บทที่ 4 นางโจร
มัฆวานกลับมาครุ่นคิดถึงเพื่อนสนิท เขาไม่รู้ว่าปกติดนตร์ดื่มเหล้าหนักแค่ไหนหรือดื่มบ่อยหรือเปล่า แต่เท่าที่คบกันมา นอกจากสมัยเริ่มแตกเนื้อหนุ่มแล้ว ดนตร์ก็ไม่เคยเมาหนักให้เขาเห็นอีก... มันจึงอดที่จะคิดถึงบางเรื่องไม่ได้
“ตอนบ่ายที่นั่งกินเหล้าด้วยกัน ไอ้ดนตร์ก็กินไปแค่สองแก้ว ไม่น่าจะเมา แสดงว่าหลังจากเรากลับมาแล้ว มันก็คงกินเหล้าต่อคนเดียว แล้วทำไมถึงกินจนเมา? หรือเป็นเพราะเราไปสะกิดถามถึงแฟนเก่าของมัน”
คิดอยู่หลายตลบ มัฆวานก็ลงความเห็นว่าความสงสัยของตนชักจะเข้าเค้า
‘มึงตัดใจได้ก็ดี’
‘ตัดใจเชี่ยอะไรของมึง’
‘กูพูดถึงมึงตัดใจจากแบล็กโอปอลที่ถูกขโมยไป มึงคิดอะไรของมึง’
อันที่จริงดนตร์แสดงออกให้เห็นตั้งแต่แรกแล้วว่าผู้หญิงคนนั้นยังมีอิทธิพลต่อเขาอยู่...ความรู้สึกผิดเริ่มก่อตัวขึ้นมาตงิดๆ แล้ว
“ไม่น่าเลยกู ไม่น่าไปสะกิดแผลเก่าของมัน”
ปากพล่ามรำพัน หากในใจก็อดที่จะอยากรู้ไม่ได้ว่าผู้หญิงคนนั้นเป็นใคร หน้าตาของเธอเป็นอย่างไร ทำไมถึงทำให้เพื่อนของตนเสียหลักได้มากขนาดนี้
“เปมจ๋า...เปมจ๋า...”
เสียงเรียกจากหน้าบ้านทำให้คนที่อยู่ในห้องครัวต้องยิ้มอย่างเอ็นดู
“ครับ แม่ซักผ้าอยู่ครับเบนเบน”
เธอตอบกลับลูกเป็นครั้งที่เท่าไรแล้วก็ไม่รู้ เรียกได้ว่าตอบทุกครั้งที่ลูกเรียกหา ซึ่งเจ้าตัวเล็กก็จะตอบกลับมาเป็นเสียงหัวเราะทุกทีที่ได้ยินเสียงเธอ เปรมปรีดายิ้มกับความขี้เล่นของลูกชาย เธอซักผ้าต่อไปจนเสร็จ แล้วจึงเช็ดมือออกมาหาลูก
ทันทีที่เห็นแม่ เด็กชายก็หัวเราะเอิ๊กอ๊าก ก่อนจะวิ่งหนีไปซุกตัวบนที่นอนของตัวเอง เปรมปรีดาจึงต้องเล่นกับลูกด้วย เธอตามไปจับคนจ้ำม่ำขึ้นมานั่งบนตักแล้วก้มหน้าลงไปฟัดพุงกลมๆ อย่างมันเขี้ยว
“ไหน เมื่อกี้เด็กคนไหนเรียกแม่”
“เปมจ๋า” คนอารมณ์ดียังคงหยอกเย้าแม่ด้วยการเรียกด้วยคำเดิมๆ
“จ๋าลูก” คนเป็นแม่ขานรับ ก่อนจะพิจารณาลูกชายอย่างจริงจัง
ป้ากิ้มบอกว่าเป็นห่วงพัฒนาการของเบนเบน ด้วยเห็นว่าเธอไม่ค่อยพาลูกออกไปเล่นนอกบ้าน โดยในวันทำงาน เธอจะปิดประตูบ้าน แล้วปล่อยให้เบนเบนเล่นอยู่ข้างในคนเดียว หากเธอก็เคลียร์ข้าวของทุกอย่างไม่ให้เป็นอันตรายกับลูกแล้ว รวมถึงปิดประตูห้องครัวและประตูหน้าบ้านอย่างมิดชิดสนิทแน่น อีกทั้งคอยกลับมาดูแลลูกทุกชั่วโมง
