ตอนที่ : 11 ความลับของหง
6
ความลับของหง
เจ้าของดวงตาคู่สวยกะพริบมันปริบๆ เมื่อนึกอะไรขึ้นมาได้ นวลหงรีบผละออกจากแผงอกของเขา ยกมือขึ้นสางเส้นผมยาวระดับไหล่แบบคนทำตัวไม่ถูก สิ่งที่อยู่ตรงหน้าคือ เรื่องจริง! หญิงสาวมองดูคนที่เปลือยกายล่อนจ้อนนอนอยู่ด้านข้างด้วยความรู้สึกเจ็บปวด รีบลุกขึ้นจากเตียงนอนแล้วเปิดประตูออกไปหาเสื้อผ้าที่ตากอยู่ด้านนอก เพียงแค่ประตูปิดลง ศิงขรก็ลืมตาตื่นตามในทันที สักครู่หนึ่งคนด้านนอกก็เปิดประตูเข้ามาพร้อมกับเสื้อผ้าในมือ
นวลหงถึงกับชะงักเมื่อเผลอมองสบสายตากับเขา เดินตัวตรงเข้าห้องน้ำไปแบบคนไม่อยากจะเห็นหน้าเขาในตอนนี้ เพียงแค่ได้เห็นร่องรอยจารึกความแค้นของเขา เจ้าของร่างสวยที่ตอนนี้เต็มไปด้วยรอยคล้ำจ้ำเขียวถึงกับบ่อน้ำตาแตก นวลหงมองรอยช้ำตรงหน้าอก แล้วพลันรู้สึกเหมือนไม่ใช่ร่างกายของตัวเองอีกต่อไป เพราะมองจุดไหนก็พานนึกถึงแต่รอยสัมผัสของเขาคนนั้น กว่าที่คนในห้องน้ำจะทำใจให้หยุดร้องไห้ได้ก็เกือบครึ่งชั่วโมงต่อมา หญิงสาวออกมาจากห้องน้ำในสภาพตาบวมเป่งทั้งสองข้าง
“ไม่กลัวพี่ชายจับได้หรือยังไง” คนได้ยินหันมามองหน้าเขาอย่างไม่เข้าใจ “ก็หลักฐานเต็มหน้าขนาดนั้น”
เขาประชดประชันก่อนจะคว้าผ้าขนหนูขึ้นพาดไหล่ ลุกเดินเปลือยโทงๆ เข้าห้องน้ำไปต่อหน้าต่อหน้าของคนที่หันหนีแทบไม่ทัน
“บ้าที่สุดเลย เห็นเต็มสองตาเลย” เมื่อคืนว่ามืดสลัวๆ เอาแต่หลับตาแน่น แต่ตอนเช้าแบบนี้มันจะจะเต็มสองลูกตาของนวลหง
เจ้าของร่างกายอ่อนเปลี้ยจากการถูกพรากความสาวครั้งแรกในชีวิต ทรุดตัวลงนั่งบนเตียงนอนอย่างช้าๆ ยิ่งได้เห็นรอยเลือดสีแดงจางๆ ก็ยิ่งรู้สึกเสียใจ
‘เรื่องนี้มันจะต้องเป็นความลับไปจนวันตาย’
นวลหงจะไม่ปริปากบอกใครทั้งนั้น หญิงสาวตัดสินใจแล้วที่จะเลือกทำเช่นนี้
เสียงรถยนต์แล่นมาจอดอยู่ตรงหน้าบ้าน ทำให้คนที่คิดอะไรเพลินๆ ถึงกับหยุดชะงักแล้วรีบไปแง้มประตูเปิดดู ชายรูปร่างสูงใหญ่ไม่แพ้ศิงขรเดินลงมาจากรถ หญิงสาวค่อยๆ ปิดบานประตูลงด้วยความกลัว ว่าคนอื่นจะล่วงรู้ว่าตัวเองอยู่ที่นี่กับเขาเมื่อคืนที่ผ่านมา
“คุณศิงครับ น้าเดี่ยวเอารถมาให้แล้วนะครับ”
เสียงตะโกนจากชายวัยกลางคนดังอยู่ด้านนอก นวลหงลุกลี้ลุกลนทำตัวไม่ถูก มองเห็นว่ารถที่จอดอยู่ด้านนอกนั้นมีด้วยกันถึงสองคัน
“คุณศิงครับ”
เสียงตะโกนข้างนอกยังดังขึ้นเรื่อยๆ นวลหงรีบวิ่งไปเคาะประตูห้องน้ำเพื่อเรียกคนที่อยู่ด้านใน
ก๊อก ก๊อก ก๊อก
“มีอะไร”
“คุณ! มีคนมา บอกว่าเอารถมาให้”
