ตอนที่ : 12 ความลับของหง 2
อาการเหม่อลอยของเจ้านายหนุ่มทำให้หัวหน้าคนงานวัยสี่สิบสองปีแบบธนกิจนึกสงสัย ความข้องใจเกิดขึ้นตั้งแต่ตอนเช้าที่ได้รับคำสั่งให้ลากรถคันปริศนานั่นไปส่งที่อิงตะวันแล้ว
“สีหน้าเหมือนมีเรื่องกลุ้มใจนะครับคุณศิง” หลังจากคุยงานภายในกันเสร็จเรียบร้อยแล้ว ธนกิจก็ตัดสินใจถามด้วยความเป็นห่วง
“ไม่มีอะไรครับน้าเดี่ยว”
“งั้นเหรอครับ ก็ดีแล้ว น้าเดี่ยวไปดูงานก่อนนะครับ”
“เดี๋ยวครับน้าเดี่ยว” เขาเรียกคนที่ลุกขึ้นจากเก้าอี้เอาไว้
“ว่าไงครับคุณศิง”
“มีของบางอย่างที่ผมอยากได้ แต่ว่าของสิ่งนั้นกลับไม่อยากอยู่กับผม เป็นน้าเดี่ยวน้าเดี่ยวจะทำยังไงครับ” ศิงขรนึกอยากจะปรึกษาคนอื่นดูบ้างเผื่อจะได้มุมมองอีกมุม ส่วนคนที่ถูกถามนั้นถึงกับอมยิ้มในทันที
“แล้วของชิ้นนั้นสำคัญกับตัวคุณศิงมากไหมครับ”
“ก็ไม่” เสียงตอบรวดเร็วแบบไม่ต้องคิด
“ไม่มีแล้วทุรนทุรายไหมครับ”
“ก็ไม่เหมือนกัน”
“งั้นก็อย่าไปอยากได้มันเลยครับคุณศิง ปล่อยมันไปเถอะ” ธนกิจตอบเสร็จก็ทำท่าจะลุกขึ้นจากเก้าอี้อีกรอบ
“เดี๋ยวครับน้าเดี่ยว” แต่เสียงเรียกของศิงขรก็ทำให้เขาต้องหย่อนสะโพกลงบนเก้าอี้ตัวเดิมอีกครั้ง
“ครับ”
“ถ้าของสิ่งนั้นมันตกเป็นของผมแล้วล่ะครับ” คนได้ยินทำหน้ายุ่ง คิ้วขมวดมุ่นเข้าหากันด้วยความสงสัย
“ตกเป็นของคุณศิง เอ่อ อันนี้น้าไม่เข้าใจครับคุณศิง”
“ไม่มีอะไรครับน้าเดี่ยวไปทำงานเถอะครับ” คนเกือบจะเผลอหลุดความจริงบางอย่างออกไปรีบกลบเกลื่อน พอลับหลังของธนกิจแล้ว ศิงขรก็แค่นขำในการกระทำของตัวเอง นี่เขาเป็นอะไรไป ทำไมต้องคิดมากกับเรื่องของผู้หญิงคนนั้นด้วย บ้าชะมัด
‘ทางอิงตะวันสงสัยอะไรไหมน้าเดี่ยวเรื่องรถ’
‘ก็สงสัยอยู่เหมือนกันครับ แต่น้าก็บอกว่าผ่านไปเจอเฉยๆ ไม่รู้เรื่องอะไรแค่ลากมาส่งให้เท่านั้นเอง’
คำพูดของธนกิจเหมือนจะง่ายแต่ศิงขรกลับรู้สึกเหมือนมันมีอะไรบางอย่างเคลือบแฝงอยู่ไม่น้อย เขาได้แต่ยกมือขึ้นกุมขมับ
‘อะไรมันจะเกิดก็ต้องปล่อย ไหนๆ ก็ทำเรื่องแบบนั้นลงไปแล้ว’ วันข้างหน้าถ้าเขาจะต้องรับผิดชอบก็ย่อมได้เสมอ
ส่วนหญิงสาวอีกคนที่กำลังถูกพี่ชายซักไซ้ไล่เลียง กำลังนั่งทำหน้าบอกบุญไม่รับอยู่ในห้องรับแขกของบ้านอิงตะวัน สุริยกาลนึกโมโหที่คนลากรถของน้องสาวตัวเองกลับมานั้นเป็นคนของม่านภูผา
“หงก็บอกพี่กาลแล้วยังไงคะ ว่าป้ายมันล้มลงตรงทางเลี้ยว หงก็เลยขับเลยไปจอดเสียอยู่บนถนน ติดต่อใครก็ไม่ได้เพราะว่าแบตฯ มือถือหมด” คนเป็นน้องสาวพยายามอธิบายให้พี่ชายฟังอย่างมีเหตุผลและแนบเนียนมากที่สุด
“แล้วเราไปค้างคืนที่ไหนกัน” คนถามจ้องหน้าน้องสาวอย่างขึงขัง
