บทที่ 3 อิงฟ้า 1.1
ฉันชื่อมณฑิตา ม่านธารา ชื่อเล่นอิงฟ้าอายุ 23 ปีเป็นสัตวแพทย์จบใหม่ พอจบปุ๊บยังไม่ทันได้รับปริญญาก็ถูกพ่อกับแม่พามาที่ไร่เพลิงตะวันแห่งนี้ ฉันรู้แต่เพียงว่าพ่อกับแม่ติดหนี้เจ้าของไร่เป็นเงินจำนวนสิบล้านและไม่มีเงินมาจ่าย
นั่นยังไม่ทำให้ฉันช็อกเท่ากับพ่อแม่พาฉันมาทิ้งไว้ที่นี่เพื่อเป็นการขัดดอกแทนการใช้หนี้
ในตอนแรกที่ฉันได้ยินพ่อกับแม่คุยกันเรื่องที่พี่พลอยใสไปก่อเรื่องทำให้ต้องถูกยกเลิกงานแต่งที่กำลังจะถึงในไม่กี่เดือนข้างหน้าส่วนตัวเองก็หนีไปพร้อมกับผู้ชายอีกคน
และเจ้าหนี้ก็ส่งทนายมาคุยเรื่องหนี้สินกับพ่อกับแม่สุดท้ายฉันจึงมาลงเอยที่ไร่แห่งนี้และน้อมรับด้วยความเต็มใจเพราะว่าที่ไร่แห่งนี้เป็นที่แห่งความทรงจำ ในตอนแรกที่ได้ฟังชื่อก็ไม่คิดว่าจะเป็นไร่เดียวกันกับที่เคยมาเที่ยวเล่นตอนเด็ก
แต่เมื่อได้ผ่านเข้ามาในรั้วไร่แห่งนี้ความทรงจำในตอนเด็กก็ตีกลับเข้ามาอย่างจังเหมือนกับไม่เคยลืมเลือน ถึงแม้ว่าตอนนี้จะต่างจากเมื่อครั้งยังเด็กมากเพราะพื้นที่ถูกปรับเปลี่ยนไปจนไม่มีเคล้าโครงเดิม ทั้งสิ่งปลูกสร้างมากมายดูเจริญหูเจริญตากว่าครั้งที่ฉันมาตอนเด็กมากมายนัก
พอเข้าไร่มาอันดับแรกที่เห็นคือคาเฟ่ขนาดใหญ่ที่มีพื้นที่ให้นั่งชมบรรยากาศกว้างขวางสามารถนั่งชิลท่ามกลางธรรมชาติสีเขียว ๆ และอากาศที่เย็นสบาย บรรยากาศโดยรอบดูสบาย ๆ รายล้อมไปด้วยต้นไม้น้อยใหญ่มากมายร่มรื่นเย็นฉ่ำเหมาะสำหรับการพักผ่อนและเป็นจุดที่มีคนพลุกพล่านมากที่สุด ฉันสูดอากาศสดชื่นเข้าปอดอย่างเต็มที่ธรรมชาติแบบนี้เป็นสิ่งที่ฉันชอบมากที่สุดในชีวิต
ครั้งหนึ่งฉันเคยฝันว่าอยากอยู่ในที่ที่รายล้อมด้วยธรรมชาติแบบนี้ ฉันมองคาเฟ่ด้วยสายตาชื่นชม มันสวยมากจนอยากเห็นหน้าคนออกแบบเลยทีเดียว ฉันมองตัวร้านที่ถูกออกแบบในสไตล์โมเดิร์นแทรกเข้าไปกับต้นไม้ใหญ่ตกแต่งอย่างสวยงาม กลมกลืนกับธรรมชาติได้เป็นอย่างดีนอกจากนั้นยังมีซุ้มที่นั่งในสวนที่สามารถเลือกนั่งได้ตามใจและเหมือนว่าด้านในยังเป็นรีสอร์ทเพราะมีป้ายชี้ทางระบุชื่อรีสอร์ทไร่เพลิงตะวัน ซึ่งฉันก็ไม่รู้ว่ามันมีตั้งแต่เมื่อไรเพราะในตอนเด็กพื้นที่ตรงนั้นยังเป็นเพียงที่กว้างสุดลูกหูลูกตาแค่นั้น