“ก็ตอบเขาไปสิว่ารู้แล้ว”
“ไม่เอา เดี๋ยวคนอื่นรู้ว่าฉันอยู่ที่นี่ ออกมาเร็วๆ สิเขาเคาะใหญ่แล้วนั่น”
“เรื่องมากจริงๆ” ศิงขรเปิดประตูออกมาทั้งที่มีผ้าขนหนูพันตัวผืนเดียว เขารีบเดินออกจากห้องนอนไป สั่งการกับธนกิจเพียงแค่ไม่กี่ประโยคก็รู้เรื่อง ก่อนจะเดินกลับเข้ามาข้างในอีกครั้ง
“พวกคุณคุยอะไรกัน” คนระแวงเกิดอาการอยากรู้ขึ้นมาทันที
“ผมก็แค่ให้น้าเดี่ยวเอารถมาลากรถของคุณไปส่งที่บ้าน ก็แค่นั้น” เขาตอบเสียงเรียบ แววตามองราวกับจะประเมินความต้องการของอีกคนไปในตัว
“ทำแบบนั้นพี่กาลก็รู้หมดน่ะสิ ว่าฉันมาหลงอยู่ที่นี่” นวลหงแหวเสียงดังใส่เขา
“แล้วไง” ทว่าอีกคนกลับไม่มีท่าทีเดือดร้อนแต่อย่างใด ยังคงมองคนพูดด้วยแววตาว่างเปล่าเช่นเคย
“ก็ฉันไม่อยากให้ใครรู้เรื่องนี้ คุณยังจะ...” คนกลัวคนอื่นรู้เม้มปากตัวเองเสียแน่นสนิท เรื่องแบบนี้มีแค่เธอที่เสียหายไม่ใช่เขา หากคนอื่นรู้ว่า นวลหง อิงตะวัน มานอนค้างอ้างแรมในกระท่อมไม้ของ ศิงขร ม่านภูผา ใครจะเชื่อว่าเธอไม่ได้เต็มใจในบ้านของเขาเอง นอกจากพี่ชายของเธอเพียงคนเดียว
“ผมทำอะไร ผมยังไม่ได้บอกอะไรเรื่องของเราเลย คุณอย่ามาตีโพยตีพายไปก่อนสิ”
“ไม่พูดก็เหมือนพูดนั่นแหละ”
“จะคิดแบบนั้นก็ตามใจ” เขาไม่สนใครจะทำไม ศิงขรเดินตัวตรงเข้าห้องน้ำไป ปล่อยให้สายตาพิฆาตของนวลหงได้แต่มองตามไป โดยที่ไม่อาจทำร้ายอะไรเขาได้เลย
ผ่านไปครึ่งชั่วโมงเขาก็แต่งตัวเรียบร้อยสวมใส่เสื้อเชิ้ตสีฟ้ากับกางเกงยีนเก่าๆ ตัวหนึ่ง รถโฟร์วีลสีบรอนซ์จอดรอคนทั้งคู่อยู่ตรงหน้าบ้าน ศิงขรปิดประตูหน้าต่างกระท่อมไม้ส่วนตัวที่เขามักจะมาขลุกอยู่ที่นี่เวลาเบื่อหน่ายชีวิตรอบข้าง เพียงแต่ไม่คิดว่าการให้ที่พักกับผู้หญิงแปลกหน้าคนนี้ จะนำมาซึ่งปัญหาใหญ่ที่เขาเพลี่ยงพล้ำทำผิดพลาดลงไปเสียแล้ว
“คุณศิง ฉันมีเรื่องอยากจะถาม” เสียงของนวลหงขัดจังหวะของคนที่กำลังเสียบกุญแจเตรียมบิดสตาร์ตรถ
“ว่ามา” เขาหันมาพูดคล้ายจะหาเรื่องอีกคน
“คุณไปส่งฉันแค่หน้าปากทางเข้าก็พอ ที่เหลือฉันจะเดินเข้าไปเอง” แม้ระยะทางจะอยู่ห่างจากบ้านอิงตะวันเกือบหนึ่งกิโลเมตร แต่นวลหงก็คิดว่ามันคงจะดีกว่าหากเขาจะเป็นคนเข้าไปส่งด้วยตัวเอง
“แบบนั้นก็ได้”
“แล้วรถของฉันล่ะ”
“ป่านนี้น้าเดี่ยวลากไปไว้หน้าบ้านของคุณแล้วมั้ง”
“อ้าว แบบนั้นก็แย่น่ะสิ ป่านนี้คนที่บ้านไม่รู้กันหมดแล้วหรือยังไง ก็ไหนคุณตกลงกับฉันแล้วว่าจะไม่เปิดเผยเรื่องนี้ยังไงล่ะ” คนคิดวิตกเกินเหตุตีโพยตีพายใส่เขาอีกรอบ ศิงขรเห็นแล้วก็นึกเอือมเขาหยิบโทรศัพท์มือถือออกจากลิ้นชักด้านหน้ารถ กดหมายเลขแล้วโทรออกในทันที
