บทที่ 3
บทที่ 3
พันธิสาสลัดเรื่องส่วนตัวเกี่ยวกับคู่หมั้นออกจากหัวชั่วขณะ เมื่อขับรถมาจอดหน้าผับของเธอในย่านถนนบางลา ย่านบันเทิงดังและเป็นสีสันของจังหวัดภูเก็ต
ร่างบางระหงเดินเข้าไปในผับซึ่งพนักงานทุกคนกำลังทำความสะอาด เตรียมความพร้อมเพื่อรอต้อนรับท่านชีคอัลมัส ก็เดินเข้าไปสั่งกำชับกับลูกน้องซึ่งเป็นผู้จัดการร้านของเธอว่า
“ดูแลให้พนักงานเช็ดทำความสะอาดทุกซอกทุกมุมของผับเลยนะแฟร์รี่”
“ค่ะคุณใบเฟิร์น แฟร์รี่บอกทุกคนแล้วค่ะ”
แฟร์รี่ ผู้เป็นเลขาฯ ส่วนตัวและควบตำแหน่งผู้จัดการผับได้พยักหน้ารับคำสั่งจาก
พันธิสา ซึ่งนอกจากจะสั่งกำชับกำชาให้พนักงานในผับทำความสะอาดแล้ว เธอยังลงมือช่วยพนักงานอีกแรงด้วย
“ดีมากแฟร์รี่ อย่าให้ผิดพลาดแม้แต่นิดเดียว ต้องต้อนรับท่านชีคอัลมัสให้ดีที่สุด ให้พระองค์ประทับใจและกลับมาเที่ยวประเทศไทยอีกครั้ง”
“ค่ะคุณใบเฟิร์น”
“แฟร์รี่ทำงานต่อเถอะ เดี๋ยวพี่จะไปอาบน้ำก่อน อีกสามชั่วโมงก็ถึงเวลาที่ท่านชีคอัลมัสจะเดินทางมาที่ผับแล้ว”
“ค่ะ เดี๋ยวแฟร์รี่ดูแลผับให้เองค่ะ คุณใบเฟิร์นไม่ต้องเป็นห่วงค่ะ”
พันธิสาพยักหน้ารับกับคำพูดของเลขาฯ ส่วนตัวที่ทำงานได้ดีมีประสิทธิภาพคุ้มกับเงินเดือนที่เธอได้จ่ายให้
และขณะแฟร์รี่กำลังจะผละไปช่วยพนักงานคนอื่นๆ ดูแลความเรียบร้อยภายในผับ ก็เอ่ยเรียกอีกฝ่ายไว้พร้อมกับถามไม่เต็มเสียงนัก
“แฟร์รี่...เอ่อ...เธอเคยได้ยินข่าวที่ว่า เอ่อ...คุณนักรบเป็นเกย์ไหม”
กว่าจะหลุดคำถามออกมาได้ ก็ต้องใช้เวลาเกือบนาที ครั้นพอถามแล้ว ก็ต้องกลั้นหาย
ใจรอคอยคำตอบจากลูกน้อง
ส่วนคนที่ถูกนายจ้างเอ่ยถาม ก็ตีสีหน้ากระอักกระอ่วนใจ ไม่กล้าเดาว่าถ้าหากตอบตาม
ความเป็นจริง คำตอบนี้จะสร้างความโกรธเคืองและมีผลกระทบกับหน้าที่การงานของเธอหรือเปล่า จึงเลือกที่จะเอ่ยตอบเป็นการโกหกว่า
“ใครกันช่างเม้าส์ว่าคุณนักรบเป็นเกย์...คุณนักรบแมนทั้งแท่ง คุณใบเฟิร์นอย่าไปสนใจคำพูดของคนอื่นเลยค่ะ”
“มีคนพูดว่าคุณรบชอบเข้าผับเกย์ด้วย แฟร์รี่หรือเพื่อนๆ เคยเจอคุณรบในผับเกย์ไหม”
พันธิสายังคงตั้งคำถามต่อ อยากได้คำยืนกรานว่าคู่หมั้นหนุ่มของเธอไม่ได้เป็นชายรักชาย ไม่ได้เบี่ยงเบนทางเพศ และที่สำคัญคือไม่ได้หลอกเธอ
แม้คันปากอยากบอกความจริงกับพันธิสา สงสารนายจ้างสาวที่ถูกคู่หมั้นหนุ่มหลอกมานาน แต่กระนั้นก็นึกสงสารตัวเองมากกว่า เพราะหากบอกความจริงไปแล้วเกิดเจ้านายสาวไม่พอใจหาว่าเธอใส่ร้ายคู่หมั้นและไล่เธอออกจากงานก็เป็นอันจบเห่! ต้องอดตายทั้งบ้านแน่ จึงจำต้องเอ่ยบอกความจริงแบบครั้งๆ กลางๆ ไว้ให้พันธิสาหาคำตอบเอาเอง
