8 คนที่อยู่ข้างๆ
มนสิชารอไม่นานนักนายแพทย์ท่านหนึ่งก็ออกมาแจ้งอาการของผู้ป่วย
“หมอคะ ยายของฉันเป็นยังไงบ้างคะ” หญิงสาวถามด้วยความร้อนใจ
“ยายของคุณมีอาการน้ำท่วมปอดอาจจะต้องให้นอนโรงพยาบาลเพื่อให้ยาขับปัสสาวะจากนั้นก็ต้องประเมินดูอีกทีหนึ่งว่าหัวใจเป็นยังไงบ้าง”
“แล้วเรื่องที่จะต้องทำบอลลูนล่ะคะ”
“เรื่องนั้นเราค่อยดูกันอีกทีครับ ตอนนี้เราต้องรีบรักษาภาวะหัวใจวายเฉียบพลันก่อน เดี๋ยวเราจะย้ายยายของคุณไปนอนบนวอร์ดก่อนเพื่อรักษาอาการต่อครับ”
“หมอคะยายจะไม่เป็นอะไรมากใช่ไหมคะ”
“หมอยังให้คำตอบไม่ได้เพราะร่างกายของคนไข้ค่อนข้างอ่อนแออีกครั้งโรคต่างๆ ก็รุมเร้าตอนนี้ท่านยังตรวจเจอเบาหวานอีกด้วย”
“อะไรนะคะ ยายเป็นเบาหวานเหรอคะ” มนสิชาตกใจเพราะไม่เคยรู้เรื่องนี้มาก่อนเลย
“ครับระดับน้ำตาลในเลือดสูงมาก คงต้องตรวจละเอียดอีกครั้งถึงจะรู้ ระหว่างนี้จนถึงเช้าอย่าเพิ่งให้ยายคุณทานอะไรนะครับ จนกว่าจะเจาะเลือดในตอนเช้าของวันพรุ่งนี้”
“ได้ค่ะคุณหมอ แล้วมันจะอันตรายมากไหมคะ”
“ผมไม่รู้ว่าท่านเป็นมานานหรือยังนะ”
“ยายไม่เคยบอกเลยค่ะว่าเป็นเบาหวาน”
“แต่เท่าที่ตรวจวันนี้ระดับน้ำตาลในเลือกสูงมาก และถ้าระดับน้ำตาลสูงมากๆ มันก็อาจจะทำให้ท่านหมดสติได้ ถ้าตรวจแล้วท่านเป็นโรคเบาหวานจริงๆ พยาบาลจะให้คำแนะนำคุณเองว่าควรดูแลท่านยังไงบ้าง”
“ค่ะ คุณหมอ ขอบคุณมากๆ นะคะ”
ถ้ามนสิชารู้สึกว่าตัวเองนั้นผิดมากที่ทิ้งให้ยายของตนเองอยู่ตามลำพัง เธอคิดว่าถ้าอยู่ดูแลยายที่นี่อย่างใกล้ชิด สุขภาพของยายคงไม่แย่ขนาดนี้
หลังจากแพทย์เจ้าของไข้ออกไปแล้วพยาบาลกับพนักงานก็เข็นร่างของยายที่ยังหลับสนิทออกมาจากห้องฉุกเฉิน มนสิชารีบเดินเข้าไปหาทันที
“เดี๋ยวญาติเดินตามมาทางนี้นะคะ เราจะคนไข้ไปวอร์ดอายุรกรรมค่ะ”
“ขอโทษนะคะ ที่นี่มีห้องพิเศษไหมคะ” มนสิชาถามพยาบาล
“มีค่ะ แต่อาการของคนไข้ยังไม่คงที่หมอเลยอยากให้อยู่ห้องผู้ป่วยรวมไปก่อนค่ะ ถ้าหากมีอะไรเกิดขึ้นจะได้ช่วยเหลือทันค่ะ” พยาบาลประจำห้องฉุกเฉินบอกกับมนสิชา
