บทที่ 2 ท้องฟ้าสีเบจ
หลังเสร็จจากการถ่ายภาพโพรโมตรีสอร์ต เปรมปรีดาก็พานายแบบตัวน้อยไปเดินเล่นภายในสวนสวย ซึ่งมีแปลงดอกไม้และแปลงผักปลูกสลับกัน เด็กชายวิ่งเล่นตามทางเดินที่ปูด้วยคอนกรีตจนเหงื่อแตกชุ่ม พวงแก้มยุ้ยฉีดสีแดงเรื่ออย่างน่าเอ็นดู
“หัวเปียกหมดแล้วลูก หนูร้อนไหมคะ”
เด็กชายไม่ตอบ แต่ยอมหยุดวิ่งเมื่อแม่เดินไปหา หญิงสาวคุกเข่านั่งลงตรงหน้าลูกชาย หยิบผ้าขนหนูผืนเล็กจากกระเป๋ามาซับเหงื่อบนดวงหน้าให้เจ้าตัว จากนั้นก็ใช้ผ้าผืนเดียวกันล้วงเข้าไปซับเหงื่อบริเวณแผ่นหลังที่ปรากฎรอยชื้นบนเสื้อเชิ้ตสีฟ้าน้ำทะเลเป็นวงกล้าง
“เบนเบนเหนื่อยหรือยังคะ เรากลับบ้านกันไหม”
เบนเบนส่ายหน้าทันที เมื่อได้ออกมาวิ่งเล่นอย่างนี้ เรื่องอะไรที่ตนจะต้องรีบกลับบ้านล่ะ อยู่ในบ้านกับเปรมจ๋าก็ชอบอยู่หรอกนะ แต่มันสู้อยู่กลางสวนที่มีทั้งดอกไม้ทั้งต้นไม้ รวมถึงแมลงต่างๆ ไม่ได้...มันยังมีของอีกมากมายที่เบนเบนยังไม่ได้สำรวจ
เปรมปรีดายอมตามใจลูก เพราะนานๆ ครั้งเธอจะพาลูกออกมาวิ่งเล่น ด้วยวัยที่กำลังโตของเบนเบน เธอควรมีเวลาว่างพาลูกออกมาทำกิจกรรมให้มากกว่านี้ แต่ที่ผ่านมาเธอเลือกที่จะเก็บเบนเบนไว้ให้อยู่เพียงในเรือนพักคนงาน เพราะความเจียมตัวเจียมใจว่าตนอยู่ในฐานะคนงาน เธอจึงไม่กล้าพาลูกออกมาเดินเพ่นพ่านข้างนอก ด้วยเกรงจะเกะกะสายตาของใครต่อใคร
หากในวันนี้มัฆวานเป็นฝ่ายออกปากให้เธอพาเบนเบนออกมาวิ่งเล่นโดยไม่จำกัดพื้นที่ได้ เวลานี้จึงไม่มีพื้นที่ใดถูกหวงห้ามสำหรับเบนเบน เพราะมัฆวานถือว่าเป็นรางวัลสำหรับเด็กชายที่ทำงานได้ดี เขาได้ภาพสวยถูกใจไปหลายภาพภายในเวลาแค่ไม่ถึงชั่วโมง
“วันนี้หนูเก่งมากเลยนะลูก หนูจัดท่าถ่ายรูปเองด้วยนะ”
เบนเบนเงยหน้าขึ้นไปมองแม่ ไม่รู้ว่าเจ้าตัวเข้าใจสิ่งที่แม่พูดหรือเปล่า แต่ฟังจากน้ำเสียงและแววตาของแม่ เบนเบนคงสัมผัสได้ว่าแม่กำลังมีความสุขและรู้สึกภูมิใจในตัวเขา เด็กชายจึงยิ้มแต้ กอดขาแม่แล้วซบดวงหน้าอย่างออดอ้อน
“มีเด็กใส่ยูนิฟอร์มของรีสอร์ตด้วย น่ารักจัง ที่นี่มีพนักงานรุ่นจิ๋วด้วยเหรอ”
เสียงลอยมาให้ได้ยิน เปรมปรีดาหันไปมอง แล้วจึงเห็นว่าเป็นผู้หญิงวัยไล่เลี่ยกับตนทั้งสามคน หญิงสาวยิ้มให้พวกเธอด้วยใจบริการของความเป็นพนักงาน แม้ว่าวันนี้จะเป็นวันหยุดของตัวเองก็ตาม
