บทที่ 3 (2)
“ใช่ ฉันก็อยากเห็นน้ำหน้าคนที่โทรแจ้งตำรวจเหมือนกัน ฉันกำลังเล่นได้เป็นล้าน พอตำรวจมากเงินล้านก็หายวับไปกับตา เจ็บใจจริงๆ เสียเงินล้านไม่พอ ยังต้องเสียเงินค่าประกันตัวอีก”
“ถ้าคุณโกซาสควานหาตัวคนแจ้งความได้ เขาคงไม่ไว้มันแน่”
บุญธิสากลืนน้ำลายลงคอเอื้อกๆ ขณะได้ยินประโยคถ้อยคำของบรรดาผีพนัน ที่ต่างก็เค้นเสียงพูดกันด้วยความเจ็บใจ
‘ตายแน่ ไข่ตุ๋นเอ๋ย...’
หญิงสาวโอดครวญอยู่ในใจ พยายามนั่งนิ่งๆ ไม่วิพากษ์วิจารณ์ใดๆ ออกมา ด้วยเกรงว่าคนเหล่านี้จะจับได้ว่าเธอ ซึ่งนั่งอยู่ใกล้ๆ กันนี่แหละเป็นคนโทรไปแจ้งเบาะแสให้เจ้าหน้าที่ตำรวจได้ล่วงรู้และตามไปทลายบ่อนในที่สุด
‘นิ่งไว้ไข่ตุ๋น ถ้าถูกจับได้ เธอถูกรุมสะกำแน่ นับๆ แล้วมีบาทาหนักๆ เกือบครึ่งร้อยเลยนะไข่ตุ๋น’
บุญธิสาแสร้งยิ้มหวานให้กับบรรดาผีพนันที่นั่งอยู่ใกล้กัน ทว่าในใจนั้นกำลังจะร้องไห้ออกมาให้ได้ เมื่อกวาดสายตามองรอบๆ สถานีตำรวจ แล้วเห็นสีหน้าของผีพนันแต่ละคน ซึ่งต่างก็กัดฟันกรอดๆ กำมือแน่นด้วยความเจ็บแค้นที่ถูกจับในครั้งนี้
“อยู่ไม่ได้แล้ว โทรให้พี่ไข่หวานมาประกันตัวออกไปจากที่นี่ดีกว่านะไข่ตุ๋น”
เจ้าของใบหน้างามซึ่งหาเรื่องใส่ตัวแท้ๆ รีบหยิบโทรศัพท์โทรหาพี่สาวเป็นการด่วน แม้รู้ดีว่าตนเองต้องถูกพี่สาวสวดยับเกี่ยวกับเรื่องที่เกิดขึ้น แต่หญิงสาวก็ยอมฟังจนหูชา และยอมถูกหยิกจนเนื้อเขียว ดีกว่าต้องถูกมือและเท้าของคนพวกนี้รุมสะกำเอา
“พี่ไข่หวาน รับโทรศัพท์เร็วๆ สิ” บุญธิสาพึมพำอย่างคนใจร้อน เธอโทรหาพี่สาวติดแล้ว แต่อีกฝ่ายไม่ยอมรับโทรศัพท์สักที
“พี่สาวจ๋า ทำอะไรอยู่คะ ทำไมไม่รับโทรศัพท์ของไข่ตุ๋นเลย”
หญิงสาวคร่ำครวญอยู่ในลำคอ พอแฝดพี่ไม่รับโทรศัพท์ในครั้งแรกจนสัญญาณตัดไปโดยอัติโนมัติ หญิงสาวก็รีบกดโทรหาอีกครั้ง ในใจนั้นภาวนาให้พี่สาวรับโทรศัพท์เร็วๆ
และการโทรหาพี่สาวในครั้งที่สองก็สัมฤทธิ์ผลแล้ว เมื่อปลายทางได้กดรับสายพร้อมกับกรอกเสียงทักทายด้วยน้ำเสียงสดใส
“ว่ายังไงไข่ตุ๋น โทรมาทำไมเสียดึก หรือว่าหิว ไม่มีใครหาข้าวให้กิน”
พอได้ยินเสียงพี่สาวทักทายด้วยน้ำเสียงสดใสแกมสัพยอกไปในตัว บุญธิสาก็ยิ้มแห้งๆ ใส่โทรศัพท์พลางกวาดสายตามองรอบๆ สถานีตำรวจ ซึ่งได้รับเชิญให้เดินทางมาเยือนเพราะฝีมือของตนเองแท้ๆ ก็ถึงกับกลืนน้ำลายลงคอเอื้อกใหญ่ แล้วตัดสินใจเอ่ยบอกข่าวร้ายให้พี่สาวล่วงรู้