“ก็ในรถนั่นแหละค่ะ รถติดหล่ม ฝนก็ตก มืดก็มืด หงจะไปไหนได้” นวลหงเพิ่มระดับน้ำเสียงเรียกความมั่นใจในคำพูดของตัวเอง
“แล้วทำไมตอนกลับถึงไม่มากับรถตัวเอง” สุริยกาลยังคงข้องใจต่อเรื่องนี้อยู่ เขาเกือบจะไปแจ้งความที่สถานีตำรวจให้ช่วยออกตามหาอีกแรง หลังจากที่ลูกน้องมารายงานว่าไม่พบเห็นรถของน้องสาวของเขาเลย ใครจะคิดว่านวลหงจะขับเลยเข้าไปในบริเวณของม่านภูผาได้ ซ้ำยังเป็นสถานที่ที่เขาไม่เคยให้คนของตัวเองก้าวล้ำเข้าไปอีก
“ก็รถที่เขาลากกลับมามีคนนั่งอยู่ก่อนแล้ว หงก็เลยติดมากับรถอีกคันซึ่งเขาจะต้องแวะไปทำธุระที่บ้านก่อน ก็เลยมาช้ากว่ารถคันแรก”
ช่างเป็นการโกหกครั้งใหญ่ที่สุดในชีวิตแต่นวลหงก็สามารถทำได้เป็นผลสำเร็จ เมื่อสุริยกาลทำหน้าเชื่อในสิ่งที่น้องสาวของตัวเองเล่าออกมาทั้งหมดนี้
“พี่ผิดเองที่ตามใจเรามากเกินไป ถ้าให้คนไปรับตั้งแต่แรก เรื่องนี้ก็คงไม่เกิดขึ้น”
คนไม่รู้ตื้นลึกหนาบางของเรื่องทำหน้าโล่งอก หากสุริยกาลรู้ว่าการล่วงล้ำอาณาเขตม่านภูผาเข้าไปแล้ว น้องสาวของตัวเองต้องพบกับชะตากรรมอย่างไรบ้าง เขาจะไม่ทำหน้าแบบนี้อย่างแน่นอน
“มันเป็นอุบัติเหตุไม่มีใครตั้งใจให้เกิดขึ้นเสียหน่อยพี่กาล”
“ดีนะที่หงปลอดภัยทั้งที่อยู่ในถิ่นของม่านภูผา”
คำพูดนี้เล่นเอาคนฟังสะอึก ‘ปลอดภัยอย่างนั้นหรือ’ นวลหงได้แต่กล้ำกลืนความรู้สึกเอาไว้ข้างใน สิ่งที่เธอเผชิญอยู่นั้นช่างห่างไกลจากคำว่าปลอดภัยเหลือเกิน
“คิดไปเรื่อยพี่กาลละก็ มากอดที คิดถึงจังเลย” หญิงสาวกลบเกลื่อนเรื่องทุกอย่างด้วยการเข้าไปสวมกอดพี่ชายเอาไว้ ทำหน้าออดอ้อนเหมือนตอนเด็ก แค่นี้สุริยกาลก็ยิ้มออกแล้ว
“โตแล้วยังจะทำเป็นเด็กๆ นะเรา” ฝ่ามือหนาของพี่ชายโคลงศีรษะของน้องสาวเล่นเบาๆ อย่างเอ็นดู
ภาพการกอดกันของสองพี่น้องทำให้รวงผึ้งที่เพิ่งจะมีแรงเดินลงบันไดมาถึงกับทำตัวไม่ถูก หันหลังหมายจะเดินกลับขึ้นไปบนบ้านก็ชะงัก จะลงไปด้านล่างก็เป็นกังวลกลัวว่าจะไปขัดจังหวะของพวกเขา
“จะยืนนิ่งอยู่บนบันไดอีกนานไหมนิ่ม” คนที่ตวัดสายตามองเห็นอยู่ก่อนแล้วตะโกนขึ้นเสียงดัง รวงผึ้งถึงกับสะดุ้งสุดตัวส่วนนวลหงก็รีบผละออกจากอกของพี่ชาย
“ใครคะพี่กาล”
“มานี่สินิ่ม” เขาส่งเสียงเรียกคนบนบันได รวงผึ้งรีบเดินลงมาหาคนทั้งคู่อย่างรวดเร็ว อาการก้มหน้าก้มตาแบบคนเจียมเนื้อเจียมตัว ทำให้นวลหงต้องเงยหน้ามองพี่ชายอีกครั้ง
“นี่นิ่มเป็นคนงานของบ้านเรา”
“สวัสดีจ้ะนิ่ม” นวลหงทักทายด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม
“ยังไม่ยกมือไหว้คุณหงอีก” สุริยกาลตะคอกใส่จนรวงผึ้งหน้าซีดเซียวด้วยความตกใจ ยกมือขึ้นพนมตรงอกอย่างรวดเร็ว
“สวัสดีค่ะคุณ...”
