บทที่ 6 เพื่อท่านแม่ข้าทำได้
กว่ากู้ชางจะกลับมาจากงานเลี้ยงก็ดึกดื่นค่อนคืนไปแล้ว อันที่จริงเขาเองก็ไม่ได้อยากกลับช้าปานนี้เพียงแต่สหายที่เชิญมาแต่ละคนเอาแต่กลั่นแกล้งให้ดื่มแล้วดื่มอีก ดื่มจนเขาเกือบจะเมาหัวทิ่มดีที่ได้มารดาเข้ามาช่วยไว้ทัน ไม่งั้นคืนเข้าหอนี้คงต้องเสียเวลาเปล่า
กู้ชางนั่งตากลมจนรู้สึกว่าสร่างเมาขึ้นมากก็รีบเดินกลับไปที่ห้องหอ โชคดีที่สหายพวกนั้นก็ดื่มไปไม่น้อยเช่นกัน เวลานี้จึงพากันนอนเมาอยู่บนพื้นไม่เหลือแรงมาป่วนห้องหอให้วุ่นวาย กู้ชางเงยหน้ามองนภา เห็นดวงจันทร์กลมโตลอยเด่นท่ามกลางท้องฟ้าสีหมึกก็รู้สึกอ่อนหวานไปทั้งใจ
ในที่สุดเขาก็สามารถสู่ขอนางมาเป็นภรรยาได้
เมื่อคิดถึงคนที่กำลังนั่งรออยู่ในห้องฝีเท้าก็เร่งความเร็วขึ้นอีกหน่อย กู้ชางกลัวว่าหากปล่อยให้นางรอนานกว่านี้อีกนิดเมิ่งลี่จูอาจจะไม่พอใจจนพาลโกรธเขาไปเสียได้ นางเป็นประหนึ่งลูกแมวตัวน้อยที่ต้องให้คนคอยเอาอกเอาใจ เมื่อมีความสุขแล้วจึงจะเข้ามาออดอ้อนพาให้ใจอ่อนได้แต่โอบนางไว้ในอ้อมแขนอย่างไม่อาจต้านทาน
“จูเอ๋อร์”
เมิ่งลี่อินสะดุ้งโหยง นางเกือบจะตอบกลับไปแล้วเชียว ยังดีที่รั้งสติตนเองไว้ได้ มิเช่นนั้นเขาคงจับพิรุธได้เสียตั้งแต่ตอนนี้ นางคิดตกแล้ว ต่อให้พรุ่งนี้จะถูกไล่ออกไปก็ไม่เป็นไร ขอแค่ผ่านคืนนี้ไป ขอให้ทุกคนรู้ว่าเมิ่งลี่จูแต่งงานกับกู้ชางเท่านั้นเป็นพอ
กู้ชางหรี่สายตา เอ่ยเสียงหยอกล้อ “จูเอ๋อร์ เหตุใดไม่ตอบเลยเล่า หรือโกรธที่ข้ามาช้า? เรื่องนี้เป็นความผิดข้าเอง หากเจ้าอยากลงโทษก็ลงโทษเสียเถอะ อย่าอดกลั้นจนเจ็บป่วยเลย”
เมิ่งลี่อินส่ายหน้าช้า ๆ นางยังไม่กล้าเปิดปากได้แต่ชี้นิ้วไปทางเหล้ามงคล
หากดื่มเหล้ามงคลก็เท่ากับกลายเป็นสามีภรรยา หลังจากดื่มเหล้าลงไป นางก็ถือว่าทำตามที่แม่ใหญ่ต้องการได้แล้ว
“ใช่ ๆ ต้องดื่มเหล้ามงคลก่อน” กู้ชางกุลีกุจอรีบเทเหล้าลงจอก เขาเทของตนเองมากหน่อยส่วนของหญิงสาวเขามิได้เทมากนักด้วยกลัวว่าคนคออ่อนจะปวดท้องได้ กู้ชางเดินเข้าใกล้ภรรยาสาว ใบหน้าเขาขึ้นสีแดงก่ำ กล่าวอย่างเขินอาย “จูเอ๋อร์ ดื่มเหล้ามงคลเถิด”
สองแขนเกี่ยวกระหวัดแนบชิด เรือนร่างเดี๋ยวใกล้เดี๋ยวออกห่างทำเอากู้ชางร้อนรุ่มไปทั้งสรรพางค์กาย เขารีบกระดกเหล้าในมือลงท้องก่อนวางจอกชาลงแรง ๆ คันชั่งด้านข้างถูกฉวยไปถือไว้ กู้ชางตื่นเต้นเสียจนลืมตัว เขารีบใช้มันเปิดผ้าคลุมหน้าออก เมิ่งลี่อินไม่ทันระวังตัว ทั้งไม่คิดว่าเขาจะลงมือไวถึงเพียงนี้จึงตกใจจนเผลอเงยหน้าขึ้น
แววตาเจือความรักใคร่จาง ๆ กวาดผ่านใบหน้าเรียวเล็ก รอยยิ้มเจิดจ้าสว่างไสวค่อย ๆ จืดเจื่อนจนกลายเป็นริมฝีปากบิดเบี้ยว กู้ชางกะพริบตาปริบ มองจนแน่ใจแล้วว่าตนเองมิได้ตาฝาดก็โมโหจนทนไม่ไหว ปาคันชั่งในมือลงพื้นทันที
“เหตุใดจึงเป็นเจ้า!”