“ที่นี่ขายเสื้อลายรีสอร์ตด้วยหรือคะ ฉันอยากซื้อไปฝากหลานชาย”
“รีสอร์ตไม่ได้ทำขายค่ะ เสื้อตัวนี้ทำขึ้นเป็นการเฉพาะ มีแค่ตัวเดียวค่ะ”
เปรมปรีดาให้ข้อมูลอย่างตรงไปตรงมาในฐานะพนักงานคนหนึ่ง เสื้อตัวจิ๋วของเบนเบนเป็นฝีมือการตัดเย็บของป้ากิ้ม หญิงวัยกลางคนมีฝีมือตัดเย็บพอตัว มัฆวานจึงมอบหน้าที่ให้นางตัดเย็บเสื้อตัวนี้ไว้ให้เบนเบนสำหรับใส่ถ่ายรูปในวันนี้
คล้ายว่าเบนเบนจะรู้ตัวแล้วว่าตนตกเป็นหัวข้อการสนทนา เด็กชายจึงหันไปมองแขกสาวทั้งสามคน
“อุ๊ย! เด็กอะไรหน้าตาหล่อจัง”
“ลูกชายของเจ้าของรีสอร์ตหรือเปล่า”
“อ้าวเหรอ! มิน่าล่ะ สงสัยอยู่แล้วเชียวว่าทำไมเด็กถึงมีเสื้อรีสอร์ตใส่ด้วย...แต่ก็น่ารักดีนะ”
ผู้หญิงสามคนพูดเองเออเองก่อนจะเดินจากไป โดยไม่ได้ร่ำลาเปรมปรีดาและไม่ถามเธอสักคำว่าสิ่งที่คิดนั้นมันถูกต้องหรือเปล่า
หญิงสาวผ่อนลมหายใจออกมา แล้วก้มมองลูกชาย ไล้พวงแก้มยุ้ยเบาๆ
“เบนเบนเป็นลูกของแม่เปรมต่างหาก หนูเป็นลูกของแม่คนเดียว”
เธอบอกลูก ไม่หวังจะให้ลูกเข้าใจ แต่เด็กชายก็ตอบกลับมาให้หัวใจของเธอพองโตจนได้
“เปมจ๋า...”
มันคงเป็นอีกเหตุผลที่เปรมปรีดาเลือกที่จะเก็บลูกชายไว้ให้อยู่ภายในเรือนพักคนงาน เบนเบนเป็นเด็กชายหน้าตาหล่อเหลามาตั้งแต่แรกเกิด นับวันก็ฉายแววความหล่อมากขึ้น ยามใดที่เธอพาลูกออกมาเดินเล่น เบนเบนก็จะกลายเป็นจุดสนใจของแขกที่มาเข้าพัก ซึ่งคนเหล่านั้นมักทำให้เธออึดอัดใจ เพราะพวกเขามักจะคิดว่าเบนเบนเป็นลูกชายของมัฆวาน โดยไม่ได้สนใจเลยว่าแม่ของเด็กชายเป็นใคร...มันเป็นอย่างนี้มาตั้งแต่อดีตคนรักของมัฆวานยังอยู่ที่รีสอร์ตแล้ว
ทั้งที่ทุกคนในรีสอร์ตต่างรู้กันดีว่าเบนเบนไม่มีพ่อ มัฆวานไม่ใช่พ่อของเบนเบนอย่างแน่นอน เพราะเธอซมซานมาอาศัยอยู่ที่นี่ในสภาพคนท้องแก่ไร้ญาติ...แต่เมื่อมีการเข้าใจผิดและมีการพูดให้ได้ยินซ้ำๆ หลายครั้ง คนรักของเขาก็คงไม่ชอบใจ ซึ่งเรื่องนี้เปรมปรีดาก็เข้าใจได้เหมือนกัน
ทันใดนั้นใจก็ประหวัดไปถึงใครคนหนึ่ง คนที่เปรมปรีดาเก็บไว้ในส่วนลึกของหัวใจ เธอไม่กล้าแม้แต่จะนึกถึงเขา ไม่กล้าคาดหวังสิ่งใดจากเขา เพราะรู้ว่าตนไร้สิทธิ์นั้นไปนานแล้ว
