ตอนที่ 3 กอดปลอบใจ
เขาไม่ตอบนางในทันทีเพียงแค่หันข้างให้เท่านั้น
“เจ้าได้รับบาดเจ็บ แต่ไม่ต้องห่วง ท่านหมอดูอาการให้แล้ว นอกจากบาดแผลภายนอก ก็…. ไม่มีสิ่งใดที่เสียหาย”
“แค่ก แค่ก ๆ”
นางไอเพราะคอแห้ง เขารีบหันไป ก่อนที่จะรินน้ำและส่งให้นาง ตอนนี้เองที่นางเห็นใบหน้าของเขาชัดเจน ดวงตาคมดุจเหยี่ยว คิ้วเข้มได้รูป จมูกเป็นสันได้รูปรับกับใบหน้ารูปไข่กับริมฝีปากหนาสีชมพูเข้ม ทำเอานางชะงักไปชั่วขณะ เขายื่นน้ำมาให้ ก่อนที่จะบอกกับนาง
“ดื่มน้ำก่อน เจ้าคงจะกระหายน้ำ เดี๋ยวทานข้าว และทานยาเสียหน่อย จะได้รู้สึกดีขึ้น ข้ามีเรื่องอยากจะถามเจ้า”
“ท่านต้องการรู้สิ่งใดหรือเจ้าคะ ท่านคือผู้ใดกัน เหตุใด…. จึงช่วยข้าไว้”
“ข้า…มู่หลงฟู่ แม่ทัพใหญ่ของกองทัพพยัคฆ์ทมิฬของฝ่าบาท ลงมาเพื่อปราบกบฏหย่งตู ตอนนี้พวกเชลยที่อยู่ข้างนอก ข้าต้องพากลับไปรับโทษที่เมืองหลวง เจ้าล่ะ...เป็นผู้ใด เหตุใดจึงไปอยู่กับเจ้ากบฏชั่วเยี่ยนตูนั่นได้”
“ท่านคิดว่าข้าเป็นพวกเดียวกับเขาหรือเจ้าคะ”
“ข้ากำลังถามเจ้าอยู่”
“ข้าชื่อจินซู่เย่ เป็นบุตรีของคหบดี พ่อข้าทำการค้าขายที่ท่าเรือหย่งตู”
ใช่นางจริง ๆ ช่างดีนัก ใจของแม่ทัพหนุ่มเต้นรัวแรงราวกลองศึก แต่เขากลับปกปิดอาการเหล่านี้เอาไว้ได้อย่างมิดชิดจนน่าแปลกใจ เขานั่งเผชิญหน้ากับนางที่ยังดูอ่อนเพลียอยู่ ก่อนที่นางจะขยับตัวหนีเขาอย่างนึกระแวง
“แล้วเจ้ามาอยู่กับเยี่ยนตูได้เช่นไร หรือว่าเจ้า เกี่ยวข้องอะไรกับมัน”
นางเงยหน้ามองเขาอย่างเอาเรื่อง สายตาที่มองเขาอย่างยโสโอหังนั่น ทำเอาใจของเขาวูบวาบแปลกๆ ช่างน่ารักเสียนี่กระไร ก่อนที่นางจะสะบัดหน้าเมินเขาไปอีกทางหนึ่ง….
“ข้าไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับคนผู้นั้น ข้าไม่ได้รู้จักเขา ข้าเพียงถูกเขาจับมา ระหว่างอพยพออกนอกเมืองพร้อมกับครอบครัว ในป่าที่ชานเมืองหย่งตู”
หรือว่าเป็นเพราะเขา นางมัวแต่รักษาบาดแผลให้เขา ทำให้นางคลาดกับครอบครัว เป็นสาเหตุทำให้นางถูกพวกกบฏชั่วนั่นจับตัวมา
“เจ้าถูกจับไปที่จวนนั่นกี่วันแล้ว”
“ประมาณสี่หรือห้าวัน ข้าก็ไม่แน่ใจ ข้าถูกจับขังกับพวกสตรีอื่นๆ ที่ถูกจับมา พวกเราลดจำนวนลงไปทุกวัน ไม่กลับมาอย่างสะบักสะบอม ก็…ไม่ได้กลับมาอีกเลย”
นางนึกถึงสภาพที่โหดร้ายของห้องที่พวกนางถูกคุมขังด้วยกัน นางพอรู้วิชาแพทย์ จึงได้ทำแผลให้สตรีที่ถูกพวกกบฏข่มเหงมา
บางคนก็ทนพิษบาดแผลไม่ไหว จนตายไปต่อหน้าก็หลายคน บางคนก็ทนความอัปยศไม่ไหว ฆ่าตัวตายภายในห้องนั้น เมื่อคิดขึ้นได้ ตัวนางก็เริ่มสั่นอย่างควบคุมไม่ได้ น้ำตาเริ่มไหล และนางก็เริ่มคลุ้มคลั่ง
“ไม่ ไม่..อย่าเข้ามา ไม่ ไม่…..”
