7 ในเวลาที่อ่อนแอ
หลังจากรื้อถอนบ้านของตาสักไปแล้วพ่อเลี้ยงทิศเหนือก็ปรับพื้นที่เตรียมไว้โดยเขายังไม่รู้ว่าจะสร้างอะไรแต่ก็ไม่อยากให้ที่มันดูรกร้างจนเกินไป
“ขอโทษด้วยนะครับยายที่ช่วงนี้ผมทำเสียงดังรบกวนคุณยายมากไปหน่อย” พ่อเลี้ยงเดินมาคุยกับยายช่อเอื้องที่บ้านหลังจากที่ตนเองสั่งงานกับคนงานไว้แล้ว
“ไม่รบกวนหรอกจ้ะพ่อเลี้ยง พอเข้าบ้านแล้วเสียงมันก็ไม่ดังเท่าไหร่ แล้วนี่พ่อเลี้ยงคิดจะทำอะไรเหรอ ยายเห็นปรับที่ไว้เรียบเชียว”
“ยังไม่รู้เลยครับ ยายว่าผมจะทำอะไรดีล่ะ”
“มาถามคนแก่อย่างยายจะได้ประโยชน์อะไรล่ะ”
“ได้สิครับ ยายมีประสบการณ์มากกว่าผมนะครับ”
“ยายก็เป็นแค่ครูที่เกษียณแล้วเท่านั้นเองเรื่องธุรกิจไม่รู้เรื่องกับเขาหรอก”
“ผมเคยคิดจะทำหอพักนะครับ แต่ก็กลัวจะวุ่นวายและรบกวนคนอื่น”
“มันเป็นที่ของพ่อเลี้ยง ถ้าอยากจะทำอะไรก็ทำเลย”
“หรือบางทีผมอาจจะทำเป็นอาคารพาณิชย์ให้คนเช่า ยายว่าดีไหมครับ”
“เข้าท่าดีนะ เก็บค่าเช่าไปเรื่อยๆ”
“นั้นสิครับ ผมว่าจะลองปรึกษาแม่อีกที ถ้าถึงตอนนั้นผมจะให้ยายไปอยู่ที่บ้านผมดีไหม เสียงจะได้ไม่รบกวน” พ่อเลี้ยงเข้าใจดีว่าสุขภาพของยายช่อเองไม่ค่อยดีเท่าไหร่เขาจึงอยากให้ท่านได้พักโดยไม่มีเสียงรบกวน
“อย่าให้ต้องถึงขนาดนั้นเลย แค่อย่าทำจนดึกดื่นก็พอแล้ว” ยายช่อเอื้องเป็นคนติดบ้าน การจะให้ย้ายไปอยู่ที่ไหนจึงเป็นเรื่องยากพอสมควร
“ผมจะลองถามหลานสาวคุณยายดูครับว่าเธอจะเอายังไง แล้วนี่เธอไปไหนล่ะครับ ผมมาตั้งนานยังไม่เห็นเลย”
“น้ำปิงไปสมัครงานน่ะ”
“สมัครงานเหรอครับ”
“จ้ะ”
“ขอโทษนะครับยาย ผมขอถามหน่อยว่าเธอเคยทำงานอะไรมาก่อน”
“ตอนอยู่อเมริกาน้ำปิงทำงานเป็นเลขาน่ะ แต่ที่ไปสมัครวันนี้เป็นโรงเรียนสอนภาษา”
“อ้อ” พ่อเลี้ยงพยักหน้าเข้าใจ
ตั้งแต่วันที่เจอกันครั้งแรกจนถึงตอนนี้เขาก็ยังไม่ได้เจอกับมนสิชาอีกเลย แม้ว่าเขาจะมาที่บ้านของยายช่อเอื้องอยู่หลายครั้งแต่หญิงสาวก็ออกไปข้างนอกตลอด
“เธอคงต้องปรับตัวมากๆ เลยนะครับ”
“ใช้จ้ะ ยายสงสารหลายสาวที่จู่ๆ ก็ต้องรีบกลับมาดูแลยาย ยายก็บอกไปแล้วนะว่าไม่ได้เป็นอะไรมาก แต่น้ำปิงก็ยืนยันจะกลับมา นี่ก็คงจะอยู่ยาวเลย” ยายช่อเอื้องไม่อยากทำให้หลานสาวลำบากและทิ้งเงินเดือนมากแล้วกลับมาอยู่กับตน แต่มนสิชาก็บอกว่าเธอยินดีจะอยู่กับยายที่ที่และไม่คิดจะกลับไปทำงานที่อเมริกาอีก