กระบอกตาของหญิงสาวร้อนผ่าวขึ้นมาดื้อๆ จนต้องเงยหน้าขึ้นไปมองท้องฟ้า พลันก้อนเมฆสีขาวกับท้องฟ้าใสสว่างก็กลายเป็นสีขุ่น ด้วยม่านน้ำตาที่เอ่อท้นออกมาขวางกั้น
ทาวน์โฮมในโครงการมีชื่อเสียงซึ่งอยู่ในทำเลใกล้สถานีรถไฟฟ้าเป็นจุดหมายของชายหนุ่มที่ขับรถมาจากระนอง เขาเคลื่อนรถไปจอดเคียงกับรถเลกซัสคันสีขาวที่จอดอยู่ หากแค่เปิดประตูรถออกมา เขาก็เห็นเจ้าของบ้านยืนกอดอกอยู่ตรงประตูบ้าน...เจ้าตัวออกมาตั้งแต่ตอนไหน เขาก็ไม่ทันสังเกต
“รถสวยนี่หว่า ซื้อรถใหม่เหรอ”
แขกหนุ่มทักทายเจ้าของบ้านด้วยการบุ้ยใบ้ไปยังรถคันงามที่สะดุดตาเขา
“อืม...ซื้อมาเกือบปีแล้ว มึงสบายดีหรือเปล่า”
“สบายดี วันนี้มึงไม่เข้าออฟฟิศเหรอ กูมากวนมึงหรือเปล่า”
มัฆวานเดินตามเจ้าของบ้านเข้าไปข้างใน เขากวาดสายตามองทั่วบ้านอย่างคุ้นเคย...ทุกอย่างยังคงเหมือนเดิม แทบไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง
“นานๆ กูถึงจะได้เจอมึงสักที มึงมากรุงเทพฯ คราวนี้ กูแทบจะจัดขบวนสิงโตไปแห่รอรับมึงถึงหน้าป้อมยาม แค่งดเข้าออฟฟิศสักครึ่งวัน งานกูไม่พังหรอก”
“บ้าน่า เราเพิ่งเจอกัน”
มัฆวานตอบโดยไม่ทันได้คิดอะไร ความคุ้นเคยอาจทำให้เขารู้สึกว่าไม่ได้หายจากที่แห่งนี้ไปนาน
“เพิ่งเจอบ้าอะไร กูไม่เจอมึงมาปีกว่าแล้ว”
ปีกว่าเหรอ?...นานแล้วสินะ แต่ทำไมเขาถึงรู้สึกเหมือนว่าเวลาเพิ่งผ่านไปได้แค่ไม่กี่วัน
มัฆวานเข้ากรุงเทพฯ ครั้งสุดท้ายก็คือตอนที่เขาขับรถมาส่งอดีตคนรัก เขาช่วยเธอขนเสื้อผ้าและของใช้ส่วนตัวมาเต็มคันรถเพื่อไปส่งเธอที่บ้านพ่อแม่ของเธอ เขาและเธอต่างบอกใครต่อใครว่าจากกันด้วยดี แต่พอเช้าวันรุ่งขึ้น เธอก็บล็อกช่องทางติดต่อทุกทาง ส่วนเขาเองก็สั่งคนงานให้เก็บของของเธอที่ยังหลงเหลืออยู่ทุกชิ้นไปบริจาคเสียจนเกลี้ยง
ไม่มีหรอก...การจากลาด้วยดี ทุกการจากลามันเจ็บปวดและไม่เคยดีกับใคร
“งั้นเหรอ”
มัฆวานหลุดคำรำพันเบาๆ ก่อนที่เพื่อนหนุ่มจะตบไหล่เขาหนักๆ คล้ายจะปลอบว่าตนเข้าใจดี หากคำพูดที่ดังตามมาแทบทำให้เขาสวนหมัดใส่
“มึงอกหักจนเพี้ยนหรือว่าถูกมนตร์ดำจากแม่ม่ายริมทางพ่นใส่เข้าล่ะ”
มัฆวานผลักอกเพื่อนจนเซ เขาไม่ชอบใจที่เพื่อนพูดกระทบถึงเปรมปรีดา...ผู้หญิงท้องแก่ที่เคยยืนตากฝนอยู่ตรงศาลาริมทางกับกระเป๋าใบโตอีกหนึ่งใบในเวลาค่ำมืดเมื่อเกือบสองปีก่อน ผู้หญิงคนนั้นไม่ได้ผิดอะไร ทุกวันนี้เธอก็อยู่ส่วนของเธอ เขารู้ด้วยว่าเธอค่อนข้างระมัดระวังตัวด้วยซ้ำไป มีแต่คนอื่นนั่นแหละที่คอยแต่ดึงเธอไปวุ่นวายด้วย