กระทั่งรถเลี้ยวเข้ามายังภายในบริเวณรั้วบ้านไม้สักหลังใหญ่ ฉันนั่งรอพ่อกับแม่คุยกับเจ้าของบ้านโดยที่ฉันได้แต่นั่งรออยู่ด้านนอกไม่ได้เข้าไปด้วยเพราะถูกพ่อกับแม่สั่งห้าม จนเวลาล่วงเลยมานานพ่อกับแม่ก็ออกมาด้วยสีหน้ายิ้มแย้มและหันมาพูดคุยกับฉันให้ฉันทำตัวดี ๆ
ฉันที่กำลังจะร้องไห้ก็ถูกแม่ทั้งหยิกทั้งตีแถมยังทิ้งท้ายห้ามให้ฉันหนีไปไหนจนกว่าทำงานขัดดอกใช้หนี้พ่อเลี้ยงหมด โดยบอกกับฉันเพียงว่าอยู่ที่นี่ให้ทำตัวดี ๆ พ่อเลี้ยงจะได้เมตตาและไม่ต้องหาทางกลับไปที่บ้านอีก พูดจบก็พากันขึ้นรถออกไปโดยทิ้งฉันกับกระเป๋าเป้ใบเดียวที่ฉันมีติดมือมาจากหอพักในตอนที่พวกท่านไปรับกับตุ๊กตากระต่ายหูยาวที่ฉันไม่เคยทิ้ง ถึงแม้จะทำใจมาบ้างแล้วแต่การที่พ่อกับแม่ทิ้งฉันไปด้วยใบหน้าชื่นมื่นก็อดทำให้รู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจไม่ได้ ยังไงฉันก็เป็นได้แค่ลูกชังอยู่วันยังค่ำ
หลังจากนั้นแม่เลี้ยงก็พาฉันมาพูดคุยเรื่องข้อตกลงหลังจากเข้ามาอยู่ด้วยกัน ตอนแรกแม่เลี้ยงเหมือนกับยังไม่ไว้ใจฉันมากนักแต่ฉันก็เข้าใจดีเพราะครอบครัวฉันก็ทำกับพวกท่านไว้มากแต่อย่างไรก็ตามฉันตั้งใจไว้แล้วว่าจะขอไถ่โทษแทนครอบครัวและขอชดใช้สิ่งที่พี่สาวได้ทำลงไป
แม่เลี้ยงที่เห็นว่าฉันตั้งใจแน่วแน่ก็พาฉันเข้ามาที่บ้านใหญ่และให้ฉันเป็นคนดูแลลูกชายตามที่ฉันต้องการ ทำให้ตอนนี้ฉันมาอยู่ที่บ้านพ่อเลี้ยงด้วยสภาพไม่ดีนัก ทำงานวันแรกก็หัวแตกจนได้เลือดไม่รวมที่ตัวเองต้องอกสั่นขวัญหายจากอารมณ์รุนแรงของพ่อเลี้ยงอีกแต่ถึงอย่างนั้นฉันก็ยังเต็มใจที่จะเป็นคนดูแลพ่อเลี้ยง
ฉันเข้าใจว่าทำไมพ่อเลี้ยงถึงกลายเป็นคนอารมณ์ร้ายจากที่แต่ก่อนเป็นผู้ชายที่ทำงานทุกวัน เป็นที่พึ่งเป็นเจ้านายของคนงานนับพันแต่มาวันนี้กลายเป็นคนที่ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ก็คงต้องหงุดหงิดเป็นธรรมดา
จากคนที่ใน วันหนึ่ง ๆ สามารถทำอะไรได้ตั้งหลายอย่างแต่ต้องมามีสภาพแบบนี้ ฉันเองยังรู้สึกสงสารพ่อเลี้ยงไม่น้อย