“นี่เจ้าเป็นอะไร แม่นางจิน เจ้าใจเย็น ๆก่อน เจ้าปลอดภัยแล้ว”
“ข้ากลัว กลัวแล้วว ไม่ อย่านะ อย่าผูกคอตายตรงนั้น ไม่ ข้าช่วยเจ้าได้ ไม่นะ…”
นางนึกถึงเหตุการณ์ที่เลวร้ายนั่น ทำเอาเขาตกใจกับสภาพของนาง เขาเริ่มทำตัวไม่ถูก ไม่รู้ว่าควรจะทำเช่นไร จึงได้ดึงนางที่เริ่มกรีดร้องเพราะภาพหลอนนั่นเข้ามากอด ก่อนที่จะลูบหลังนางที่ยังดิ้นรนเพื่อหนีอ้อมกอดนั้น ก่อนที่นางจะเริ่มสงบลงช้า ๆ
“ไม่เป็นไรแล้วนะ ข้ามาช่วยเจ้าแล้ว นิ่งซะ พวกมันไม่สามารถทำร้ายเจ้าได้อีกแล้ว”
“จริงหรือ ทะ…ท่านพูดจริง ๆ ใช่หรือไม่…พวกเราปลอดภัยแล้ว”
“จริงสิ คนที่เหลือรักษาตัวอยู่เรือนหลังนี่เอง เจ้าไม่ต้องกลัวนะ”
เสียงของเขาทำให้อารมณ์ของนางเริ่มสงบลงอย่างน่าแปลก ก่อนที่นางจะค่อยๆ สงบลง และเริ่มผลักเขาออก และก้มหน้าลงเพราะความอายกับอาการของตนเอง ทำเอาแม่ทัพหนุ่มแอบเสียดายเล็กน้อยที่ปล่อยนางออกไป กลิ่นเรือนผมที่หอมกรุ่นยังคงติดที่ปลายจมูกของเขา
“ขออภัยเจ้าค่ะ ข้าขาดสติไปหน่อย”
เขาเอื้อมมือไปเช็ดน้ำตาให้นางเบาๆ จนนางสะดุ้ง ก่อนที่จะรู้ว่าเขาแค่นำผ้ามาเช็ดน้ำตาให้ นางจึงยอมอยู่นิ่งๆ ก่อนที่จะรับผ้านั้นมาเช็ดเอง ดูท่า หญิงสาวคงจะจำไม่ได้แล้วว่านางเคยช่วยเขาบนเขานั่น แต่หากนางรู้ตอนนี้ ว่าเขาเป็นสาเหตุที่ทำให้นางถูกจับมา นางจะยิ่งเกลียดเขาหรือไม่ ทางที่ดี เรื่องนี้อย่าพึ่งบอกนางดีกว่า…
“ชาวบ้านที่เหลือ จะทยอยอพยพกลับเข้าเมือง ครอบครัวของเจ้าก็น่าจะมาด้วยเช่นกัน แต่ให้เจ้ารักษาตัวให้หายดีเสียก่อน แล้วข้าจะไปส่งเจ้าที่จวน”
“นี่จะไม่เป็นการรบกวนท่านแม่ทัพหรือเจ้าคะ ท่านมีภารกิจมากมาย เรื่องนี้ คงไม่ต้องลำบากท่าน…”
“ไม่เป็นไร คหบดีจินเป็นอีกคนที่น่ายกย่อง พวกเจ้าพาชาวบ้านที่เหลือออกมาจากเมืองทั้งยังช่วยพวกเขาหนีออกไปจนพบกับค่ายของพวกเราที่นอกเมือง ข้าควรไปคารวะเขาอยู่แล้ว ความดีความชอบนี้ ท่านคหบดีจินควรได้รับรางวัลจากฝ่าบาทด้วยเช่นกัน”
“ขอเพียงท่านพ่อปลอดภัย ข้าก็ไม่ต้องการอะไรอีกเจ้าค่ะ”
“พวกเจ้า ถูกจับมาเพื่อทำสิ่งใดกัน ขออภัยที่ข้าต้องถามเจ้านะ หากเจ้าตอบไม่ไหวข้าก็จะไม่ฝืนใจเจ้า”
นางเริ่มตัวสั่นเล็กน้อย ก่อนที่จะรวบรวมสติเพื่อตอบเขาไป
“ไม่เป็นไรเจ้าค่ะ ข้ายินดี พวกชั่วนั่นส่วนหนึ่งจับเรามาให้เข้าโรงครัว ทำอาหารหากมันผู้ใดพอใจใคร ก็จะ….”