“เธอคงเป็นห่วงยายนั่งแหละครับ”
“ยายรู้นะว่าน้ำปิงเป็นห่วงยายมากแต่ถ้าจะให้ยายย้ายไปอยู่ที่อเมริกายายก็ไม่อยากไป มันไม่ใช่บ้านเรา”
“ผมเข้าใจครับ อยู่ที่ไหนก็ไม่สบายใจเหมือนอยู่บ้านเราหรอกนะครับ บางทีน้ำปิงก็อาจจะคิดเหมือนคุณยายก็ได้เธอเลยกลับมาอยู่กับยาย”
“คุยกับพ่อเลี้ยงยายสบายใจขึ้นเยอะเลย”
“แล้วผมจะแวะมาคุยด้วยบ่อยๆ นะครับ” พ่อเลี้ยงทิศเหนือบอกกับยายช่อเอื้องทั้งที่ตัวเองก็งานยุ่งมาก แต่ก็รับปากท่านไปแบบนั้นเพราะรู้สึกว่าตอนนี้ท่านกำลังเหงา
วันนี่เป็นวันเสาร์ซึ่ง เป็นวันที่พ่อเลี้ยงทิศเหนือไปทานข้าวกับมนสิชา เขามาถึงบ้านของเธอในเวลาหกโมงเย็นทั้งที่นัดกับหญิงสาวไว้ในเวลาหนึ่งทุ่มเพราะเธอมีสอนที่โรงเรียนกวดวิชาแต่ที่เขามาถึงก่อนก็เพราะอยากจะมาคุยกับยายของเธอ เนื่องจากรู้สึกว่าการได้คุยกับยายช่อเอื้องทำให้เขาได้แง่คิดหลายๆ อย่าง แต่ก็ต้องแปลกใจเพราะทั้งบ้านเงียบสนิท
“ยายช่อเอื้องอยู่ไหมครับ น้าสายหยุดอยู่ไหมครับ ผมพ่อเลี้ยงทิศเหนือเองครับ มีใครอยู่ไหม” เขาตะโกนเรียกไปหลายครั้งแต่ก็ไม่ได้ยินเสียงคนตอบรับ ชายหนุ่มจึงคิดว่ามนสิชาอาจจะพายายของเธอและคนดูแลออกไปข้างนอกเพื่อหลบนัดเขาก็เป็นได้
พอเลี้ยงทิศเหนือหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาแล้วกดโทรออกไปหาหญิงสาวเพื่อจะได้รู้ว่าเธอจะเบี้ยวนัดเขาจริงๆ อย่างที่เขาคิดไว้ไหม เพราะคนอย่างเขาไม่มีทางยอมให้ใครมาล้อเล่นแบบนี้อย่างแน่นอน
“สวัสดีค่ะพ่อเลี้ยง ยังไม่ถึงเวลานัดเลยนะคะ” หญิงสาวตอบแบบกระซิบเพราะขณะนี้เธอกำลังให้นักเรียนที่สอนฝึกแต่งประโยคอยู่
“คุณอยู่ที่ไหนเหรอน้ำปิง”
“ฉันก็อยู่ที่โรงเรียนกวดวิชาไงคะ นี่ยังไม่ถึงเวลาเลิกงานเลย”
“แล้วคุณยายคุณล่ะ”
“ท่านก็อยู่ที่บ้านสิคะ”
“แต่ตอนนี้ผมอยู่หน้าบ้านคุณไง แต่ไม่เห็นมีใครอยู่เลย ไฟทั้งบ้านมืดสนิท ผมเรียกทั้งยายคุณทั้งน้าสายหยุดก็ไม่เห็นมีใครตอบ”
“วันนี้น้าสายหยุดไม่มาค่ะ คุณยายอยู่คนเดียว พ่อเลี้ยงคะ ฉันขอรบกวนคุณสักอย่างได้ไหม”
“ว่ามาสิ” พ่อเลี้ยงหนุ่มรู้สึกว่าตอนนี้คนปลายสายกำลังวิตกกังวลอยู่มากจึงรีบรับปาก
“คุณช่วยเปิดเข้าไปในบ้านได้ไหมคะ วันนี้ฉันไม่ได้ล็อกประตูรั้ว ฉันรู้สึกเป็นห่วงยายยังไงก็ไม่รู้ กุญแจบ้านอยู่ใต้กระถางต้นไม้ต้นที่สามนับจากซ้ายมือค่ะ”