“พี่ไข่หวาน...เอ่อ...เอ่อ...ไข่ตุ๋น...ถูกจับอยู่ในโรงพัก”
“ฮ้า! อะไรนะ! พูดใหม่อีกทีสิยายไข่ตุ๋น”
ทางด้านของบัณฑิตา แทบพลัดตกจากเก้าอี้ ตอนได้ยินเสียงของน้องสาวเอ่ยบอกมาในครั้งแรก ไม่นึกว่าธุระสำคัญที่น้องสาวโทรมาหาตนเองในยามวิกาล จะเป็นเรื่องร้ายแรงจนแทบไม่เชื่อหู และเพื่อให้มั่นใจว่าตนเองไม่ได้หูฝาดไป จึงตะโกนถามน้องสาวอีกครั้ง
“พี่ไม่ได้ฟังผิดไปใช่ไหมไข่ตุ๋น”
ส่วนบุญธิสาผู้หาเรื่องเดือดร้อนให้กับพี่สาว ทำคอตก ตีหน้าม่อย ราวกับสำนึกผิดหนักหนา แต่พอเห็นนาย
ตำรวจรูปหล่อคนหนึ่งฉีกยิ้มให้อย่างต้องการผูกสัมพันธ์ด้วย ก็รีบขึงตาเขียวปั้ดใส่ ก่อนจะหันขวับหันหลังให้นายตำรวจคนนั้น แล้วพยายามบีบน้ำตา ทำเสียงอ่อยๆ แสนแผ่วเบาให้พี่สาวสงสาร เผื่อว่าตนเองจะถูกดุน้อยที่สุด หรืออาจไม่ถูกดุต่อว่าเลยก็ได้
“ได้ยินแล้วน่าว่าถูกจับ! พี่ไข่หวานมาประกันตัวไข่ตุ๋นหน่อยสิค่ะ”
บัณฑิตากลอกตาขึ้นบนราวกับเซ็งจัดระคนอ่อนอกอ่อนใจกับพฤติกรรมของน้องสาว ขณะเดียวกันก็นึกโมโหน้องสาวเหลือกำลัง ที่หาเรื่องเดือดร้อนให้เธอตามไปเคลียร์ไม่ได้หยุดหย่อน
“ถูกจับข้อหาอะไรไข่ตุ๋น”
“เอ่อ...ไข่ตุ๋น...ถูกจับตอนอยู่ในบ่อนนะพี่ไข่หวาน”
“ยายไข่ตุ๋น!”
คราวนี้บัณฑิตาตะโกนเรียกน้องสาวดังกว่ารอบแรกเสียอีก ร่างบอบบางผุดลุกขึ้นยืนอย่างฉับพลัน ใบหน้างามบูดบึ้งโมโหน้องสาวจนถึงกับพูดไม่ออก หากอีกฝ่ายอยู่ใกล้คงได้จับหักคอจิ้มน้ำพริกเป็นแน่
บุญธิสาตีหน้าเหยเก ทำท่าสยดสยองเมื่อได้ยินเสียงพี่สาวแผดตะโกนดังก้องจนแสบแก้วหูไปหมด ขณะเดียวกันก็รีบเอาโทรศัพท์ออกจากใบหูอย่างรวดเร็ว แล้วเอื้อมมือไปลูบใบหูติดกันหลายๆ ครั้ง เพื่อบรรเทาอาการปวดแก้วหูอันเกิดจากน้ำเสียงตะโกนลั่นของผู้เป็นแฝดพี่
เมื่อรู้ว่าแฝดพี่กำลังโกรธมาก ซึ่งหากอยู่ใกล้กันป่านนี้ก็คงถูกพี่สาวซัดหนักๆ ไปหลายรอบ พร้อมกับอบรมสั่งสอนจนหูชาแล้ว บุญธิสาก็เริ่มเล่นละครฉากเศร้าเคล้าน้ำตา ทำเสียงเศร้าๆ อ้อนให้พี่สาวเห็นใจและสงสารน้องสาวผู้น่าสงสารที่สุดในรอบปี
“พี่ไข่หวานจ๋า...มาประกันตัวไข่ตุ๋นหน่อยนะ ไข่ตุ๋นไม่อยากนอนในนี้ มันทั้งหนาว ทั้งกลัว ยุงก็เยอะ ถูกกัดจนตัวลายไปหมดแล้ว”
“ดี! สมน้ำหน้า!”