เมื่อมาถึงวอร์ดพยาบาลก็แจ้งระเบียบการสำหรับการเฝ้าผู้ป่วยและการเยี่ยมให้กับมนสิชาและพ่อเลี้ยงทิศเหนือที่ขอเดินตามมาด้วยทราบ
“เหลือเวลาอีกหนึ่งชั่วโมงถึงจะหมดเวลาเยี่ยม ผมว่าคุณไปทานข้าวและเตรียมของใช้ที่จำเป็นสำหรับมานอนเฝ้ายายดีกว่าไหม”
“ฉันห่วงยาย ถ้าท่านตื่นมาแล้วไม่เจอฉันกลัวท่านเสียใจ”
“ผมจะอยู่เป็นเพื่อนท่านเอง หมอก็บอกแล้วว่าท่านอาจจะหลับถึงเช้าเพราะยาที่ท่านได้จะทำให้ท่านได้นอนพักอย่างเต็มที่”
“คุณจะกลับก่อนก็ได้ เดี๋ยวฉันจะโทรตามน้าสายหยุดมาเอง”
“คุณจะเฝ้าเองหรือให้น้าสายหยุดเฝ้าล่ะครับ”
“ฉันจะเฝ้าเองค่ะ”
“ถ้าอย่างนั้นก็ไม่ต้องให้น้าสายหยุดมาหรอก กว่าจะมาถึงก็หมดเวลาเยี่ยมกันพอดี คุณรีบไปเถอะ”
“ขอบคุณนะคะพ่อเลี้ยง ฉันไปไม่นานฝากยายด้วยนะคะ ถ้ามีอะไรด่วนคุณต้องรีบโทรหาฉันนะคะ”
หญิงสาวจึงรีบกลับไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าและเตรียมของใช้ที่จำเป็นสำหรับการนอนเฝ้าและของใช้สำหรับยายช่อเอื้องซึ่งพยาบาลบอกแล้วว่าต้องเตรียมอะไรบ้าง เธอกลับมาถึงโรงพยาบาลก็เกือบจะสองทุ่ม
“ผมขอตัวกลับก่อนนะ ถ้ามีอะไรก็โทรมาตามผมได้ตลอด” พ่อเลี้ยงทิศเหนือบอกกับมนสิชาที่ดูแล้วยังวิตกกังวลกับอาการป่วยของยายช่อเอื้องจนเห็นได้ชัด
“แค่นี้ฉันก็เกรงใจคุณมากแล้ว ถ้าไม่ได้คุณไม่รู้ว่ายายจะเป็นยังไงบ้าง”
“อย่าคิดมากเลยตอนนี้ยายคุณก็อยู่ใกล้หมอแล้ว อย่าลืมนะ มีอะไรโทรหาผมได้ตลอด”
“ค่ะ พ่อเลี้ยง”
พ่อเลี้ยงทิศเหนือออกจากโรงพยาบาลแล้วก็แวะทานข้าวที่ร้านอาหารตามสั่งด้านหน้าโรงพยาบาลก่อนตรงกลับบ้านของตนเอง
พอมาถึงแม่เลี้ยงบุปผาที่นั่งดูทีวีอยู่ก็รีบถามถึงการไปทานอาหารกับมนสิชาทันที
“เป็นยังไงบ้าง หนูน้ำปิงน่ารักไหม คุยสนุกหรือเปล่า แม่ว่าเราคงไม่ทำเฉยชาใส่เธอนะ แล้วนัดครั้งต่อไปเมื่อไหร่ล่ะ”
“ใจเย็นสิครับแม่” เขาหัวเราะเบาๆ ก่อนจะนั่งลงข้างๆ ผู้เป็นมารดา
“แม่อยากรู้ว่าเรากับหนูน้ำปิงพอจะมีโอกาสได้คบหาดูใจกันไหม”
“ผมว่าเรื่องนั้นเธอคงยังไม่คิดกรอกครับ”
“อ้าว! ทำไม หรือลูกทำให้เธอไม่พอใจอะไรหรือเปล่า”
“ที่ผมบอกว่าเธอคงยังไม่คิดอะไรเพราะตอนนี้เธอมีเรื่องให้ต้องคิดเยอะครับ ยายช่อเอื้องเพิ่งจะเข้าโรงพยาบาลเมื่อกี้นี้เอง”