“ฉันชื่อหงจ้ะนิ่มเป็นน้องสาวพี่กาล” นวลหงรีบเอ่ยแนะนำตัวเองเมื่อเห็นว่าอีกคนทำท่าจะจำชื่อตัวเองไม่ได้ เพราะมัวแต่ตกใจคำพูดแสนดุของสุริยกาล
“ค่ะ คุณหง”
“ไปทำงานของเธอต่อได้แล้วนิ่ม” นี่คือถ้อยคำของคนที่เพิ่งพรากพรหมจรรย์ของตัวเองไป ไร้ซึ่งเยื่อใยและความห่วงหา รวงผึ้งก้มหน้าเดินผ่านเขาไปอย่างคนใจสลาย พอพ้นประตูบ้านหญิงสาวก็ร้องไห้โฮลั่นออกมา เท้าทั้งสองข้างซอยเดินเร็วขึ้นเรื่อยๆ ก่อนจะเปลี่ยนเป็นวิ่งกลับห้องพักของตัวเองไปทั้งที่น้ำตาไหลนองหน้า
เสียงปิดประตูลงของหญิงสาวทำให้นางอ้อยวิ่งตามมาดูด้วยความตกใจ หญิงสูงวัยยกมือขึ้นหมายจะเคาะเรียกแต่ก็เกิดเปลี่ยนใจขึ้นมา ลองแนบหูลงบนบานประตูไม้เพื่อฟังเสียงของคนที่อยู่ด้านใน ก่อนจะถอยหลังออกห่างเมื่อได้ยินเพียงเสียงร่ำไห้ของคนที่สูญเสียบางอย่างในชีวิตไป นางอ้อยทำได้เพียงแค่ส่ายหน้าไปมาด้วยความรู้สึกสงสาร เดินหันหลังจากไปปล่อยให้รวงผึ้งอยู่ภายในห้องเพียงลำพัง
ชั้นล่างของบ้านสองพี่น้องยังคงยืนจ้องหน้ากันนิ่ง นวลหงมองพี่ชายของตัวเองด้วยสายตามีความในใจอยากจะถาม ส่วนคนเป็นพี่ก็ทำหน้าเหมือนไม่รู้ไม่ชี้ ไม่มีอะไรเกิดขึ้นทั้งนั้น
“ทำไมนิ่มถึงลงมาจากข้างบน” ความสงสัยเรื่องแรกก็ทำให้อีกคนหันหน้าหนี “แล้วทำไมพี่กาลต้องตะคอกนิ่มจนกลัวหัวหดแบบนั้นด้วย” คำถามแรกยังไม่ได้รับคำตอบนวลหงก็ปล่อยคำถามที่สองตามมาเสียแล้ว
“นิ่มเป็นคนของพี่” คำตอบของเขาแสนจะกำกวม
“ก็แล้วไงคะ ทุกคนที่นี่ก็เป็นคนของพี่กาลทั้งหมด แล้วนิ่มแตกต่างจากคนอื่นยังไง”
“ก็แตกต่างนิดหน่อย”
“แตกต่าง?”
