บทที่ 1 ท้องฟ้าสีเบจ
ท้องฟ้าใสกระจ่าง เมฆสีขาวลอยไปด้วยแรงลมพัด เปรมปรีดาเข้าไปซับเหงื่อให้ลูกชายที่กำลังเก็บดอกตะแบกที่หล่นอยู่ใต้โคนต้น พ่อหนูน้อยอยู่ในชุดเสื้อเชิ้ตแขนสั้นสีฟ้าน้ำทะเล ด้านหน้ามีโลโก้ของรีสอร์ตดาวเต็มฟ้าแปะหรา เธอถอยห่างออกมาเมื่อเห็นว่าลูกชายพร้อมแล้ว
“เปมจ๋า...เบนห้าย”
คนจ้ำม่ำที่แสนน่ารักยื่นดอกไม้ให้แม่ รอยยิ้มสดใส ดวงตาสีน้ำตาลเข้มละม้ายใครคนนั้นกำลังทอประกายแห่งความสุข จังหวะนั้นเองเสียงกดชัตเตอร์ก็ดังตามมา
แชะ...แชะ...แชะ...
เสียงประหลาดเรียกให้เด็กน้อยหันไปหา เจ้าตัวเอียงคอมอง ‘ลุงหม่อน’ กับอุปกรณ์ของเขาอย่างอยากรู้อยากเห็น ก่อนจะก้าวตรงไปหาอย่างว่องไว
“เฮ้ยๆ ถอยไป เอ็งเป็นนายแบบ ส่วนข้าเป็นตากล้อง ทำหน้าที่ตัวเองกัน”
ตากล้องยอมเอาตัวเองเข้าปกป้องเครื่องมือถ่ายภาพสุดรักสุดหวง แต่เด็กชายก็ยังตามไปวอแว...ก็ของเล่นของลุงหม่อนมันน่าสนใจนี่นา เบนเบนอยากเล่นด้วยคน
“ยุง...เย่น เบนเย่นน้า”
“ไปถ่ายรูปก่อน ถ่ายรูปเสร็จ ลุงจะให้เล่น”
พูดไปทั้งที่รู้ว่าคู่สนทนาเด็กเกินกว่าที่จะเข้าใจ ดังนั้นจึงเป็นหน้าที่ของแม่ที่จะหลอกล่อให้ลูกชายวัยไม่ถึงสองขวบกลับมาอยู่ในจุดที่ถูกเซ็ตไว้สำหรับถ่ายภาพชุดนี้
“เบนเบนเก็บดอกไม้กับแม่ไหมครับ ดอกตะแบกเยอะแยะเลย มีลูกตะแบกด้วย แม่เก็บลูกตะแบกให้เบนเบนแล้วนะ”
เสียงของแม่จูงใจเด็กชายได้ดี หนูน้อยวิ่งสับขาสั้นๆ กลับไปยังจุดเดิม มองลูกตะแบกในมือของแม่ ก่อนจะก้มลงเก็บของตัวเองบ้าง เมื่อเก็บได้หนึ่งลูก เด็กชายก็แบมือให้แม่ดูอย่างภูมิใจ
“ไหน ให้ลุงดูลูกตะแบกของเบนเบนหน่อยซิ”
เมื่อลุงหม่อนร้องขอ เบนเบนก็หันไปยื่นสองมือป้อมให้ดูจนสุดแขน รอยยิ้มแสนน่ารักประดับบนดวงหน้าเล็กกลมซึ่งส่อแววว่าโตขึ้นคงหล่อเหลาคมคาย และตากล้องหนุ่มก็ไม่พลาดที่จะบันทึกภาพนั้นไว้เพื่อทำการตลาดให้กับรีสอร์ตของตนในช่วงหน้าร้อนนี้
“มองอะไรอยู่เหรอพี่นก”
หญิงสาววัยยี่สิบต้นในชุดเสื้อเชิ้ตแขนสั้นสีฟ้าน้ำทะเลกับกางเกงผ้าฝ้ายสีขาวปราดเข้าไปประชิดคนที่อยู่ในเสื้อผ้ารูปแบบเดียวกัน เธอมองตามไปในทิศทางที่พี่สาวกำลังมอง เธอเห็นภาพนั้นแล้ว...แต่ไม่เข้าใจว่าอีกฝ่ายมองพวกเขาทำไมตั้งนานสองนาน
“ฉันมองคนแรด”
เสียงตอบกลับแผ่วเบา แต่ทำให้คนฟังสะดุ้งสุดตัว
“ทำไมพูดอย่างนี้ แรงมาก”
“ฉันพูดผิดตรงไหน”
“ผิดทุกตรง เพราะไม่มีใครเป็นอย่างที่พี่ว่าเลย” มือบางเท้าสะเอวฉับ เธอมองพี่สาวด้วยสายตาเข้มงวด ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง “คุณหม่อนกำลังถ่ายรูปเพื่อโพรโมตรีสอร์ต พวกเขาสามคนกำลังทำงาน รีสอร์ตของเราจ้างน้องเบนเบนมาเป็นนายแบบ ส่วนอีกคนก็เป็นแม่ของนายแบบ ไหน...มีใครเป็นอย่างที่พี่นกว่า อธิบายให้ฉันเข้าใจหน่อยสิ”
“ฉันรู้ว่าพวกเขาทำงาน แต่งานมันเสร็จไปแล้วไหม ทำไมพวกเขาถึงยังไม่แยกย้าย ฉันมองจากดาวอังคารก็รู้ว่าแม่นั่นกำลังเอาลูกชายมาอ่อยคุณหม่อน”