“ได้สิ ผมวางก่อนนะ ได้เรื่องยังไงแล้วจะรีบโทรบอก” พ่อเลี้ยงเปิดประตูรั้วเข้าไปขณะที่ปากก็ตะโกนเรียกชื่อยายช่อเอื้องไปด้วย
หลังจากเปิดประตูบ้านได้เขาก็ควานสวิตช์ไฟ พอไฟกลางห้องรับแขกสว่างขึ้นภาพที่เห็นก็ทำเขาตกใจอยู่ไม่น้อย
“ยาย ครับยาย ยายเป็นอะไร” พ่อเลี้ยงหนุ่มรีบเข้าไปประคองหญิงสูงวัยที่นั่งอยู่บนโซฟาด้วยใบหน้าที่ซีดท่าทางดูอ่อนแรง
“พ่อเลี้ยงเองเหรอ ยายนึกว่าหนูน้ำปิงกลับมาแล้ว” เสียงของยายช่อเอื้องฟังดูเหนื่อยหอบ
“ผมเองครับ ยายไม่สบายใช่ไหมหน้ายายซีดมากเลยนะครับ”
“ยายแค่เวียนหัวและรู้สึกไม่มีแรงนิดหน่อย”
“ผมว่าไม่นิดแล้วนะครับ ไปโรงพยาบาลกันก่อนดีกว่านะครับ”
พ่อเลี้ยงหนุ่มพูดจบก็อุ้มยายช่อเอื้องออกมาจากบ้านและตรงไปยังรถของตนที่จอดอยู่ทางด้านหน้า พอรถเคลื่อนตัวออกเขาก็โทรหามนสิชา
“ว่าไงคะพ่อเลี้ยง เจอยายฉันไหม”
“เจอครับ ท่านดูเหนื่อยๆ ผมกำลังพาไปโรงพยาบาล ว่าแต่ยายคุณรักษาที่โรงพยาบาลไหน ผมจะได้พาไปถูก”
มนสิชาบอกชื่อโรงพยาบาลที่ยายของตนรักษาอยู่จากนั้นตนเองก็รีบไปบอกผู้จัดการโรงเรียนกวดวิชาเพื่อขอตัวกลับก่อนทั้งที่ยังเหลือเวลาสอนอีกครึ่งชั่วโมงและเธอจะมาสอนชดเชยเวลาให้
มนสิชาก็มาถึงโรงพยาบาลหลังจากหลังจากนั้นอีกยี่สิบนาที หญิงสาวรีบตรงไปยังห้องฉุกเฉินซึ่งตอนนี้พ่อเลี้ยงทิศเหนือกำลังนั่งอยู่ตรงเก้าอี้หน้าห้อง
“พ่อเลี้ยงคะยายเป็นยังไงบ้าง”
“ผมก็ไม่รู้เหมือนกันเห็นท่านเหนื่อยเหนื่อยแล้วก็หายใจหอบตอนนี้หมอคงกำลังตรวจอยู่”
“ฉันไม่น่าทิ้งยายไว้คนเดียวเลยทั้งที่รู้ว่าวันนี้น้าสายหยุดไม่อยู่ก็ยังจะออกมาทำงานอีก”
“ไม่ใช่ความผิดของคุณหรอกน่า ยังไงคนเราก็ต้องทำหน้าที่ของตนเองไม่มีใครรู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้น”
“แต่ฉันเป็นห่วงยาย”
“ผมว่าไงคุณอยู่ในมือหมอแล้วไม่น่าจะต้องห่วงอะไรมากหรอก คุณอย่าคิดมากเลย”
“ท่านจะไม่เป็นอะไรมากใช่ไหม” หญิงสาวถามเพราะเขาเป็นคนเดียวที่เห็นสภาพของยายเธอตอนอยู่ที่บ้าน
“ผมว่าไม่น่าจะมีอะไรน่าเป็นห่วงนะเท่าที่ดูท่านก็แค่อาจจะเหนื่อยเท่านั้น”
“แต่ฉันกลัวมันจะไม่เป็นแบบนั้นน่ะสิ ยายของฉันเป็นโรคหัวใจกำลังรอทำบอลลูนอยู่” หญิงสาวพูดด้วยความกังวล
เธอเดินวนไปวนมาอยู่หน้าห้องฉุกเฉินระหว่างที่แพทย์และพยาบาลกำลังให้การช่วยเหลือยายของเธออยู่ด้านใน