แม่เลี้ยงแนะนำฉันให้รู้จักกับคนที่นี่และบอกว่าฉันจะเป็นคนดูแลพ่อเลี้ยงนับต่อจากนี้แทนน้าไทที่ฉันเพิ่งรู้ว่าเป็นทั้งผู้ช่วยกึ่งพี่ชายคนสนิทที่อยู่ด้วยกันมาตั้งแต่เด็ก และคอยดูแลที่นี่ในระหว่างที่พ่อเลี้ยงไปเรียนที่กรุงเทพ จนมารับช่วงต่อจากแม่เลี้ยงและทำงานไปด้วยกัน น้าไทมีอายุมากกว่าพ่อเลี้ยงและเป็นลูกชายคนเดียวของแม่นมประนอม น้าไทเป็นเสมือนมือซ้ายพ่อเลี้ยงให้ความไว้ใจมากและเคารพไม่ต่างจากพี่ชายแท้ ๆ และเป็นคนเดียวที่พ่อเลี้ยงให้เข้าไปดูแลใกล้ชิด ส่วนคนอื่นอย่าหวังว่าจะเข้าไปถึงตัวพ่อเลี้ยง นอกจากแม่เลี้ยง น้าไทและแม่นมประนอมแล้วก็ไม่มีคนอื่นเข้าไปยังพื้นที่ส่วนตัวของพ่อเลี้ยงได้อีก แต่เพราะวันนี้ฉันได้รับหน้าที่ดูแลพ่อเลี้ยงจากการขอร้องอ้อนวอนของฉันเอง
ฉันเข้าไปยังพื้นที่ส่วนตัวของพ่อเลี้ยงโดยที่พ่อเลี้ยงไม่ได้รับอนุญาตพอพ่อเลี้ยงตื่นขึ้นมาเห็นฉันเท่านั้นแหละ เหมือนเกิดสงครามโลกครั้งที่สามเลยก็ว่าได้ ทุกอย่างที่อยู่ใกล้มือพ่อเลี้ยงถูกเขวี้ยงลงพื้นด้วยความโกรธจัด ทันทีที่เห็นคนแปลกหน้าเข้ามายังพื้นที่ของตัวเอง ฉันไม่มีโอกาสได้พูดอะไรเลยด้วยซ้ำเสียงที่ได้ยินมีแต่เสียงข้างของเครื่องใช้ที่อยู่ใกล้มือปาแตกลงพื้นกระจัดกระจายและฉันเองก็ได้ที่เขี่ยบุหรี่เป็นรางวัล มันถูกปามาที่หน้าฉันอย่างเฉียดฉิวเหมือนไม่ตั้งใจเพราะถ้าตั้งใจกว่านี้ฉันน่าจะโดนเย็บสักยี่สิบเข็ม
ตอนนี้ฉันมานั่งให้หมอทำแผลอย่างคนเหม่อลอยรู้สึกอ่อนล้าคิดไม่ตกว่าจะทำอย่างไรให้พ่อเลี้ยงไม่เกลียดฉันมากไปกว่านี้
นึกไปถึงเมื่อครั้งยังเด็กพ่อเลี้ยงคงลืมไปแล้วว่ามีเด็กหญิงตัวน้อยที่เข้ามาวิ่งเล่นในไร่เมื่อสิบหกปีก่อนแถมยังคอยตามตูดต้อย ๆ ยามพ่อเลี้ยงไปทำงานในไร่และพ่อเลี้ยงยังชอบเอาขนมมาให้ฉันตลอด
ฉันนึกไปถึงตอนเด็ก ๆ จำได้ว่าช่วงหนึ่งที่พ่อกับแม่และพี่สาวพากันไปเที่ยวต่างประเทศทิ้งฉันอยู่กับน้าดาที่เป็นพี่เลี้ยงในตอนนั้น แต่พอดีพ่อของน้าดาป่วยหนักน้าดาขอมาเยี่ยมพ่อและพาฉันมาที่นี่ด้วย เพราะพ่อของเธอทำงานเป็นคนงานอยู่ที่นี่ หลังจากนั้นไม่นานพ่อของเธอก็เสีย