เปรมปรีดาทำอย่างนี้จนเบนเบนชินไปแล้ว แม้รู้แก่ใจว่ามันไม่เป็นผลดีกับลูก แต่ตอนนั้นเธอจำเป็นต้องทำ เพราะการพาเบนเบนออกไปข้างนอกให้ใครต่อใครได้เห็น อาจนำความไม่พอใจไปสู่คนรักของมัฆวานได้ เธอพยายามเลี่ยงที่เกิดปัญหา เพราะกลัวจะถูกไล่ออกไปจากรีสอร์ต ซึ่งสุดท้ายเธอก็เลือกวิธีที่จะให้ลูกชายต้องจำทนอยู่ภายในบ้านคนเดียว
“แม่ขอโทษนะครับที่ปล่อยให้เบนเบนอยู่ในบ้านคนเดียวมาตลอด แต่หนูเก่งมากเลยรู้ไหม หนูเป็นเด็กสุขภาพดีและอารมณ์ดี หนูเรียนรู้หลายอย่างได้ไวมาก หนูเป็นเด็กที่มีพัฒนาการดี ตอนฉีดวัคซีนครั้งล่าสุด ลุงหมอก็ทักหนูอย่างนี้ขึ้นมาเอง แต่ต่อจากนี้แม่จะพาหนูไปเล่นข้างนอกบ่อยๆ แล้วนะ แม่จะขออนุญาตลุงหม่อนของลูกเอง”
“ยุง...ยุงหม่อน”
มัฆวานเป็นอีกคนที่เบนเบนให้ความสนิทสนมและไว้วางใจ ระยะหลังหากได้เจอกัน เจ้าของรีสอร์ตหนุ่มก็มักชวนลูกชายของเธอเล่นกับเขาด้วย ทั้งที่ก่อนหน้านี้มัฆวานแทบไม่ได้มองเบนเบน...ซึ่งเปรมปรีดาเข้าใจเขาดี ต่างคนก็ต่างอยู่ในสภาพอึดอัดใจ
ในส่วนของเบนเบนเอง เด็กชายไม่มีพ่อ ไม่มีผู้ใหญ่เพศชายอยู่ในชีวิตเขา เมื่อเขาอยู่ในวัยที่สามารถเรียนรู้ความแตกต่างของผู้คนได้ การมีผู้ชายตัวโตๆ สักคนเข้ามาใกล้ชิด มันจึงเป็นสิ่งแปลกใหม่สำหรับเขา เบนเบนเปิดรับมัฆวานแทบจะทันที เรียกได้ว่าเติมเต็มสิ่งที่เขาขาดหายไป
นาทีนั้นเปรมปรีดาก็ตัดสินใจได้ว่าเธอควรใส่ใจลูกชายมากกว่าคนอื่น เพราะสิ่งที่เธอกับลูกกำลังจะทำ มันไม่ใช่เรื่องผิดอะไร
“พรุ่งนี้หนูไปบ้านยายกิ้มกับแม่ไหมคะ”
เปรมปรีดาถามคนตัวป้อมที่กำลังนอนอยู่บนตัก เด็กชายมองแม่ แววตาบ่งบอกว่าไม่เข้าใจคำถาม จนเธอต้องเอื้อมมือไปหยิบเป้ใบจิ๋วของเจ้าตัวมาแกว่งตรงหน้า เพียงเท่านี้เบนเบนก็รีบลุกขึ้นมาคว้าเป้ไปกอดไว้
“แม่จะพาเบนเบนไปทำงานกับแม่ทุกวัน ยายกิ้มบอกให้หนูไปกับแม่ ต่อจากนี้หนูไม่ต้องรอแม่อยู่ในบ้านแล้ว ตอนเช้าเราจะไปทำงานด้วยกัน พอตกเย็นเราค่อยเดินกลับบ้านพร้อมกัน เบนเบนจะอยู่กับแม่ทั้งวัน”
เด็กชายโถมตัวขึ้นไปกอดคอของแม่แน่น ท่าทางนั้นแทนคำตอบและความรู้สึกทั้งมวลของเจ้าตัว
พนักงานรุ่นจิ๋วของรีสอร์ตดาวเต็มฟ้าสะพายเป้เดินจ้ำไปข้างหน้าอย่างทะมัดทะแมง ภายในเป้นั้นมีทั้งนมทั้งขนม รวมถึงผ้าขนหนู กางเกง และผ้าอ้อมสำเร็จรูปหนึ่งชิ้น