“น้าเดี่ยว บอกคนที่อิงตะวันว่าคุณหนูนวลหงสุดที่รักของพวกเขา รถเสียอยู่กลางทาง น้าเดี่ยวเลยอาสาลากไปส่ง ส่วนเจ้าตัว เดี๋ยวกลับกับรถอีกคัน” คุยจบเขาเก็บโทรศัพท์มือถือไว้ที่เดิม
“ผมจะขับรถไปส่งคุณที่หน้าบ้าน ตรงรั้วบ้าน ไม่มีใครเฝ้าตรงนั้นไม่มีใครรู้หรอกว่าเป็นผม เพราะว่ารถของผมมันติดฟิล์มทึบทั้งคัน”
“เผื่อคนอื่นเขาจำทะเบียนรถคุณได้ล่ะ” ปัญหาใหม่ยังมีตามมาสำหรับนวลหง
“เอาเป็นว่าถ้ามีคนอยู่ในรัศมีสายตากลางป่า ผมจะจอดให้คุณเดินเอาเลยก็แล้วกัน” เขาตัดปัญหาเรื่องนี้ด้วยความเบื่อที่จะโต้เถียงกับคนเรื่องมาก
ศิงขรขับรถมาได้ครึ่งทางก็ต้องจอดตรงข้างทาง เขาเอื้อมมือไปด้านหลังเบาะแล้วดึงผ้าพันคอผืนหนาของตัวเองออกมา คนที่นั่งอยู่ด้านข้างได้แต่มองตามการกระทำของเขาอย่างไม่เข้าใจ
“ผมว่าคุณเอานี่ปิดคอตัวเองไว้หน่อยก็ดีนะ”
“ฉันไม่หนาว”
“ผมไม่ได้หมายถึงเรื่องนั้น”
“แล้วอะไร”
“ส่องกระจกข้างดูหน่อยไหมคุณ ว่าผมจารึกรอยอะไรเอาไว้ตรงคอขาวๆ นั่น” ศิงขรจ้องลำคอขาวผ่องของคนด้านข้างด้วยสายตาประกายวาววับ นวลหงรีบมองกระจกข้างด้วยความสงสัย รอยจูบแดงๆ ตรงซอกคอพอเจอแสงแดดเข้าหน่อยก็สะท้อนให้เห็นรอยเสียเด่นชัดจนน่าโมโห หญิงสาวรีบฉวยผ้าพันคอลายผ้าขาวม้าของเขาขึ้นมาถือไว้ในมือ ก่อนจะจัดการพันรอบคอตัวเองอย่างลวกๆ
“หายใจออกหรือเปล่า” คนถามแอบซ่อนรอยยิ้มด้วยความขบขัน
“ฉันซีเรียสมากนะ” คนถูกล้อเลียนทางสายตาหันมาจ้องหน้าเขาอย่างเอาเรื่อง
“เรื่อง?”
“ก็เรื่องที่คุณทำกับฉันในบ้านเมื่อคืนนี้ไง”
“ทำไม อยากให้ผมรับผิดชอบว่างั้น” คำพูดง่ายๆ ของศิงขร แต่แฝงเอาไว้ด้วยความจริงที่อยู่ตรงหน้า ทว่าอีกคนกลับไม่อาจทำทุกสิ่งอย่างให้มันง่ายได้ดังคำพูดของเขาแน่
“...” ความเงียบของนวลหงทำให้ศิงขรเริ่มรู้สึกว่าผู้หญิงคนนี้ซ่อนความต้องการอะไรบางอย่างเอาไว้ แต่ไม่กล้าเอ่ยออกมาตามตรง
“ไม่ ฉันไม่ต้องการความรับผิดชอบจากคุณ” อย่าว่าแต่รับผิดชอบเลย แค่เรื่องนี้ล่วงรู้ถึงหูสุริยกาลทุกอย่างก็คงพังราบเป็นหน้ากอง
“แน่ใจนะที่พูดออกมาแบบนี้”
“ใช่ แน่ใจ” คนแน่ใจเบือนหน้าหนีหันไปมองผ่านกระจกด้านข้างออกไปไกล
“แน่ใจแล้วทำไมไม่กล้ามองหน้าผม”
“ฉันจะมองหน้าคนหรือหมาแมวที่ไหนมันก็เรื่องของฉัน”