บัณฑิตาต่อว่าน้องสาวด้วยความโมโห แต่ใช่ว่าจะใจร้ายตามที่เอ่ยพูดออกไป เพราะแค่เพียงได้ยินน้องสาวบอกว่าทั้งหนาว ทั้งกลัว แถมยังถูกยุงกัดอีกต่างหาก หญิงสาวก็รีบเก็บสัมภาระเตรียมจะไปประกันตัวน้องสาวทันที
“โธ่...พี่ไข่หวานจ๋า อย่าใจร้ายกับน้องสาวคนสวยเลยนะ รีบๆ มานะ แล้วซื้อข้าวมาฝากไข่ตุ๋นด้วย หิวจนตาลายจะกินช้างได้ทั้งตัวแล้ว”
บุญธิสาอ้อนพี่สาวไม่ได้หยุด ขณะเดียวกันก็พยายามทำเสียงอ่อยๆ ติดสั่นเครือให้พี่สาวใจอ่อน พนันได้ว่าไม่เกินสองชั่วโมง พี่สาวเธอคงวิ่งกระหืดกระหอบมาถึงสถานีตำรวจแน่
“เดี๋ยวพี่จะไปเดี๋ยวนี้แหละ ออกมาจากโรงพักเมื่อไร เธอเจอไม้หวายแน่ยายไข่ตุ๋น” บัณฑิตาเอ่ยคาดโทษเสียงลอดไรฟัน ทำท่าจะกดตัดสาย หากไม่ถูกน้องสาวตะโกนเรียกไว้เสียก่อน
“เดี๋ยวๆ พี่ไข่หวาน”
บุญธิสาตะโกนเรียกพี่สาวไว้ ก่อนอีกฝ่ายจะกดตัดสายไป จากนั้นก็หลับหูหลับตาเอ่ยบอกพี่สาวรัวเร็วจนแทบหายใจไม่ทัน
“เอ่อ...ไข่ตุ๋นติดหนี้เจ้าของบ่อนหนึ่งล้าน ป่านนี้พวกมันคงมาดักรออยู่หน้าโรงพักแล้ว พี่ไข่หวานเอาเงินมาใช้
หนะ...”
“พี่จะฆ่าเธอยายไข่ตุ๋น!” บัณฑิตาตะคอกต่อว่าน้องสาวก่อนอีกฝ่ายจะทันพูดจบ จากนั้นก็กดตัดสัญญาณโทรศัพท์ทันที
“พี่ไข่หวาน! โธ่...อย่าเพิ่งวางโทรศัพท์สิ”
บุญธิสาตะโกนร้องเสียงหลง เมื่อคุยกันยังไม่ทันรู้เรื่องดี พี่สาวก็ตัดสัญญาณโทรศัพท์ไปเสียดื้อๆ โดยไม่บอกไม่กล่าวให้รู้ชัดว่าจะมาประกันตัวเธอหรือเปล่า
“ฮือๆ ไข่ตุ๋น คืนนี้เธอต้องนอนตากยุงอยู่ในโรงพักแน่นอนเลย”
บุญธิสาร้องคร่ำครวญแบบไม่มีน้ำตา จากนั้นก็กวาดสายตามองรอบๆ ตัวเอง ซึ่งตอนนี้เหลือผีพนันไม่ถึงยี่สิบคน เพราะคนอื่นถูกญาติพี่น้องมาประกันตัวออกไปจนเกือบหมดแล้ว
“พี่ไข่หวาน จะมาประกันตัวเค้าไหมเนี่ย” บุญธิสาพึมพำเอ่ยถามราวกับต้องการฝากลมหนาวให้พัดพาถ้อยคำเหล่านี้ไปถึงพี่สาวของเธอด้วย