“ตายจริง แล้วยายแกเป็นอะไรเยอะไหม หมอว่ายังไงบ้าง”
“หมอว่ายายมีน้ำท่วมปอดจากภาวะหัวใจวายเฉียบพลัน แล้วก็ระดับน้ำตาลในเลือดสูงครับ”
“อยู่โรงพยาบาลไหน พรุ่งนี้แม่จะได้ไปเยี่ยมแต่เช้า”
“โรงพยาบาลให้เข้าเยี่ยมได้แค่เที่ยงบ่ายโมงแล้วก็หกโมงเย็นถึงสองทุ่มครับแม่”
“ทำไมเยี่ยมได้นิดเดียว”
“มันเป็นโรงพยาบาลรัฐบาลนะครับแม่ เขาต้องกำหนดเวลา”
“หนูน้ำปิงเฝ้าคุณยายเองหรือให้สายหยุดเฝ้าล่ะ”
“เธอเฝ้าเองครับ”
“เธอคงลำบากแน่เลยนะ แม่เคยไปเฝ้าพ่อของเราอยู่เป็นเดือนต้องปูเสื่อนอนตรงพื้นระหว่างเตียงปวดเนื้อปวดตัวไปหมดเลยแหละ ถ้ายังไงแม่ว่าหนูน้ำปิงคงต้องหาคนมาเปลี่ยนเธอเฝ้าบ้าง”
“พรุ่งนี้แม่ก็ลองคุยกับเธอสิครับ”
“เหนือจะไปกับแม่ไหม”
“ถ้าว่างก็จะไปครับ” เขาตั้งใจจะไปอยู่แล้วเพราะรู้สึกเห็นใจมนสิชา แต่ถ้าตอบมารดาไปก็ไม่วายว่ามารดาจะรีบจับคู่ให้เขากับเธอซึ่งเขายังไม่คิดกับเธอไกลขนาดนั้น
“ว่างไม่ว่างก็ควรจะไปนะ หนูน้ำปิงกับยายช่อเอื้องไม่มีญาติที่ไหนเลย เราควรไปเยี่ยมนะ เธอคงกำลังเสียขวัญ”
“แล้วญาติคนอื่นๆ ละครับ ผมว่าเธอคงแจ้งข่าวไปทั่วแล้ว”
“เท่าที่แม่รู้ยายช่อเอื้องไม่เหลือญาติที่ไหนแล้วล่ะ เธอมีกันแค่สองคน ตั้งแต่เธอย้ายมาทำงานเป็นครูที่นี่ก็ไม่เคยเห็นเธอติดต่อกับใครอื่นเลย”
แม่เลี้ยงบุปผาเล่าเรื่องในอดีตของยายช่อเอื้องที่ย้ายมาทำงานเป็นครูที่นี่เมื่อ 26 ปีก่อน เธอมาพร้อมกับลูกสาวที่กำลังตั้งครรภ์ ไม่เคยมีใครเห็นว่าสามีของลูกสาวเป็นใคร พอชาวบ้านถามเธอก็บอกว่าพ่อของเด็กในท้องตายไปแล้ว และหลังจากคลอดลูกสาวได้ไม่กี่วันแม่ของมนสิชาก็กินยาฆ่าตัวตาย จากนั้นยายช่อเอื้องก็เลี้ยงหลานมาตามลำพัง
พอได้ฟังเรื่องครอบครัวของหญิงสาวความเห็นใจที่มีต่อมนสิชาก็มีมากขึ้นก็มากขึ้น
“ถ้างั้นผมจะเคลียร์งานให้เสร็จแล้วเราไปเยี่ยมด้วยกันตอนเที่ยงก็ได้”
“แม่จะทำอาหารไปให้ยายช่อเอื้องด้วย”
“ไม่ต้องหรอกครับแม่ ผมว่ายายไม่น่าจะทานอาหารปกติได้”
“งั้นเราเอาไปให้หนูน้ำปิงก็ได้”
“แล้วแต่แม่เลยครับ”