เมิ่งลี่อินสะดุ้งตัวโยน ศีรษะนางหนักมงกุฎหงส์จนเอนเอียงตั้งไม่ตรงตั้งนานแล้ว พอเขาเสียงดังใส่เช่นนี้ก็ยิ่งเพิ่มความเวียนหัวให้นางเข้าไปใหญ่ เมิ่งลี่อินจิกเล็บเข้าฝ่ามือเรียกสติแรง ๆ นางหลุบสายตามองเท้า หัวใจบีบรัดจนชาไปทั้งร่าง
เมิ่งลี่อินกลั้นใจพูดประโยคหน้าทนออกไป “ทะ... ท่านพี่หมายความว่าอย่างไรเจ้าคะ? อะไรคือเป็นข้า? ท่านแต่งงานกับข้าแล้วนะ”
กู้ชางโทสะสูงเสียดฟ้าจนสร่างแล้ว เขากระแทกเสียงอย่างไม่พอใจ “ข้าสู่ขอจูเอ๋อร์ ไม่ใช่เจ้าแล้วจะแต่งงานกับเจ้าได้อย่างไร! เจ้าลงมือเช่นนี้แล้วจูเอ๋อร์เล่า นางอยู่ที่ไหน!”
“ข้าไม่รู้เจ้าค่ะ ท่านพี่ ข้าแต่งงานกับท่านแล้วเหตุใดยังถามหาสตรีอื่นอยู่อีกเล่า”
กู้ชางในชุดเจ้าบ่าวดวงตาแดงก่ำ แต่เดิมเขาก็เป็นคนอารมณ์ร้อนอยู่แล้ว น้ำอดน้ำทนเพียงหนึ่งเดียวที่มีก็เก็บไว้เพื่อเมิ่งลี่จูเพียงคนเดียว มิมีทางนำมาใช้กับผู้อื่น เมื่อเจอประโยควกวนของเมิ่งลี่อินก็ถึงกับโมโหจนหน้ามืด ลงมือผลักนางจนพลิกคว่ำตกจากเตียง
เมิ่งลี่อินไม่คิดว่าเขาจะลงมือจึงไม่ได้เตรียมตัวไว้ ศีรษะนางยังสวมมงกุฏหงส์เมื่อถูกเขาผลักเต็มแรงมงกุฏหนาหนักก็กระแทกเข้ากับพื้นจนเกิดเสียงดังตึง ศีรษะเล็ก ๆ ถูกฟาดแรงปานนั้นก็มึนเบลอไปชั่วขณะ ดวงตามองไม่ชัดแม้แต่สติยังเลือนราง
“เมิ่งลี่อิน ข้าจะถามเจ้าอีกครั้ง จูเอ๋อร์อยู่ที่ไหน!”
เมิ่งลี่อินเจ็บจนทนไม่ไหว นางอยากจะบอกความจริงแต่ชีวิตของท่านแม่ก็แขวนอยู่ที่บ่าตนเอง เพราะความกดดันถาโถมสุดท้ายก็ร้องไห้ออกมาอย่างสุดกลั้น “ข้าไม่รู้! พี่กู้ชาง แต่แรกก็เป็นข้าที่ชอบท่าน ข้าชอบท่านก่อนนางเสียอีกเหตุใดข้าจะแต่งกับท่านไม่ได้!? ส่วนพี่ใหญ่ข้าได้ยินสาวใช้คุยกันว่าเสียใจมากจนหนีไปแล้ว ตั้งแต่เช้าจนป่านนี้ผ่านไปตั้งหลายชั่วยาม ป่านนี้นางหนีไปถึงเมืองอื่นแล้วกระมัง!”
นั่นเป็นประโยคที่ยาวที่สุดเท่าที่เมิ่งลี่อินเคยกล่าว และเป็นประโยคที่เป็นดั่งประกาศิตตัดสินนางในสายตาผู้อื่น เมิ่งลี่อินไม่กล้าเงยหน้ามองแต่รู้ว่าเขาจะต้องรังเกียจตนเองมากแน่ นางปิดเปลือกตาอย่างขมขื่น ในใจสิ้นหวังจนไร้เรี่ยวแรง