บทนำ
เปรมปรีดาเก็บผ้าจากราวตากนอกบ้าน แล้ววิ่งหนีฝนเข้าไปข้างใน เธอกอดผ้าหอบใหญ่ไว้แนบอก เธอปกป้องมันไว้ได้ แต่พวงผมยาวและแผ่นหลังบางกลับเปียกโชก เพราะแค่เท้าข้างหนึ่งแตะขอบระเบียง ฝนห่าใหญ่ก็เทใส่อย่างไม่ลืมหูลืมตา สมกับความเป็นเมือง ‘ฝนแปดแดดสี่’ เสียจริงๆ
“เย็ว...เปมจ๋า เย็วๆ”
คนจ้ำม่ำตื่นนอนแล้วและกำลังยืนกวักมือเรียกเธออยู่ภายในคอกกั้น ดวงตาใสแจ๋วมองมาที่เธออย่างตื่นเต้น โดยไม่มีร่องรอยกลัวฝนกลัวฟ้ากันเลย
“หนูตื่นนานหรือยังคะ”
เจ้าตัวน้อยพยักหน้าหงึกๆ พลางยกสองมือให้แม่ช่วยอุ้มออกจากคอก หากแม่กลับส่ายหน้า แล้วยกผ้าในอ้อมกอดให้ดู
“เบนเบนรอแม่ก่อนนะครับ แม่ขอตากผ้าก่อน ผ้ายังชื้นอยู่เลย ผ้าของหนูเอาเข้าตู้อบไม่ได้เสียด้วย แม่คงต้องเอามันไปตากลมไว้ทั้งคืน”
เด็กชายวัยหนึ่งขวบแปดเดือนทำหน้ายู่ หนูน้อยไม่ถูกใจ เพราะตนอยู่ในนี้นานแล้ว ‘เปรมจ๋า’ จะเข้าใจบ้างไหมว่าอยู่คนเดียวมันเหงา...เด็กก็มีหัวใจนะ!
เท้าเล็กป้อมเขย่งสุดกำลัง ก่อนจะยกขาสั้นๆ วาดขึ้นไปพาดกับขอบผนังคอก กำแพงแค่นี้ขวางเบนเบนไม่ได้หรอก แต่ที่เบนเบนไม่ยอมออกไปตั้งแต่แรก เพราะรู้ว่าเปรมจ๋าต้องการให้ตนอยู่ในนี้ ยามที่เปรมจ๋าต้องไปทำงานที่บ้านยายกิ้ม ตนก็เชื่อฟัง แต่ตอนนี้เปรมจ๋ากลับมาบ้านแล้ว ตนก็ต้องได้สิทธิ์ออกไปอยู่ข้างนอกบ้างสิ
ราวตากผ้าที่วางชิดผนังถูกลากมาวางกลางห้องครัวซึ่งเป็นพื้นที่ว่างที่มีอยู่อย่างจำกัด เธอแขวนเสื้อผ้าชิ้นเล็กจิ๋วของลูก แต่ทำได้เพียงครึ่งเดียว เสียงวิ่งตึงตังก็ดังแทรกสายฝนที่กำลังเทกระหน่ำขึ้นมา หญิงสาวหันไปมอง แล้วยอบตัวลงพลางกางแขนข้างหนึ่งออกเพื่อรอรับร่างป้อมที่วิ่งหน้าตั้งมาหา
“หนูคิดถึงแม่หรือคะ”
“เบน...กัว”
เด็กชายชี้ออกไปนอกหน้าต่างซึ่งมีต้นหมากขึ้นเป็นแนว แต่ตอนนี้มันถูกม่านฝนที่กำลังตกลงมาอย่างหนักจนแลขาวโพลนไปทั่ว
เปรมปรีดารู้ว่าลูกชายกลัวเสียงฝนตกที่กระทบหลังคาจนดังกึกก้องไปทั่วบ้าน เธอโอบกอดร่างจ้อยเอาไว้ เด็กชายก็ยกสองแขนขึ้นไปกอดรอบคอของแม่ ซุกตัวเหมือนลูกเจี๊ยบต้องการการปกป้องจากแม่ไก่ หากเพียงไม่กี่นาทีผ่านไป เด็กชายเริ่มขยับขยุกขยิก หญิงสาวจึงคลายอ้อมกอดออกมา
“หนูหายกลัวหรือยังเอ่ย”
เด็กชายส่ายหน้าหวือ มองแม่ตาแป๋ว จนแม่ต้องหอมแก้มยุ้ยๆ ปลอบใจไปหนึ่งฟอด
“หายกลัวหรือยัง”
ผลเป็นเช่นเดิม ดวงหน้าเล็กกลมส่ายหวือ เปรมปรีดายิ้มอย่างอ่อนโยน เธอกำลังใจอ่อน หากจำเป็นต้องตัดใจ
“แม่ขอตากผ้าให้เสร็จก่อนนะ แต่แม่จะอยู่กับหนูตรงนี้ เบนเบนกอดขาแม่ไว้นะ แม่ไม่หนีไปไหน”
เพียงแค่แม่ยืดกายยืนขึ้น คนตัวป้อมก็โถมตัวไปกอดขาของแม่ไว้แน่น แถมยังแนบแก้มกลมๆ ไว้กับขาแม่เสียอีก
ต้นหมากสูงชะลูดที่ขึ้นเป็นแนวริมเขตที่ดินเอนไหวไปตามแรงลมพัดอยู่สักพักใหญ่ ตอนนี้มันกลับมายืนต้นได้อย่างมั่นคง สายฝนห่าใหญ่หายไปแล้ว พายุฝนมาแต่ละทีไม่เพียงแต่ลูกชายตัวป้อมที่ตื่นกลัว แต่มันยังทำให้หัวใจของเปรมปรีดากระตุกแรงตามไปด้วย
