บทที่ 8 คนตามืดบอด
“อ๊ะ! เจ็บ!”
กู้ชางไม่ใส่ใจคำพูดเมื่อครู่สักนิด เขาเคยผ่านสาวใช้ทงฟางมาแล้วจึงรู้งานเป็นอย่างดีผิดกับเมิ่งลี่อินที่แม้จะแต่งออกแต่ก็มิได้มีท่านป้าหรือท่านแม่คอยสั่งสอนเรื่องในมุ้งให้ก่อนขึ้นขบวนเจ้าสาว นางทำตัวไม่ถูกทั้งยังยกมือปิดส่วนลับอย่างเอียงอาย ท่าทางเช่นนั้นหากเป็นเมิ่งลี่จูเขาจะต้องอ่อนโยนให้แน่แต่เมื่อไล่สายตาไปถึงใบหน้าแดงก่ำ กู้ชางก็โมโหขึ้นมาอีกครา
“เจ้าจะอายอันใดลี่อิน มิใช่ว่าอยากเป็นภรรยาข้านักหรือ? ข้าก็จะให้เจ้าเป็นสมใจอย่างไรเล่า”
น้ำเสียงเขาเย็นชาจนคนฟังรู้สึกเหมือนโดนสาดน้ำเข้าหน้าท่ามกลางหิมะเย็นจัด แม้จะถูกฝ่ามือร้อนลวกบีบนวดไปทั่วร่างกายแต่แรงมือของกู้ชางหนักหน่วงเหมือนอยากจะทำให้นางเจ็บปวดมากกว่ารู้สึกดี เมิ่งลี่อินถูกเขาลงมือไม่ปรานีก็ยิ่งรู้สึกคล้ายร่างกายจะแตกเป็นเสี่ยง ตอนที่ถูกกดใบหน้าเข้ากับหมอนใบโต นางยิ่งรู้สึกอดสูเกินบรรยาย
เขาถึงขั้นไม่อยากเห็นหน้านาง? ทั้ง ๆ ที่กำลังกระทำเรื่องเช่นนี้น่ะหรือ?
“โอ๊ย!”
กู้ชางแม้จะร่างกายสูงโปร่งมีกล้ามเนื้อพอเหมาะแต่แรงของเขากลับมากเกินรูปร่างไปมาก ตอนที่จงใจออกแรงก็ทำเอานางแทบจะหลั่งน้ำตาเป็นสายเลือด เมิ่งลี่อินเคยได้ยินพวกสาวใช้คุยถึงเรื่องบนเตียงอยู่บ้าง เท่าที่นางได้ยินมาเรื่องพวกนี้มักจะทำให้คนสุขสมไม่ใช่หรือ แล้วเหตุใดเมื่อถึงคราวนางถึงได้เจ็บเจียนตายเช่นนี้
เมิ่งลี่อินถูกสามีเคี่ยวกรำตั้งแต่ดึกดื่นจวบจนรุ่งสาง ตอนที่ตะวันแตะขอบฟ้า กู้ชางก็โยนร่างนุ่มนิ่มในแขนทิ้งอย่างไม่ใยดี เขาผุดกายลุกขึ้นยืนเต็มความสูง เดินไปที่หน้าเรือนเรียกหาน้ำอาบเสียงดังลั่น เมิ่งลี่อินแม้จะหมดเรี่ยวแรง ดวงตาบอบช้ำอย่างหนักแต่ก็ยังฝืนกายลุกขึ้นนั่ง ตอนที่กู้ชางเดินกลับเข้ามาเขาไม่แม้แต่จะมองสีหน้าภรรยาสักนิด กล่าวอย่างเฉยชา
“เช้าแล้ว ไปดูแลท่านพ่อกับท่านแม่ให้ดี ๆ อย่าให้ข้าหมดความอดทน”
เมิ่งลี่อินเม้มริมฝีปากแน่นจนมันกลายเป็นเส้นตรง นางมองเนื้อตัวที่เต็มไปด้วยรอยแดงเป็นจุด ๆ ไหนจะยังรอยมือที่แขนที่ขาอีก ทั้งเอวก็ปวดจนแทบจะลุกไม่ขึ้น สภาพนางเป็นเช่นนี้เขาก็ยังไม่ยอมรามือ?
กู้ชางไม่ได้ยินเสียงเคลื่อนไหวก็เบนสายตามอง เห็นภรรยาสาวนั่งทำสีหน้าอยู่บนเตียงก็นึกรำคาญขึ้นมา “อะไร? จะต้องให้ข้าเข้าไปพยุงเจ้าด้วยหรือไม่?”