วันนี้ถือเป็นวันแรกที่เปรมปรีดาพาลูกชายมาทำงานด้วย เป็นวันเริ่มต้นอย่างเป็นทางการ เธอเลือกเสื้อเชิ้ตแขนสั้นสีฟ้าน้ำทะเลที่เคยใช้ในวันถ่ายรูปโพรโมตรีสอร์ตมาสวมให้เจ้าตัว ซึ่งแน่นอนว่าเบนเบนยังสามารถเรียกสายตาเอ็นดูจากคนที่พบเห็นได้เช่นเคย ยิ่งเจ้าตัวอยู่ในยูนิฟอร์มของพนักงานรีสอร์ตก็ยิ่งสะดุดตา
“เบนเบนน่ารักจังเลย วันนี้ใส่เสื้อเหมือนพี่สาวด้วย เห็นไหมว่าเราใส่เสื้อเหมือนกัน”
พนักงานวัยยี่สิบปลายทักทายเป็นคนแรก หากเธอถูกสาวรุ่นน้องเบรกแทบหัวทิ่ม
“ป้าเถอะ! ไม่ใช่พี่”
“ฉันต้องเป็นพี่ย่ะ”
แค่ก้าวแรกที่มาถึงเรือนซักรีด เปรมปรีดาก็พบกับความลำเอียงเข้าอย่างจัง...แต่เป็นความลำเอียงที่เธอยินดีที่จะให้เกิดขึ้น เมื่อพนักงานสองคนที่เคยเป็นตัวตั้งตัวตีต่อต้านเธอไม่ให้เข้ามาเป็นพนักงาน ด้วยเหตุจากเธอไม่ได้ผ่านการสมัครงานและสอบสัมภาษณ์เหมือนคนอื่น แต่วันนี้คนทั้งคู่กลับปรี่มาหาเบนเบนเหมือนคุ้นเคยกันมาแรมปี หากเด็กชายยังคงตื่นตระหนกคนไม่คุ้นหน้า เจ้าตัวจึงถอยกรูดมาซุกกับหน้าขาของเธอ จนเธอต้องยกลูกชายขึ้นมาอุ้ม
“เบนเบนสวัสดีพี่สาวกับพี่ปรางสิครับ พี่สองคนทักทายหนูแน่ะ”
เด็กชายหันไปมองคนทั้งสองอย่างขลาดๆ โดยที่ยังไม่ยอมทำตามที่แม่บอก ทำให้ผู้ใหญ่ถึงกับหน้าเจื่อนกันถ้วนหน้า
“อย่าไปบังคับเด็กเลย เบนเบนมาหายายมา ยายจะให้เรานั่งเล่นตรงนี้ บ้านยายกว้างกว่าบ้านของแม่เปรมเยอะ”
เสียงยายกิ้มเรียกหา เบนเบนไถลตัวลงจากอ้อมกอดของแม่แล้วไปหาหญิงวัยกลางคนอย่างไม่อิดออด ถือว่าป้ากิ้มได้คลายบรรยากาศที่กำลังอึดอัดได้ดีทีเดียว
“เปรมขอโทษแทนเบนเบนด้วยนะคะ แกยังไม่ชินกับคนเยอะๆ แต่ถ้าได้เจอกันบ่อยๆ แกก็จะชินไปเองค่ะ” ถือโอกาสหยอดขอทางให้ลูกชายเสียเลย
“ป้าถึงบอกไงว่าให้เปรมพาเบนเบนออกมาข้างนอกบ้าง ไม่งั้นเด็กมันจะตื่นคน เดี๋ยวเบนเบนจะต้องเข้าโรงเรียน ขืนปล่อยไว้อย่างนี้จนโต เด็กจะปรับตัวยาก”
“งั้นเปรมก็พาลูกมาบ่อยๆ สิ คงไม่เป็นไรหรอก ถือว่าให้เด็กเปิดหูเปิดตา ดีกว่าให้อยู่แต่ในเรือนพักคนงาน”
พนักงานสาวที่ชื่อ ‘พี่สาว’ บอก หากสีหน้าของเธอยังดูปั้นยาก ก็วีรกรรมก่อนหน้านี้มันน้อยเสียเมื่อไร ดีนะที่เปรมปรีดาไม่ใช่คนเอาเรื่องใคร หากเธอพร้อมจะลืมเรื่องหมางใจที่ผ่านมาเสียอีกด้วย...
