6 ข้อเสนอเพิ่ม
เมื่อต่างฝ่ายต่างไม่ยอมการเสนอราคาครั้งนี้ก็ไม่ต่างอะไรกับการประมูลสักเท่าไหร่
“ผมชักสนุกกับเกมของคุณแล้วสิน้ำปิง”
“ถ้างั้นพ่อเลี้ยงก็เสนอราคามาสิคะ ฉันนับหนึ่งถึงสามแล้วคุณวางโทรศัพท์ตรงหน้าตาสักนะ”
“เดี๋ยวสิ ไหนๆ ก็จะทำแบบนี้แล้วผมขออะไรอีกอย่างได้ไหมล่ะ”
“อะไรคะ” มนสิชาเลิกคิ้วถาม
“ถ้าตาสักขายบ้านให้ผมคุณต้องไปกินข้าวกับผมหนึ่งมื้อ ตกลงรับข้อเสนอของผมไหมล่ะ”
“ทำไมฉันต้องรับข้อเสมอของคุณล่ะคะ”
“เพราะถ้าคุณไม่ทำตามข้อเสนอของผมอาจจะเอาสัญญาที่จะตาสักเซ็นไว้มาเป็นหลักฐานฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายได้นะ”
“ได้สิงั้นฉันตกลง แต่บอกก่อนนะ ถ้าคุณแพ้ทั้งบ้านและที่ดินของตาสักจะเป็นของฉัน”
“แน่นอน” พ่อเลี้ยงหนุ่มให้คำมั่น
ทั้งสองคนแทบจะไม่ต้องใช้เวลาคิดเพราะต่างก็มีตัวเลขในใจอยู่แล้ว
“ส่งโทรศัพท์มาสิ คว่ำหน้าจอไว้ทั้งสองคนนั่นแหละ” แม่เลี้ยงบุปผาบอก
พ่อเลี้ยงเป็นคนวางโทรศัพท์ลงก่อน จากนั้นมนสิชาก็วางตามลงไป
“ตาสักหงายขึ้นมาสิ ดูซิว่าเขาให้ราคาที่พอใจไหม”
“ครับแม่เลี้ยง” เจ้าของบ้านค่อยๆ เอื้อมมืออันเหี่ยวย่นของตนเองไปพลิกโทรศัพท์ทั้งสองเครื่องให้หงายขึ้น เขามองหน้าสองคนสลับไปมาเมื่อเห็นว่าตัวเลขมันเท่ากันอย่างน่าประหลาดใจ
“มันเท่ากันแบบนี้ผมจะต้องขายให้ใครล่ะ” เขาถามทั้งสามคนด้วยสีหน้างงงัน
“หนูแล้วแต่ตาเลยค่ะ” มนสิชาบอกชายสูงวัยที่ดูลังเล
“น้ำปิงตาต้องขอโทษที่ขายให้หนูไม่ได้แล้ว เพราะราคามันเท่ากันอย่างนี้ตาก็ต้องยอมให้พ่อเลี้ยงเอาบ้านและที่ดินไป เพราะตารับเงินเขามาแล้วครึ่งหนึ่ง”
“ไม่เป็นไรค่ะตา เรื่องนี้หนูเข้าใจ”
“ผมจะให้คนงานเข้ามารื้อถอนวันนี้เลยนะตาสัก ผมไม่อยากเสียเวลาแล้ว”
“พ่อเลี้ยงจะซื้อจริงๆ ใช่ไหม ไม่ใช่ว่ารื้อถอนบ้านผมไปแล้วมากลับคำทีหลังนะครับ”
“ผมไม่ใช่คนแบบนั้นถ้าตาไม่มั่นใจเราก็ไปโอนที่กันวันนี้เลยไหม
“ไม่ต้องกลัวตาสัก ฉันเป็นผู้ใหญ่พอและครอบครัวเราก็ทำธุรกิจนี้มานาน เราไม่เอาชื่อเสียงมาแลกกับเรื่องแค่นี้หรอก”
“ถ้าแม่เลี้ยงช่วยยืนยันอีกเสียงผมก็ตกลง” ตาสักกล่าวเสียงหนักแน่น
“ตาสักก็ตกลงขายที่ให้ผมแล้ว ที่นี่ก็เหลือคุณนะมนสิชา”
“ทำไมเรียกห่างเหินแบบนั้นทิศเหนือ เรียกว่าน้ำปิงสิ” แม่เลี้ยงบุปผารีบบอกลูกชาย
“น้ำปิง คุณอย่าลืมสัญญานะว่าคุณจะต้องไปกินข้าวกับผม”
“ฉันไปสัญญากับคุณตอนไหน”
“แม่ดูสิคะหนูน้ำปิงของแม่ก็ผิดสัญญา” เขาฟ้องมารดาตัวเองราวกับเป็นเด็กน้อย
“หนูน้ำปิงมีอะไรหรือเปล่า ถ้าไม่รังเกียจลูกชายป้ายังไงก็ไปทานข้าวกับพี่เขาซักมือสิ”
“ก็ได้ค่ะ น้ำปิงไม่ใช่คนไม่รักษาสัญญา ที่พูดเมื่อกี้ก็แค่อยากจะรู้ว่าถ้าน้ำปิงปฏิเสธพ่อเลี้ยงจะทำยังไงต่อ” หญิงสาวรีบแก้ตัวไปนี้ขุ่นๆ ทั้งที่จะแท้จริงแล้วเธอตั้งใจจะเบี้ยวนัดเขา
