆ กัน โดยเฉพาะอัลรีน่าที่ตกใจหน้าถอดสีกว่ามารดา ด้วยไม่คิดว่าบิดาจะมาได้ยินการสนทนาของเธอเข้า
“รีน่า ทำไมไม่ตอบคำถามพ่อ”
พลเอกรอซีรู้สึกตัวว่าในตอนแรกได้กระชากเสียงถามติดห้วนๆ จนลูกสาวตกใจหน้าถอดสี ดังนั้นคำถามที่เปล่งออกมาอีกครั้งจึงแผ่วเบานุ่มนวลกว่าครั้งแรกมาก
อัลรีน่ารีบเดินเข้าไปสวมกอดบิดาไว้แน่น แม้บิดาจะเป็นคนดุตามแบบฉบับของนักรบองครักษ์เอกของพระเจ้าแผ่นดิน แต่กระนั้นท่านก็เป็นคนใจดีมีเหตุมีผลเสมอเวลาพูดคุยกับทุกคนในครอบครัว
“คุณพ่อคะ รีน่าไม่อยากแต่งงาน รีน่าไม่ได้รักเจ้าชายอีสดรีสส์ คุณพ่อขอร้องเจ้าชายอะดะบีให้ยกเลิกการแต่งงานระหว่างรีน่ากับเจ้าชายอีสดรีสส์เถอะคะ”
พลเอกรอซีถอนหายใจยาว เดินหนีลูกสาวไปทรุดตัวลงนั่งใกล้กับภรรยา ซึ่งมีสีหน้าอมทุกข์ใจไม่ต่างจากบุตรสาว
“รีน่า รู้หรือเปล่าว่าสิ่งที่หนูขอร้องพ่อมันไม่มีทางเป็นไปได้เลย เจ้าชายอะดะบีไม่มีทางยกเลิกเรื่องนี้ มีแต่จะเร่งให้หนูกับเจ้าชายอีสดรีสส์เข้าพิธีอภิเษกในเร็ววัน”
“รีน่าไม่ได้รักเจ้าชายอีสดรีสส์ รีน่าจะไม่แต่งงานกับคนที่รีน่าไม่ได้รักเป็นอันขาด”
อัลรีน่าค้านเสียงแข็ง หัวใจห่อเหี่ยวไร้เรี่ยวแรง หากบิดาได้เอ่ยออกมาเช่นนี้แล้ว หนทางแห่งอิสรภาพที่จะหลุดพ้นจากการเข้าพิธีแต่งงานก็คงเป็นไปได้ยาก
“รีน่าจะไม่แต่งงานไม่ได้ พ่อกับเจ้าชายอะดะบีได้เอ่ยคำมั่นสัญญาต่อกันไว้แล้ว หากเมื่อใดที่ลูกอายุครบยี่สิบสี่ปี ลูกต้องเข้าพิธีอภิเษกกับเจ้าชายอีสดรีสส์โดยไม่มีข้อแม้”
การสนทนาของพ่อลูกเริ่มดุเดือดมากยิ่งขึ้น ก่อนหน้านี้สุ้มเสียงทั้งสองฝ่ายเต็มไปด้วยความละมุนละไม ต่างก็รักษาน้ำใจของกันและกัน แต่เมื่อการสนทนาความคิดเห็นเริ่มขัดแย้งกัน น้ำหนักเสียงอารมณ์ทั้งฝ่ายผู้เป็นบิดาและบุตรสาวต่างก็รุนแรงขึ้นตามๆ กัน
“ยังไงรีน่าก็จะไม่แต่ง ทำไมคุณพ่อต้องบังคับรีน่าด้วย การแต่งงานใช้ชีวิตคู่โดยที่คนทั้งสองไม่ได้รักกันจะก่อให้เกิดความสุขขึ้นได้อย่างไร”
อัลรีน่าลุกขึ้นยืนกล้าขัดคำสั่งของบิดาเป็นครั้งแรกในรอบปี ไม่ว่าบิดาจะมีเหตุผลใดมาเอ่ยอ้างยังไงเธอก็ไม่ยอมให้ชีวิตทั้งชีวิตต้องเดินทางอยู่บนเส้นทางแห่งความทุกข์
พลเอกรอซีจับต้นแขนเนียนนุ่มมือของบุตรสาวไว้มั่น “อัลรีน่า ลูกฟังพ่อนะ บุรุษชาติผู้แข็งแกร่งคนหนึ่งได้กล่าวคำมั่นสัญญาต่อเจ้าเหนือหัวว่า จะให้บุตรสาวของตนเองได้เข้าพิธีอภิเษกกับโอรสของพระองค์ และเวลานั้นก็ได้เดินทางมาถึงแล้ว พ่ออยากบอกให้ลูกรู้ว่า พ่อไม่อาจเป็นคนตระบัดสัตย์ต่อเจ้าแผ่นดินได้ หากรีน่าไม่ยอมแต่งงาน พ่อก็จำเป็นต้องบอกว่านี่คือคำสั่ง! รีน่าจะขัดคำสั่งของพ่อไม่ได้ถ้าหากต้องจับตัวรีน่ามัดมือมัดเท้าส่งไปให้เจ้าอีสดรีสส์ พ่อก็จำเป็นต้องทำเช่นเดียวกัน”