“เปรมขอบคุณพี่สาวมากค่ะ”
“เนี่ย! แม่เขาเรียกพี่สาวว่าพี่ พี่ก็ต้องเป็นป้าของเบนเบน”
รุ่นน้องยังไม่วายขัดคอ ซึ่งแน่นอน...คนถูกยกให้เป็นป้าถึงกับฉุกกึก
“โอ๊ย! อีนี่! เดี๋ยวก็โดนหลังมือฉันหรอก ฉันบอกว่าพี่ก็ต้องพี่สิ”
“เบนเบนเคยเห็นคนแก่ไม่ยอมแก่หรือเปล่า ไม่ต้องงงนะ เดี๋ยวได้เห็นบ่อยๆ ก็จะชินไปเอง ป้าเขาอยู่แถวๆ นี้แหละ”
โลกกว้างของเบนเบนช่างน่าตื่นตาตื่นใจ แค่วันแรกเด็กชายก็ต้องเบิกตาโตมองพนักงานทั้งสองคนที่โต้เถียงกันอย่างตื่นตะลึง ดีนะที่ยายกิ้มยังอยู่ใกล้ๆ ไม่งั้นเบนเบนคงหวาดผวาพวกเธอไปแล้ว
หากว่าดวงหน้าเล็กกลมต้องหันไปทางประตูโดยไว เมื่อได้ยินเสียงนุ่มนวลละมุนละไมไม่ต่างจากเสียงของแม่
“มีอะไรกันเหรอจ๊ะปราง พี่สาว”
น้ำรินเดินเข้ามาในเรือนซักรีด เธอฟังมาสักพักแล้วละว่าปรางและพี่สาวคุยเรื่องอะไรกัน เธอจึงตั้งใจจะเข้ามาดูใกล้ๆ ด้วยเกรงจะมีเรื่องกัน ทั้งสองคนนี้ขึ้นชื่อเรื่องความแรงอยู่แล้ว...แรงไม่แพ้พี่สาวของเธอนั่นแหละ เธอจึงไม่วางใจ กลัวว่าคนทั้งคู่จะแท็กทีมหาเรื่องเปรมปรีดาอีก
“ไม่มีอะไร ฉันมาสแกนนิ้วเข้างาน แล้วเห็นว่ามีพนักงานตัวจิ๋วๆ เลยมาทักทายสักหน่อย ว่าแต่ตอนนี้ได้เวลาเข้างานแล้วนี่นา ฉันไปก่อนแล้วกันนะ...ไปเถอะพี่สาว สายแล้ว”
ปรางกับพี่สาวไปแล้ว เหลือแต่น้ำรินกับเปรมปรีดา
“ช่วงนี้คุณหม่อนเข้ากรุงเทพฯ เขาน่าจะอยู่หลายวัน รินเกรงว่าพี่สาวกับปรางจะมาพูดอะไรให้เปรมไม่สบายใจ เลยเข้ามาดู”
เปรมปรีดายิ้ม เธอรู้ทันเจตนาของน้ำรินอยู่แล้ว
“ไม่มีค่ะ พี่สาวกับปรางแค่มาทักทายเบนเบน...เปรมตั้งใจจะพาเบนเบนมาทำงานด้วยทุกวัน”
น้ำรินพยักหน้ารับรู้ ก่อนเธอจะเดินกลับออกไป
อันที่จริงน้ำรินก็มีความละอายใจอยู่เหมือนกัน เธอก็เป็นอีกคนหนึ่งที่คิดว่าเปรมปรีดาคิดจะจับมัฆวานไปเป็นพ่อของเบนเบน แต่เมื่อเวลาผ่านไปจนถึงวันนี้ มันก็ไม่มีเรื่องที่เธอนึกกลัวเกิดขึ้น เธอจึงต้องกลับมามองหญิงท้องแก่แปลกหน้าที่มากับพายุฝนเมื่อสองปีก่อนคนนี้เสียใหม่