“เอ่อ...เรื่องนี้เพื่อนๆ ของแฟร์รี่ก็เคยบอกค่ะว่าเจอคุณนับรบในบาร์เกย์ แต่แฟร์รี่คิดว่าคุณนักรบน่าจะเข้าไปหาข้อมูลสำหรับเปิดผับเกย์กับมิสเตอร์ลูคัสค่ะ”
“ใช่ คุณรบเคยเกริ่นบอกพี่เหมือนกันว่าอยากเปิดบาร์เกย์ เพราะรายได้ดีมาก และแขกส่วนใหญ่มักจะเป็นนักท่องเที่ยวต่างชาติแถบเอเชียบ้านเราที่นิยมมาเข้าบาร์เกย์ในไทย คุณรบคงเข้าไปหาข้อมูลนั่นแหละ แต่คนที่ไม่รู้ความจริงก็เอามาเม้าส์กันสนุกปากว่าคุณรบเข้าไปซื้อเด็กในบาร์เกย์กิน”
แฟร์รี่ฝืนยิ้มและพยักหน้าเออออห่อหมกกับคำพูดของพันธิสา ทั้งๆ ในใจนั้นสงสาร
เจ้านายเหลือเกินที่ไม่รู้ตัวว่าถูกคู่หมั้นหลอก และด้วยเกรงว่าจะรูดซิปปิดปากไม่สนิท เผลอบอกความจริงเข้า จึงรีบเอ่ยขอตัวกับเจ้านายสาว
“แฟร์รี่ขอไปดูแลร้านก่อนนะคะ ใกล้ถึงเวลาที่ท่านชีคเดินทางมาที่ผับแล้ว”
“จ้ะ แฟร์รี่ไปเถอะ พี่ก็จะไปอาบน้ำเตรียมตัวต้อนรับท่านชีคเหมือนกัน”
ได้รับคำตอบที่มีเหตุมีผลจากแฟร์รี่ก็ทำให้พันธิสาสบายใจขึ้น และกล้ายืนยันว่าคู่หมั้นของเธอไม่ได้เป็นชายรักชายตามคำเล่าลือของคนอื่นๆ
“เบื่อพวกผีเจาะปาก ช่างเม้าส์ซะจริงๆ ว่าคุณรบเป็นเกย์ เดี๋ยวคืนวันส่งตัวจะพิสูจน์ด้วยตัวเองว่าคุณรบไม่ได้เป็นเกย์อย่างที่พวกเธอเม้าส์ เข้าห้องหอเสร็จแล้วอยากเอาหลักฐาน
มาฟาดพวกช่างเม้าส์ซะจริงๆ เอาให้หน้าแตกยับไปเลยที่หาว่าคุณรบของเราเป็นเกย์”
พันธิสาขบเขี้ยวเคี้ยวฟันถึงบรรดาช่างเม้าส์ทั้งหลายที่ปรักปรำว่านักรบ คู่หมั้นของเธอมีจิตใจเบี่ยงเบนทางเพศรักชายด้วยกัน
แน่นอนว่าในคืนวันแต่งงานอีกไม่กี่วันข้างหน้านี้ เธอจะพิสูจน์และสยบคำเม้าส์ของทุกคน พร้อมกับประกาศให้รู้กันทั่วเลยว่าคู่หมั้นของเธอไม่ใช่เกย์ เขาเป็นชายทั้งแท่ง
และในค่ำคืนวันนี้ เมื่อถึงเวลานัดหมายที่ท่านชีคอัลมัส อัลซิดส์ คาลาห์ แห่งประเทศ
คาลาห์ ได้เดินทางมาถึง พันธิสาก็รอรับท่านชีคอัลมัสอยู่ด้านหน้าผับ ในมือถือพวงมาลัยดอกมะลิรอต้อนรับท่านชีคพร้อมกับเหล่าองครักษ์ที่ได้เดินทางมาอารักขาพระองค์ด้วย
ทันทีที่ท่านชีคอัลมัสก้าวลงจากรถยนต์หรูและเดินตรงมาที่ประตูทางเข้าผับโดยมีองครักษ์สองคนคอยขนาบข้างด้วย ก็ย่อตัวยื่นพวงมาลัยให้พระองค์ เอ่ยต้อนรับเสียงสั่นเพราะความน่าเกรงขามของเจ้าแห่งทะเลทรายพระองค์นี้
“เดอะบีชผับยินดีต้อนรับท่านชีคค่ะ”
ชีคอัลมัสเอื้อมหยิบพวงมาลัยดอกมะลิหอมชื่นใจมาถือไว้ ก่อนจะถามคนที่ยืนตัวสั่นอยู่ตรงหน้าพระองค์
“ไม่มีคนนอกเข้ามาในผับใช่ไหม”
น้ำเสียงห้วนทรงอำนาจที่ถามออกมา กอปรกับดวงตาคมกริบซึ่งจ้องมองเขม็งมายังตัวเธอ ทำเอาพันธิสาหายใจไม่ทั่วท้อง เอ่ยตอบเสียงตะกุกตะกักฟังแทบไม่รู้เรื่อง