และเพราะคิดว่าเขาจะต้องยุ่งกับการรื้อถอนบ้านของตาสักแต่พอเขาพูดแบบนี้คนอย่างมนสิชาก็รักษาคำพูด
“ยังไงฉันก็อยู่ที่นี่ไม่ไปไหน คุณจัดการเรื่องบ้านตาสักให้เรียบร้อยก็ได้ แล้วค่อยมานัดกันอีกทีว่าจะไปกินข้าววันไหน” มนสิชาพยายามถ่วงเวลา เพราะจู่ๆ จะให้เธอไปกินข้าวกับใครก็ไม่รู้มันก็ดูอันตราย และระหว่างนี้เธอก็ไปสอบถามเรื่องราวของเขากับยายไม่ก็คนละแวกใกล้เคียงเพื่อเป็นข้อมูลไว้ก่อนเพราะไม่รู้ว่าเขาไว้ใจได้มากแค่ไหน
“ไม่ใช่คิดจะหาทางเบี้ยวนัดผมนะ”
“ฉันเป็นคนพูดคำไหนคำนั้น เสาร์หน้าคุณนัดมาได้เลยว่าจะไปกินที่ไหนกี่โมง”
“แล้วผมจะโทรบอกอีกทีนะ จริงสิผมยังไม่มีเบอร์ของคุณเลย”
“นี่คือการขอเบอร์โทรผู้หญิงของคุณเหรอคะ”
“ก็ถ้าผมไม่ขอเบอร์คุณ เราจะคิดต่อกันยังไงล่ะ”
พอเขาพูดแบบนั้นมนสิชาเลยต้องให้เบอร์กับเขาอย่างเสียไม่ได้
“คุณป้าก็จะไปทานข้าวด้วยใช่ไหมคะ”
“ป้ายังไม่แน่ใจ แต่ถ้าว่างก็จะไปด้วย” แม่เลี้ยงบุปผารับปากไปก่อน แต่การไปทานข้าวกับมนสิชาและทิศเหนือไม่เคยอยู่ในความคิด เธออยากให้ทั้งสองคนไปทานข้าวกันตามลำพังมากกว่า
หลังจากกลับมาจากบ้านของตาสักแล้วมนสิชาก็เข้ามาคุยกับยายช่อเอื้องที่ตอนนี้ไปฉีดสีที่โรงพยาบาลเอกชนและได้ผลการตรวจมาแล้วและอีกสองสัปดาห์ก็จะถึงกำหนดไปทำบอลลูนหัวใจที่โรงพยาบาล
“เป็นยังไงล่ะ พ่อเลี้ยงยอมซื้อทั้งบ้านและที่ดินไหมลูก”
“ยอมค่ะยาย”
“เราก็ไม่น่าไปบอกตาสักให้ต่อรองกับพ่อเลี้ยงแบบนั้นเลย ถ้าเกิดเขาไม่ซื้อขึ้นมาจะทำยังไง”
“มันก็ต้องลองเสี่ยงดูนี่คะ ถ้าเขาไม่ยอมซื้อหนูก็จะบอกตาสักให้ยอมขายแค่บ้านแต่ยังไงก็ต้องได้ต่อรองก่อน จริงๆ แล้วหนูก็อยากได้ที่ของตาสักนะคะ มันติดบ้านเราเลยแต่คิดไปคิดมาก็ไม่รู้ว่าจะซื้อมาทำอะไร”
“นั้นสิ นี่ก็ไม่รู้ว่าพ่อเลี้ยงจะซื้อไปทำอะไรเหมือนกัน”
“แหมคนรวยๆ เขาก็ซื้อเก็บไว้กันทั้งนั้นแหละค่ะ”
“นั้นสินะ คนรวยอย่างพ่อเลี้ยงเงินแค่นี้คงไม่เดือดร้อนอะไร”
“ยายรู้จักกับพ่อเลี้ยงทิศเหนือและแม่เลี้ยงบุปผามานานหรือยังคะ”
“นานมากแล้วล่ะ”
“ยายคะ หนูมีเรื่องจะถามยายนิดหน่อยค่ะ”
“เรื่องพ่อเลี้ยงเหรอ”
“ค่ะยาย”
มนสิชาเล่าเรื่องเมื่อครู่ที่บ้านของตาสักให้กับผู้เป็นยายฟังเพราะอยากฟังความเห็นว่าเธอควรจะไปทานข้าวกับพ่อเลี้ยงทิศเหนือดีไหม หรือจะหาทางบ่ายเบี่ยงไปก่อน
“รับปากเขาแล้วก็ต้องไปสิน้ำปิง”
“แต่หนูยังไม่รู้จักเขาเลยนะคะ หนูไม่กล้าไว้ใจไปไหนมาไหนกับเขาหรอกค่ะยาย”
“ครอบครัวเขามีชื่อเสียงในเมืองนี้ เขาคงไม่ทำอะไรเราหรอกน่าอย่ากลัวไปเลย ถ้าเขาชวนเราตรงๆ ก็ถือว่าเขาให้เกียรติเรานะ อีกอย่างแม่เขาก็อยู่ด้วยตอนที่เขาชวนนี่ ถ้าเขาจะคิดทำอะไรเราเขาคงไม่ชวนหนูต่อหน้าแม่เขาหรอกนะน้ำปิง” คุณยายช่อเอื้องพูดกับหลานสาวตามประสาคนที่ผ่านโลกมามาก