ตอนนั้นฉันเองก็ไม่เข้าใจว่าทำไมถึงไม่ได้ไปเที่ยวเหมือนพี่สาวบ้าง ไม่เข้าใจว่าเหตุใดพ่อกับแม่จึงทิ้งให้ฉันอยู่บ้านกับพี่เลี้ยงเพียงลำพัง มาถึงตอนนี้ฉันเองก็ยังไม่เข้าใจในสิ่งที่พวกท่านทำแต่ก็ช่างเถอะยังไงพวกท่านก็เลี้ยงดูฉันมา ถึงจะดูทิ้งขว้างไปบ้างก็ตาม
หลังจากนั้นไม่นานน้าดาก็บอกว่าตัวเองต้องไปแล้ว จำได้ว่าฉันเสียใจมากที่พี่เลี้ยงเพียงคนเดียวที่เข้าใจฉันดีที่สุดลาออกไปถึงจะมีคนมาแทนก็ไม่เหมือนกับน้าดาที่เข้าใจและให้ความรักเสมือนแม่อีกคนวันไหนที่มีงานที่โรงเรียนคุณแม่ไม่ว่างก็ได้น้าดานี่แหละที่ไปเป็นผู้ปกครองขนาดวันแม่เธอยังไปทำหน้าที่แทนแม่ของฉันได้อย่างดี
ฉันยังจำรอยยิ้มและน้ำตาของพี่เลี้ยงของฉันได้ดีอ้อมกอดที่แสนจะอบอุ่นนั้นยังคงติดตรึงในหัวใจของฉันไม่แปรเปลี่ยนไม่รู้ว่าทำไมอ้อมกอดของพี่เลี้ยงฉันมันถึงอบอุ่นกว่าอ้อมกอดของแม่แท้ ๆ ของฉันเสียอีก อันที่จริงตั้งแต่จำความได้คุณแม่ไม่เคยกอดฉันเลยด้วยซ้ำอย่าว่าแต่คุณแม่เลยขนาดคุณพ่อยังไม่เคยยกมือลูบหัวเลยสักครั้ง ไม่เหมือนพี่สาวที่ได้รับทั้งอ้อมกอดและรอยยิ้มของคุณพ่อคุณแม่มาตลอด
จำได้ว่าวันสุดท้ายที่พี่เลี้ยงบอกว่ากำลังจะไปจากที่นี่พร้อมกับกระเป๋าใบใหญ่ที่วางข้าง ๆ ฉันร้องไห้อย่างกับจะตาย พอลงรถโรงเรียนปุ๊ป ใบหน้าที่เปื้อนยิ้มเมื่อเห็นพี่เลี้ยงเหลือไว้เพียงน้ำตาที่ไหลอาบแก้ม ขาสั้น ๆ วิ่งไล่ตามพี่เลี้ยงไปจนสุดถนนถ้าฉันไม่ล้มไปซะก่อนคงวิ่งทันรถสองแถวที่น้าดานั่งอยู่ก็เป็นได้
ตอนนั้นน้าดาทำท่าเหมือนจะลงรถแต่พอเห็นว่าฉันลุกได้และมีคนในบ้านออกมาจับฉันไว้ น้าดาก็นั่งลงเหมือนเดิมภาพที่เห็นตอนนั้นคือใบหน้าบิดเบี้ยวของน้าดาที่กำลังกลั้นร้องก่อนจะยกมือปิดปากมองมาที่ฉันอยู่ตลอด ฉันโบกมือบ๊ายบายน้าดาพร้อมน้ำตาในช่วงสุดท้ายที่รถแล่นสุดโค้งถนนผ่านไปเป็นอาทิตย์ฉันยังนอนร้องไห้คิดถึงน้าดาอยู่เลย สิ่งเดียวที่ยังติดตัวมาจนถึงตอนนี้ก็คือตุ๊กตากระต่ายหูยาวที่น้าดามอบให้เป็นของขวัญวันเกิดล่วงหน้าเท่านั้น และฉันยังคงเก็บรักษาไว้เป็นอย่างดีเป็นสิ่งเดียวที่ทำให้ฉันนอนหลับสนิททุกค่ำคืนท่ามกลางความมืดมิดอันแสนโดดเดี่ยว