“ค่ะ...ค่ะ...ไม่มีใครเข้ามาแน่นอนค่ะ”
ชีคอัลมัสพยักหน้ารับรู้ จากนั้นก็เอ่ยชมหญิงสาวใบหน้างดงามชวนพิศที่ยืนอยู่ตรงหน้าพระองค์
“ขอบใจมากที่ให้การต้อนรับและทำตามคำขอร้องของเรา ที่ต้องการปิดผับเพื่อความเป็นส่วนตัว”
“ค่ะท่านชีค เชิญท่านชีคด้านในผับเลยค่ะ”
“อืม...พูดกับเราแบบคนธรรมดาก็ได้ เราไม่ต้องการให้ใครรู้ว่าเราเป็นใคร”
น้ำเสียงที่เอ่ยบอกอ่อนลงกว่าในครั้งแรก ไม่มีห้วนขึง ช่วยคลายความหวาดกลัวของพันธิสาลงได้บ้าง และก็ผายมือเชิญท่านชีคอัลมัสกับเหล่าองครักษ์อีกครั้ง
“ค่ะ ขอบคุณท่านชีคมากค่ะ ถ้ายังงั้นเชิญด้านในเลยค่ะ”
ท่านชีคอัลมัสพยักหน้ารับ และก่อนจะเข้าไปในผับ ก็โบกมือไล่ผู้เป็นเจ้าของผับ
“คุณไม่ต้องอยู่ดูแลพวกเรา เชิญพักผ่อนได้ตามสบาย องครักษ์มาริสส์จะดูแลเราเอง”
“ค่ะ ท่านชีค”
พันธิสาย่อตัวรับคำ จากนั้นก็ขยับก้าวถอยหลังเพื่อเปิดทางให้องครักษ์หน้ายักษ์ยิ้มไม่เป็น ได้เดินตามท่านชีคอัลมัสเข้าไปในผับ
และจังหวะที่ร่างใหญ่ราวกับยักษ์ปักหลั่นได้ก้าวเดินตามท่านชีคเข้าไปนั้น บ่ากว้างขององครักษ์ผู้นี้ก็กระแทกตัวเธอเต็มแรงจนถึงกับผงะเซถลาเกือบล้มลง ดีที่อีกฝ่ายคว้าต้นแขนของเธอจับดึงไว้ซะก่อน
“ขอโทษ”
คำพูดสั้นๆ แบบมะนาวไม่มีน้ำ ได้หลุดออกมาจากปากขององครักษ์หน้าตายที่เอ่ยขอโทษหลังจากชนพันธิสาเต็มแรงจนหญิงสาวเกือบล้มหากเขาไม่คว้าต้นแขนไว้ซะก่อน
และก็รีบปล่อยมือหญิงสาวอย่างรวดเร็วราวกับถูกไฟช็อตก็ไม่ปาน ก่อนจะเดินเข้าไปในผับเพื่ออารักขาเจ้าเหนือหัวของตน ปล่อยให้พันธิสามองตามหลังด้วยแววตางุนงง และเกิดคำถามวิ่งวนอยู่ทั่วหัวว่าเมื่อสักครู่เกิดอะไรขึ้นตอนที่ถูกองครักษ์ผู้นี้คว้าต้นแขนของเธอไว้ไม่ให้ล้มลง
ทำไม! ทำไม! เธอถึงเกิดอาการวูบวาบราวกับถูกไฟช็อตในขณะที่ถูกองครักษ์หน้าตายยิ้มไม่เป็นคนนี้คว้าต้นแขนไว้ แค่เพียงไม่กี่เสี้ยววินาทีที่มือใหญ่จับต้นแขนไว้ เธอรับรู้ถึงอาการของกระแสไฟที่วิ่งพล่านอยู่ทั่วตัว ซึ่งไม่มีเคยมีอาการเช่นนี้เกิดขึ้นตอนที่ถูกนักรบผู้เป็นคู่หมั้นโอบกอด
และอยากรู้เหลือเกินว่าทำไมเธอต้องเกิดอาการร้อนผะผ่าวทั่วใบหน้า ในยามที่นึกถึงดวงตาคมกริบขององครักษ์ที่ได้จ้องมองเธอในตลอดเวลาที่เธอได้ยืนต้อนรับท่านชีคอัลมัส
“เกิดอะไรขึ้น ทำไมต้องหน้าแดงตอนที่ถูกเขามองด้วย”
พันธิสาตั้งคำถามกับตัวเอง แต่ก็ไม่อาจหาคำตอบได้จึงจำต้องสลัดภาพดวงตาคมกริบขององครักษ์ผู้นี้ออกไปจากความคิดในที่สุด
แต่...ก็ใช่ว่าจะทำได้ง่ายๆ เพราะดวงตาคู่นี้และใบหน้าคมเข้มที่ยิ้มไม่เป็นได้ตามเข้ามาในห้วงความคิดของเธอในตลอดเวลาทั้งๆ ที่เพิ่งพบหน้ากันไม่ถึงห้านาทีด้วยซ้ำไป