เมิ่งลี่อินข่มกลั้นความเจ็บปวด นางคว้าเสื้อคลุมด้านข้างขึ้นคลุมกายก่อนหยัดยืนช้า ๆ “ไม่ต้องเจ้าค่ะ”
ตอนนั้นเองที่ฟางหลี่ช่วยกันยกถังน้ำเข้ามา สาวใช้เงยหน้าขึ้นมองสถานการณ์ในห้องเล็กน้อย ครั้นเห็นสภาพห้องที่เละเทะไปหมดก็ขมวดคิ้วด้วยความรังเกียจ เมิ่งลี่อินผู้นี้เป็นปีศาจจริง ๆ บุรุษของพี่สาวก็ยังกล้าแย่งทั้งยังกล้าหาทางร่วมหอกับคุณชายกู้ด้วย? ช่างทำให้คนพูดไม่ออกเกินไปแล้ว!
ฟางหลี่ถลึงตาใส่เมิ่งลี่อินอย่างลืมตา ทว่าในตอนที่นางกำลังจะเอาน้ำอาบไปเทใส่ถังหลังฉากกั้น กลับถูกกู้ชางเอ่ยปากเรียกไว้
“เดี๋ยวก่อน”
ฟางหลี่ตกใจจนมือไม้อ่อน เกือบทำถังน้ำในมือร่วงทับเท้าตนเอง นางเหลือบสายตามองเมิ่งลี่อินอย่างสงสัยก่อนจะเดินไปคุกเข่าอยู่ตรงหน้าคุณชายกู้
“คุณชายมีสิ่งใดจะรับสั่งบ่าวหรือเจ้าคะ”
กู้ชางมองพิจารณาใบหน้าฟางหลี่อยู่นาน เขามองสาวใช้ขึ้นลงอยู่สามรอบถึงค่อยกล่าวต่อ “เจ้าเคยเป็นสาวใช้ของจูเอ๋อร์ใช่หรือไม่?”
ฟางหลี่คล้ายมองเห็นเส้นทางรุ่งโรจน์ไม่มีที่สิ้นสุดวางอยู่ตรงหน้า คุณชายกู้ผู้นี้อย่างไรก็เคยคบหากับเจ้านายเก่าของนางมาก่อน อีกทั้งเรื่องที่คุณหนูหนีไปคนที่รู้เรื่องก็ถูกปิดปากไว้หมดแล้ว ต่อให้สกุลกู้จะอยากตามหาความจริงก็ไม่มีทางยื่นมือไปถึงคฤหาสน์สกุลเมิ่ง เป็นแน่ หากนางใส่ความเมิ่งลี่อินสักหน่อยจะเป็นอันใดไป
คิดได้ดังนี้ฟางหลี่ก็ก้มหน้าลงต่ำ บีบเสียงให้ดูเศร้าสร้อย “เจ้าค่ะ ก่อนหน้าที่จะติดตามฮูหยิน บ่าวเคยเป็นสาวใช้ขั้นสองของคุณหนูใหญ่ ต่อมาเพราะทำงานผิดพลาดจึงถูกคุณหนูใหญ่ลงโทษลดตำแหน่งเจ้าค่ะ” ฟางหลี่บีบมือบนตักแน่น แสร้งทำเป็นหนักใจนักหนา
“คุณหนูใหญ่- ดีกับบ่าวมากจริง ๆ เจ้าค่ะ แม้จะทำงานผิดพลาดก็แค่ลดขั้นไม่ได้ตัดเงินเดือน ต่อมาฮูหยินใหญ่รู้ว่าคุณหนูใหญ่ใกล้จะแต่งออกเลยเลื่อนขั้นเป็นสาวใช้ขั้นหนึ่งจะได้ติดตามมาด้วย อย่างไรก็คุ้นกับความชอบของคุณหนูใหญ่อยู่ก่อน คุณหนูใหญ่จะได้ไม่หวนคิดถึงบ้านเกินไป ไม่คิดว่าจากต้นท้อจะกลายเป็นต้นหลี่ บ่าวเองก็พูดไม่ออกเจ้าค่ะ”
กู้ชางมองสีหน้าซีดเผือดของเมิ่งลี่อินแล้วมีความสุขไม่น้อย ถึงขั้นเอื้อมมือดึงตัวสาวใช้ให้ลุกขึ้นยืน เขาเกี่ยวเอวบางของฟางหลี่เข้าใกล้ ยกมือขึ้นลูบพวงแก้มสาวแผ่วเบา
“อืม ความคับข้องใจของเจ้าข้าจะจัดการให้แน่”
ฟางหลี่ถูกกระทำเช่นนั้นก็ขัดเขินจนใบหน้าแดงก่ำ ได้แต่หลุบสายตามองพื้นเอ่ยอย่างเอียงอาย “คุณชาย ทำเช่นนี้ไม่ได้นะเจ้าคะ ฮูหยินมองอยู่เจ้าค่ะ”
“สนใจนางทำไมเล่า กับคนที่กล้าแย่งงานมงคลพี่สาวต้องให้ข้าใส่ใจด้วยหรือ?” กู้ชางหัวเราะน้อย ๆ “ไปเถิด เจ้าไปกับข้า เล่าให้ข้าฟังสิว่าเมื่อก่อนใช้ชีวิตมาอย่างไรถึงได้เข้าอกเข้าใจผู้อื่นขนาดนี้”