คราวนี้หัวคิ้วของนวลหงเริ่มจะเคลื่อนตัวเข้ามาอยู่ใกล้ๆ กัน น้ำเสียงอ้อมแอ้มไม่เต็มคำแบบนี้มันต้องมีอะไรแอบแฝงอยู่อย่างแน่นอน
“แตกต่างตรงไหนคะ” คนถามพยายามคาดคั้นทั้งน้ำเสียงและสายตา
“ก็เรื่องของผู้ชายน่ะ” คำตอบของเขาทำเอาคนฟังตาแทบถลน
“พี่กาล! แม้แต่คนงานก็ไม่เว้นหรือคะ”
“มันไม่ใช่แบบนั้น”
“ก็แล้วมันแบบไหนล่ะคะ”
“เอาเป็นว่านิ่มเขาเต็มใจก็แล้วกัน” สุริยกาลเลือกที่จะบ่ายเบี่ยง เขาไม่อยากบอกอะไรน้องสาวมากนัก เพราะนวลหงคงไม่เห็นด้วยกับเรื่องนี้อย่างแน่นอน
“หงรู้ว่าพี่กาลอยากจะหาใครเพื่อคลายเครียด ทำไมไม่หาคนรักแล้วแต่งงานเป็นเรื่องเป็นราวสักที”
“ทำไมต้องหาผู้หญิงดีๆ เดี๋ยวนี้หายากยิ่งกว่างมเข็มในมหาสมุทรเสียอีก แบบนี้แหละดีแล้วไม่ต้องผูกพันอะไรให้วุ่นวายใจ” คำตอบของเขาทำให้คนได้ยินจับความรู้สึกได้ สุริยกาลยังคงฝังใจต่อเรื่องของมารดา เขายังคงมองผู้หญิงอื่นที่ไม่ใช่น้องสาวอย่างเธอในแง่มุมที่เลวร้ายอยู่เหมือนเดิม
“พี่กาล หงขอตัวขึ้นห้องก่อนนะคะ เมื่อคืนนอนในรถไม่ค่อยหลับ” คำโกหกเมื่อได้เริ่มแล้วก็ต้องทำอย่างต่อเนื่อง สุริยกาลพยักหน้ารับรู้เพราะว่าไม่อยากตอบคำถามต่ออีก
“ไปเถอะพักผ่อนเยอะๆ นะ”
“ค่ะ” หญิงสาวลุกขึ้นยืนตัวตรงก่อนจะเดินขึ้นบันไดบ้านไป สีหน้าของนวลหงยามอยู่ต่อหน้าพี่ชายนั้นแสนจะปกติเสียจนไม่มีใครสังเกตเห็น ว่าเจ้าตัวนั้นได้เผชิญกับช่วงเวลาอันแสนจะเลวร้ายแค่ไหนในค่ำคืนที่ผ่านมา
บานประตูห้องนอนถูกปิดลง เจ้าของห้องก็กวาดสายตามองไปดูบริเวณรอบๆ ไม่ว่าจะเป็นเฟอร์นิเจอร์ชิ้นไหนก็ยังอยู่ที่เดิมของมัน มีเพียงชุดเครื่องนอนที่ถูกเปลี่ยนใหม่เพื่อต้อนรับการกลับมาอย่างถาวรของนวลหง สิ่งแรกที่หญิงสาวทำก็คือการอาบน้ำชำระเนื้อตัวให้สะอาด เพื่อล้างคราบราคีของคนใจร้ายให้หมดจากร่างกาย
บานกระจกขนาดครึ่งตัวที่ติดอยู่กับผนังห้องน้ำ กำลังปรากฏภาพของหญิงสาวคนหนึ่ง ใบหน้าของเธอช่างหมองหม่น บนร่างกายก็เต็มไปด้วยร่องรอยแดงช้ำจากน้ำมือของเขา แค่เปลือกตาถูกปิดลงภาพการถูกศิงขรข่มเหงก็ผุดขึ้นในหัว นวลหงรีบลืมตาขึ้นแล้วเปิดน้ำลูบใบหน้าเพื่อเรียกสติและความเข้มแข็งกลับคืนมา หญิงสาวพยายามที่จะสูดลมหายใจเข้าปอดลึกๆ มองทุกอย่างให้มันเป็นอดีต ต่อไปนี้เธอจะไม่มีวันได้พบเจอหน้าของเขาอีก ทางเดินชีวิตของเธอกับเขาเป็นเส้นขนานมาตั้งแต่ต้น และมันก็จะต้องเป็นเช่นนั้นตลอดไป