นางเริ่มปากสั่นเมื่อเล่าถึงตรงนี้
“พอแล้ว เจ้าไม่ต้องเล่าต่อ ข้าเข้าใจแล้ว”
“ข้าพอรู้วิชาแพทย์ พวกมันเลยจับข้าแยกกับผู้อื่น ให้ไปดูแลคนที่บาดเจ็บให้”
เขาทำท่าครุ่นคิด นางแอบลอบมองใบหน้าที่รูปงามดุจหยกประดับนั่นอย่างลืมตัว ก่อนที่เขาจะหันมาถามนาง ทำให้นางรีบหลบสายตา
“แล้วเจ้า เคยได้ยินพวกมัน พูดถึงผู้ที่อยู่เบื้องหลัง หรือเรื่องราวอะไรนอกจากนี้หรือไม่”
“ท่านแม่ทัพ ข้าเคยได้ยินพวกมันพูดถึงผู้ที่ให้ความช่วยเหลือพวกมันอยู่เบื้องหลังเจ้าค่ะ”
เขาตกใจและรีบหันมามองนางอย่างใคร่รู้ ก่อนที่จะถามนางออกไป
“ผู้ใดกัน เจ้าได้ยินชื่อคนผู้นั้นหรือไม่”
“ราชครูผังเจินเจ้าค่ะ”
เขากลอกตาไปมาอย่างนึกไม่ถึง คิดไม่ถึงว่าคนที่อยู่เคียงข้าง เป็นที่ปรึกษามือขวาของฝ่าบาท จะเป็นผู้ที่บงการอยู่เบื้องหลัง แต่เรื่องนี้ เขาคงต้องสืบให้กระจ่าง
“แม่นางจิน เรื่องนี้สำคัญมาก เจ้ายืนยันได้หรือไม่ ว่าเจ้าฟังไม่ผิด เรื่องนี้อาจจะทำให้ราชสำนักสั่นคลอนได้เลย”
“แม่ทัพมู่ ข้าฟังมิผิดเจ้าค่ะ เขายังบอกอีกว่า ท่านราชครู สั่งล้อมโจมตีกองทัพหลวง ครั้งที่เมืองหลวงส่งแม่ทัพมาครั้งก่อน ก็เป็นเขาที่แจ้งพวกกบฏ ให้ลอบโจมตี จนฆ่าแม่ทัพใหญ่ตายคาสนามรบ ทำให้พวกกบฏได้ใจ กำแหงหนักขึ้น เพราะมีสายลับอยู่ในราชสำนักคอยส่งข่าวให้ ไม่ว่าจะรบกี่ครั้ง พวกมันก็มิมีทางพ่ายแพ้”
สายตาเขาแข็งกร้าวขึ้น กำหมัดแน่น นี่หรือคือสาเหตุที่ทำให้กองทัพบิดาเขาถูกล้อมโจมตี ที่แท้ในราชสำนักมีเกลือเป็นหนอน พวกมันมีผู้ส่งข่าวให้กบฏตลอดเวลา คอยแจ้งว่าพวกเขานำทัพมาทางใด ก่อนที่จะให้พวกมันล้อมปราบ จนบิดาเขาสิ้นใจ
“ท่านแม่ทัพเจ้าคะ ท่าน เป็นอะไรหรือไม่”
เขาสะดุ้งตื่นจากภวังค์ ก่อนจะหันมามองนาง
“แล้วเจ้ารู้อะไรอีก”
“พวกมันบอกว่ารอบนี้ไม่รู้กลยุทธ์พวกท่าน เพราะแม่ทัพใหม่ น่าจะหมายถึงท่าน ไม่ได้แจ้งแผนการให้ฝ่าบาททราบว่าจะใช้วิธีใด ทำให้ราชครูผังเจิน ช่วยพวกมันไม่ได้ มันเลยใช้วิธีเดิมลอบกำจัดท่านเจ้าค่ะ”