น้ำรินมองภาพของคนทั้งสามอีกครา เจ้าของรีสอร์ตหนุ่มกำลังนั่งยองๆ ในอ้อมแขนของเขามีเด็กชายตัวป้อมที่กำลังยืนส่องกล้องถ่ายรูป ทำท่าทางคล้ายกำลังถ่ายรูป ส่วนแม่ของเด็กชายก็ถอยไปยืนอยู่ห่างๆ...ไม่ต้องให้เธอไปถึงดาวอังคาร แค่มองจากตรงนี้ที่อยู่ห่างจากพวกเขาประมาณสามสิบเมตร น้ำรินก็ไม่เห็นว่ามันมีอะไรผิดปกติเลย
น้ำรินหันไปมองนุดีผู้เป็นพี่สาวตรงๆ แล้วพูดอย่างเหนื่อยใจ เมื่อนึกเดาเหตุผลของความไม่พอใจของอีกฝ่าย
“พี่นกเสียดายแฟนคุณหม่อนใช่ไหม เสียดายที่พวกเขาเลิกกัน พี่กลัวว่าคุณหม่อนจะไปคว้าเอาใครก็ไม่รู้มาเป็นนายผู้หญิงของเรา...เมื่อก่อนฉันก็หวั่นๆ เหมือนพี่นั่นแหละ แต่ตอนนี้ฉันก็คิดได้ว่าเราเป็นลูกจ้างของคุณหม่อน เราทำงานให้เขา เขาจ่ายเงินเดือนให้เรา เรากับเขาผูกพันกันแค่งาน มันก็จบกันแค่นี้ นอกจากนี้มันก็ไม่ใช่หน้าที่ของเรา พี่ควรคิดให้ได้อย่างฉันเหมือนกัน”
“ถ้าคืนวันที่พายุเข้า คุณนางกับคุณหม่อนไม่เก็บเอางูเห่าท้องแก่ใส่รถกลับมารีสอร์ตด้วย บางทีพวกเขาก็อาจไม่ต้องเลิกกัน”
“มันเกี่ยวอะไรกันล่ะ พี่นกมั่วมาก คนสองคนเลิกกัน ทำไมพี่ต้องดึงพี่เปรมเข้าไปเกี่ยวข้องด้วย พี่ใจร้ายมากจริงๆ ทำไมถึงคิดอะไรได้ร้ายกาจขนาดนี้”
น้ำรินผละออกมาอย่างอารมณ์เสีย พี่สาวของเธอใจร้ายเกินไปที่เปรียบเปรมปรีดาว่าเป็นงูเห่า ทั้งที่ไม่มีเหตุผลและไม่มีสิทธิ์ทำด้วย
น้ำรินเองยังจำค่ำคืนฝนตกหนักเมื่อเกือบสองปีก่อนได้ มัฆวานกับแฟนของเขาขับรถกลับมาจากกรุงเทพฯ โดยที่เบาะหลังนั้นมีผู้หญิงแปลกหน้าที่กำลังท้องแก่นั่งมาด้วย...ซึ่งแน่นอนว่าผู้หญิงแปลกหน้าคนนั้นก็คือเปรมปรีดา
เปรมปรีดาอยู่ในสภาพเปียกโชกไปทั้งตัว หน้าตาของเธอซีดเผือด ดวงตาแห้งผากไร้ประกายคล้ายคนกำลังสิ้นหวัง น้ำรินจำภาพนั้นได้อย่างไม่มีวันลืม เพราะมันน่าเวทนาเหลือเกิน จนต่อมอยากรู้ชักจะกระตุกว่าเปรมปรีดาเป็นใคร ทำไมเธอถึงอยู่ในสภาพนั้น
หากแม้จะสงสัยสักแค่ไหน แต่ก็ไม่เคยมีใครถามถึงที่มาที่ไปของเปรมปรีดา มัฆวานตัดสินใจให้เธอพักอยู่ที่เรือนคนงานจนกระทั่งคลอดลูก เมื่อเปรมปรีดาพักฟื้นตัวจนแข็งแรงดี น้ำรินจึงได้รับรู้ว่าเปรมปรีดาจะเข้ามาเป็นพนักงานของรีสอร์ตเหมือนกับพวกเธอ...
จนถึงวันนี้ เปรมปรีดาทำงานอยู่ในรีสอร์ตนานกว่าหนึ่งปีแล้ว เธอไม่สุงสิงกับใคร แทบไม่มีใครสนิทสนมกับเธอ คงมีแต่ป้ากิ้มที่อยู่ประจำเรือนซักรีดที่พูดคุยกับเปรมปรีดามากที่สุด หากมันก็เป็นเรื่องที่น้ำรินเข้าใจได้ เพราะแค่งานในรีสอร์ตที่ต้องทำกับการเลี้ยงลูกชายอีกหนึ่งคน อย่าว่าแต่มาสังสรรค์กับเพื่อนพนักงานในรีสอร์ตเลย เปรมปรีดาอาจไม่มีเวลาเหลือให้กับตัวเองด้วยซ้ำไป
แม้ไม่ได้สนิทสนม แทบไม่ได้พูดคุยกัน ทำได้แค่มองฝ่ายนั้นอยู่ห่างๆ แต่น้ำรินก็มีความสงสารและเห็นใจผู้หญิงคนนี้