หากเขาไม่ได้พูดความในใจออกมา เพราะรู้ว่าเจ้าเพื่อนปากดีคงหาว่าเขาปกป้องเธออีกตามเคย
“มึงมาคราวนี้จะอยู่กี่วัน”
“หลายวัน กูตั้งใจจะอยู่จนงานแฟร์จบ รอบนี้กูเผื่อเวลามาเก็บข้อมูลและอัปเดตสถานการณ์การท่องเที่ยวให้ครบ”
“รีสอร์ตฟื้นตัวแล้วใช่ไหม กูเห็นคนพูดถึงรีสอร์ตของมึงอยู่บ้าง กูอยู่ทางนี้แล้วยังได้ยิน แสดงว่าที่รีสอร์ตคงคึกคักน่าดู”
“ดีขึ้นมาก ตอนนี้กูนอนหลับสบายทุกคืน ไม่สะดุ้งตื่นอย่างเมื่อก่อนแล้ว”
มัฆวานไหวไหล่ แต่อย่างไรก็ไม่รู้สินะ ท่าทางของเขาทำให้เพื่อนหมั่นไส้เสียอย่างนั้น
“คราวก่อนสภาพของมึงอย่างกับหมาหงอย มารอบนี้ผงาดเป็นราชสีห์”
คนถูกวิจารณ์หัวเราะชอบใจ ก่อนเขาจะถามกลับ
“มึงล่ะ หายจากอาการหมาบ้าหรือยัง”
เจ้าของบ้านนิ่ง หากสีหน้าปรากฎรอยยิ้มแปลกๆ มันออกแววเย้ยหยันพิกล มัฆวานจึงหยั่งเชิงถาม
“มึงยังไม่เจอสองพี่น้องคู่นั้นใช่ไหม”
“คนพี่ลงเรือประมงไปแล้ว กูคิดว่าคงไปหลบอยู่ในพม่า ได้ข่าวว่ามันมีเมียอยู่ที่นั่นด้วย”
“น้องสาวของเขาล่ะ”
คราวนี้ประกายตาของคนถูกถามไหววูบ...คนถามจึงรู้ทันว่าเธอคนนี้ยังมีอิทธิพลกับเพื่อนของตน
“กูไม่รู้ ไม่ได้ข่าวของเธอ แต่คนของกูบอกว่าไม่มีผู้หญิงลงเรือไปด้วย”
“งั้นผู้หญิงก็อาจยังอยู่แถวประจวบฯ”
“กูค้นหาจนทั่วปราณบุรีแล้ว แต่ไม่เจอเธอ กูคิดว่าเธอคงย้ายไปที่อื่นแล้ว”
“ทำไมไม่ให้นักสืบช่วยตามหา”
“ช่างมันเถอะ กูตัดเรื่องนี้ออกไปแล้ว แบล็กโอปอลก้อนนั้นราคาแค่เจ็ดล้าน แต่กูเสียเวลาตามล่าสองพี่น้องคู่นี้ตั้งหลายเดือน เทียบกันแล้ว มันไม่คุ้มค่า เวลาของกูมีค่ามากเกินกว่าจะเอาไปล่าพวกไร้ค่าพวกนั้น”
“มึงตัดใจได้ก็ดี”
“ตัดใจเชี่ยอะไรของมึง”
“กูพูดถึงมึงตัดใจจากแบล็กโอปอลที่ถูกขโมยไป มึงคิดอะไรของมึง”
มัฆวานทำหน้าซื่อ ส่วนอีกคนนั้นหรือ สะบัดหน้าใส่เขาแล้วก้าวยาวๆ ไปยังบาร์เครื่องดื่มเสียแล้ว...
มึงยังตัดใจจากผู้หญิงคนนั้นไม่ได้ กูพูดสะกิดนิดเดียว มึงก็อารมณ์ขึ้น ถึงมึงไม่รักเขาแล้ว แต่มึงก็ยังแค้นเขา มึงยังไม่ปล่อยวางจากสองพี่น้องคู่นั้น...ไอ้งั่งเอ๋ย อย่ามาหลอกกูเสียให้ยาก