เขาไม่เพียงไม่บอกแผนการ ยังไม่บอกวันและเวลาที่ออกเดินทางด้วยเพราะกลัวเรื่องนี้ แต่ไม่คิดว่า คนที่เป็นขุนนางชั้นสูงจะเป็นผู้อยู่เบื้องหลัง แต่หากจะเอาผิดราชครูนั่นได้ ก็ต้องมีพยานหลักฐานไปกับเขาด้วย
“แม่นางจิน เรื่องที่เจ้ากล่าวมา มีผู้ใดรู้เห็นอีกหรือไม่”
นางส่ายหัวก่อนจะตอบเขา
“ไม่มีเจ้าค่ะ ข้าไปทำแผลให้รองแม่ทัพของพวกมัน เลยได้ยินเข้าโดยบังเอิญ”
ถ้าอย่างนั้นยิ่งไม่มีเหตุผลที่น่าเชื่อถือ คำพูดของสตรีเพียงคนเดียวมิอาจทำลายชื่อเสียงของราชครูเฒ่านั่นได้ น้ำหนักยังไม่เพียงพอ แต่ความแค้นที่ฆ่าบิดา ก็มิอาจอภัยให้ได้ ถึงแม้บิดาของเขา อาจจะไม่ค่อยลงรอยกับราชครูผัง แต่ไม่คิดว่าราชครูเฒ่านั่น จะถึงขั้นสั่งปลิดชีพบิดาของเขา
“แม่นางจิน เจ้าทานข้าวเสียหน่อย เดี๋ยวข้าจะให้คนยกมาให้ แล้วอย่าลืมกินยาด้วย หากข้ามีข้อสงสัยใด หรือเจ้านึกเรื่องใดได้ รีบให้คนไปแจ้งข้าได้หรือไม่”
“ขอบคุณท่านแม่ทัพ หากข้านึกได้ ข้าจะรีบแจ้งท่านทันทีเจ้าค่ะ”
“งั้นข้าขอตัวก่อน”
เขาเดินออกมาพร้อมกับรีบสั่งการกงจื่อ องครักษ์ข้างกายเขา
“เจ้าไปตรวจสอบเชลยที่เหลือ และตามสืบเรื่องราชครูผังเจินให้ข้าด้วย”
“ขอรับท่านแม่ทัพ”
“กงเซียว เจ้าไปสืบเรื่องของครอบครัวคหบดีจินมาให้ข้า”
“ขอรับท่านแม่ทัพ”
เมื่อรับคำสั่งพวกเขาก็เดินทางไปทันทีโดยไม่มีข้อซักถาม ก่อนที่แม่ทัพหนุ่มจะเดินไปสั่งให้สาวใช้นำข้าวและยาไปให้จินซู่เย่ที่ห้อง
“เรียนท่านแม่ทัพ ครอบครัวของท่านคหบดีจินได้ กลับไปยังจวนของพวกเขาแล้ว พวกเขาทุกคนปลอดภัยขอรับ”
“พวกเขาไม่นึกที่จะตามหาบุตรีของเขางั้นหรือ”
“เรียนท่านแม่ทัพ คหบดีจินส่งคนออกตามหาบุตรสาวทั่วทั้งเมืองหย่งตูแล้วขอรับ และยังมีเรื่องข่าวลือของนางที่แพร่กระจายอยู่ตอนนี้ด้วยขอรับ”
เขาพับรายงานของกบฏที่ถูกส่งกลับเมืองหลวง ก่อนจะวางลงที่เดิม
"ข่าวลือ ข่าวนั่นว่าอย่างไร แล้วได้ตามสืบหรือไม่ว่าผู้ใดเป็นคนปล่อยออกมา"
"สืบแล้วขอรับ...."
“ดีงั้นก็ถึงเวลาที่จะส่งนางกลับจวนแล้ว”