เย็นวันนั้นท้องฟ้าขมุกขมัว เมฆฝนครึ้มมาตั้งแต่บ่าย อากาศร้อนอบอ้าว หากฝนไม่ตกลงสักที คงมีแต่แรงลมพัด
‘ใครมาที่บ้านเราหรือพี่อานัส เมื่อกี้เปรมเห็นคนปีนกำแพงออกไป เขามาหาใคร แล้วทำไมต้องปีนกำแพง’
‘อย่าเพิ่งถามตอนนี้ เราไปจากที่นี่กันก่อน เราอยู่ไม่ได้แล้ว’
‘ทำไม? พี่ทำเหมือนเราต้องหนีใคร’
‘หนีผัวของเธอนะสิ รู้ไหมว่าคนของมันมาบุกบ้านของเรา นักเลงสี่คนนั้นเป็นคนของมัน เราอยู่ไม่ได้แล้ว’
‘คุณดนตร์เหรอ เขา เอ่อ...มาด้วยหรือเปล่า’
‘เธอถามทำไม จนถึงขนาดนี้ เธอยังฝันหวานว่ามันจะมาดีอยู่อีกเหรอ’
พี่ชายตะคอกเสียงดังใส่เธอ เวลานั้นเปรมปรีดาได้แต่นิ่งงัน เธอไม่ได้ตกใจและไม่ได้โกรธเขา แต่เธอไม่เข้าใจปฏิกิริยาของเขาต่างหาก และดูเหมือนเขาจะรู้ตัวว่าแสดงอารมณ์รุนแรงเกินไป
‘พี่ขอโทษ...เปรมตัดใจจากมันได้แล้วใช่ไหม’
‘เรื่องของเปรมกับคุณดนตร์จบลงแล้วค่ะ’
เธอไม่ได้ตอบพี่ชาย แต่เธอย้ำบอกตัวเองต่างหาก
ในเวลานั้นเปรมปรีดามุดประตูรั้วเก่าคร่ำคร่าตามพี่ชายเข้าไปในบ้านเช่า เธอเก็บเสื้อผ้าใส่ลงในกระเป๋าใบโต มันเป็นกระเป๋าใบเดิมที่เธอใช้ขนของมาจากกรุงเทพฯ เพื่อมาหลบอยู่ที่นี่
อานัสออกอาการเร่งรีบและลนลาน ส่วนเธอกลับทำทุกอย่างอย่างใจเย็น
‘เร่งมือหน่อยเถอะ เราต้องไปตอนนี้ เมื่อกี้พี่ได้ยินพวกมันพูดกันว่าพรุ่งนี้คุณดนตร์จะมาที่นี่ด้วยตัวเอง เราอยู่ไม่ได้แล้ว พวกมันไม่รู้ว่าพี่ซ่อนตัวอยู่หลังประตูรั้ว พวกนักเลงกลุ่มนี้มาสืบข่าวเรา ตอนนี้พวกมันรู้แล้วว่าพี่กับเปรมอยู่ที่นี่
‘คุณดนตร์จะมาที่ปราณบุรีเหรอ’
เธอถามพี่ชายเสียงเรียบ คำถามเดิมที่เพิ่งถูกเขาตะคอกใส่ แต่คราวนี้เขาใจเย็นลงกว่าเดิม
‘ใช่ เราถึงต้องรีบออกไปก่อนที่เขาจะมาถึงไง...เปรมไหวหรือเปล่า’
พี่ชายคงเพิ่งนึกได้ว่าเธอกำลังท้องแก่ใกล้คลอด การเคลื่อนไหวในแต่ละทีจึงเนิบช้าและอุ้ยอ้าย ในสถานการณ์อย่างนี้มันคงไม่ทันใจเขานัก...เธอเข้าใจเขา
‘เราจะไปไหน’
‘พี่ยังไม่รู้ แต่เรามาถึงประจวบฯ แล้ว พี่สามารถพาเปรมไปหาที่อยู่ใหม่ได้ พี่คุ้นกับแถบนี้ พี่อยู่มาตั้งแต่เด็ก’
เปรมปรีดาไม่ได้เชื่อมั่นในตัวพี่ชายนัก แต่เธอไม่มีที่พึ่งอื่น เธอจึงเลือกเดินตามเขา หากอีกด้าน...เธอยังเชื่อว่าแม้พวกตนจำต้องเผชิญหน้ากับดนตร์ แต่ดนตร์คงไม่ทำร้ายเธอกับพี่ชายจนถึงแก่ชีวิต เธอขอเพียงมีโอกาสได้อยู่ต่อจนถึงวันที่ลูกคลอดออกมาและได้เลี้ยงดูลูกต่อไป เพียงเท่านี้เธอก็พอใจแล้ว
‘คุณดนตร์ไม่ใช่คนโหดร้าย เขาไม่ฆ่าเราหรอก’
เธอพูดขึ้นหลังจากปิดล็อกกระเป๋าเสื้อผ้าเรียบร้อยแล้ว ในส่วนของอานัส เขามีเป้สะพายหลังใบเดียว ซึ่งดูเหมือนว่าเขาพร้อมจะโยกย้ายอยู่ทุกนาที และคำพูดของเปรมปรีดาเมื่อสักครู่นั้นคงไม่เข้าหูพี่ชายสักเท่าไร เขาเค้นเสียงต่ำขณะคว้ากระเป๋าของเธอไปถือไว้เอง
‘มันทำให้พี่เจ็บได้มากกว่าการฆ่าให้ตาย...และมันก็ทำไปแล้ว’