คนถูกย้อนคำกัดฟันเสียงดังกรอด เมื่อนวลหงไม่หันกลับมามองหน้าของเขาอีก ศิงขรก็หักพวงมาลัยขึ้นสู่ถนนใหญ่ วิ่งไปข้างหน้าด้วยความเร็วเกินพิกัด ฝุ่นแดงที่ฟุ้งกระจายไม่ได้ทำให้อีกคนรู้สึกกลัว
“เห็นป้ายที่ล้มอยู่ตรงหลังพุ่มไม้นั่นไหม” ศิงขรจอดรถตรงทางเลี้ยวเข้าอาณาเขตของอิงตะวัน เปิดกระจกลงแล้วชี้นิ้วให้คนด้านข้างดู
“มันล้มอยู่นี่เอง ฉันถึงมองไม่เห็นป้าย”
“ใช่ มันเลยทำให้คุณขับรถเลยตรงนี้ไป”
“ขับเลยไป…” น้ำเสียงเศร้าซึมกับแววตาเหม่อลอยของนวลหง ทำให้อีกคนต้องหันกลับมามอง ทำไมศิงขรจะเดาไม่ได้ว่าอีกคนนั้นกำลังรู้สึกอย่างไรต่อความผิดพลาดนี้ เป็นเพราะป้ายบอกทางล้มลงจนทำให้นวลหงต้องขับรถเลยตรงนี้ไป เรื่องราวทั้งหมดเมื่อคืนถึงได้เกิดขึ้น
“ฟ้าคงส่งคุณมาให้ผม” เขาเอ่ยติดตลกแต่แววตาไม่ขำเลยสักนิด
“คงใช่ ฟ้าคงส่งฉันมาให้คุณ” ข่มขืน...
คำพูดต่อในใจช่างเจ็บปวดรวดร้าว คนถูกทำร้ายทั้งร่างกายและจิตใจนั่งหน้าเศร้าไปตลอดเส้นทาง ศิงขรเห็นแล้วก็ได้แต่ขับรถตรงต่อไปข้างหน้าอย่างเงียบๆ จนกระทั่งมาจอดอยู่ตรงหน้ารั้วประตูบ้านอิงตะวัน นวลหงกลอกตามองหาคนอื่นไปทั่วบริเวณ จนแน่ใจแล้วว่าไม่มีใครอยู่ตรงรั้วทางเข้าจึงได้เปิดประตูหมายจะก้าวเท้าลงจากรถ
“คุณ เดี๋ยวก่อน”
เสียงเรียกของเขาทำให้อีกคนรีบปิดประตูลงเพื่อหันหน้ามามอง แววตาของศิงขรนั้นเหมือนมีอะไรบางอย่างที่ต้องการสื่อสารออกมา
“คิดใหม่อีกครั้งไหมเรื่องของเรา” แล้วสิ่งที่คิดอยู่ในใจก็ถูกเอ่ยออกมา
“ไม่ค่ะ ไม่มีคำว่าเรา มีแต่คุณกับฉันเท่านั้น และเรื่องนี้มันจะต้องเป็นความลับไปจนวันตาย”
ปัง
เสียงปิดประตูรถดังขึ้น นวลหงรีบวิ่งไปเปิดประตูรั้วไม้ที่มีความสูงแค่เอว จากนั้นก็วิ่งลับหายเข้าไปในดงต้นไม้หนาทึบที่ปกปิดไม่ให้เห็นบริเวณภายในบ้านที่อยู่ไกลออกไปหลายร้อยเมตร สายตาของคนที่มองตามหลังไปนั้นมันแน่นิ่งเสียจนเดาไม่ออกว่ากำลังคิดอะไรอยู่ ศิงขรรีบขับรถออกจากอาณาเขตของอิงตะวัน เมื่อเหลือบตาเห็นคนงานของที่นี่เดินออกมาจากบริเวณด้านข้างของถนน
ชายหนุ่มขับรถเลยเข้าไปในตัวเมืองเพื่อสะสางงานที่ค้างเอาไว้หลายเรื่อง และเมื่อประชุมมอบหมายหน้าที่ทุกอย่างเสร็จสิ้นลงแล้ว เขาก็ขับรถกลับม่านภูผาในช่วงบ่ายต้นๆ ของวัน เป็นอันรู้กันดีว่าศิงขรชอบที่จะอยู่ป่าเขามากกว่าการเข้าเมือง บางครั้งเขาก็จะสั่งงานผ่านเครื่องมือสื่อสารชนิดต่างๆ แทนการเข้าไปนั่งประชุมเป็นตัวเป็นตนด้วยซ้ำไป และด้วยศักยภาพและความเด็ดขาดในการทำงาน น้อยครั้งที่เขาจะเจออุปสรรคเรื่องความไม่ซื่อสัตย์ของลูกน้อง