และในขณะที่คนก่อเหตุเอาแต่นั่งซบหน้านิ่งกับหัวเข่าของตนเอง พร้อมกับคร่ำครวญอยากให้พี่สาวมาประกันตัวเธอออกจากสถานีตำรวจเร็วๆ เพราะตอนนี้เธอทั้งกลัว ทั้งหนาว ทั้งโดนยุงกัดจนตัวลายตามที่บอกพี่สาวไป ผู้เป็นแฝดพี่ก็กำลังเดือดร้อนไม่แพ้กัน เธอกำลังขอหยิบยืมเงินกับเพื่อนร่วมงาน เพื่อนำมาประกันตัวน้องสาว ทว่าเพื่อนร่วมงานซึ่งสนิทชิดเชื้อกันมากก็มีเงินในกระเป๋าแบบจำกัดจำเขี่ยเช่นเดียวกัน ทำเอาบัณฑิตาแทบร้องไห้ออกมาให้ได้ เมื่ออับจนหนทางไม่รู้จะหาเงินจากไหนไปประกันตัวน้องสาว รวมทั้งเงินหนึ่งล้านบาทที่ต้องนำไปใช้หนี้การพนันให้กับน้องสาวด้วย
เวลาผ่านไปเกือบสองชั่วโมง บุญธิสาก็ยังคงนั่งกอดหัวเข่าตัวเองอยู่เช่นนั้น ในใจนั้นอยากร้องไห้เหลือกำลัง เมื่อเหลือเพื่อนร่วมชะตากรรมเหลือแค่อีกสี่คนเท่านั้น และบรรดาป้าๆ ทั้งสี่คน ต่างก็ขยันกันเหลือเกิน พวกนางพากันนั่งเจริญพรคนที่แจ้งความกับตำรวจทำให้พวกนางพลอยเสียเวลา เสียชื่อเสียงไปด้วย
“สมน้ำหน้ายายไข่ตุ๋น อยากทำตัวเป็นพลเมืองดีนัก สุดท้ายก็โดนจับซะเอง!”
บุญธิสาเยาะเย้ยตัวเองเบาๆ ไม่นึกเลยว่าต้องมาตกร่างแหถูกตำรวจจับมาสถานีตำรวจ พร้อมๆ กับนักพนันคนอื่นๆ
และอีกไม่กี่นาทีต่อมา บุญธิสาก็เป็นนักพนันคนเดียวที่เหลืออยู่ในสถานีตำรวจ เมื่อนักพนันทุกคนต่างก็ได้รับการประกันตัวออกไปหมดแล้ว
ส่วนบรรดาป้าๆ ทั้งสี่คน ก่อนจะออกไปจากสถานีตำรวจก็ไม่ลืมส่งยิ้มและเอ่ยให้กำลังใจบุญธิสา ซึ่งนั่งหง่าวอยู่คนเดียวอย่างเซ็งจัด ที่ไม่มีใครมาประกันตัวเธอเลย
“พวกป้าไปก่อนนะหนู เอาไว้อาทิตย์หน้าเจอกันในบ่อนอีกนะ”
‘เฮอะๆ คงเจอกันหรอกนะ ว่าแต่ว่ายังไม่เข็ดอีกหรือคะคุณป้า’
บุญธิสายิ้มแห้งๆ ขณะค่อนขอดบรรดาป้าๆ ทั้งหลายอยู่ในใจ พอทุกคนถูกประกันตัวไปหมดแล้ว หญิงสาวก็กวาดสายตามองรอบๆ สถานีตำรวจอีกครั้ง พลันนั้นดวงตากลมโตก็มองปะทะกับเจ้าหน้าที่ตำรวจคนเดิม ที่ยิ้มแย้มกว้างให้เธอในก่อนหน้านี้ ซึ่งคราวนี้อีกฝ่ายฉีกยิ้มกว้างกว่าเดิม แถมยังปรี่เข้ามานั่งใกล้ๆ พร้อมกับทักทายราวกับเป็นห่วงเธอหนักหนา
“ยังไม่มีใครมาประกันตัวอีกหรือครับ”
‘ถ้ามีจะมานั่งหน้าจ๋อยให้คุณแทะโลมอยู่ตรงนี้หรือคะคุณตำรวจขา...’
ใจนั้นอยากตอบออกไปเฉกเช่นที่หัวสมองกำลังขบคิด แต่ด้วยเกรงว่าจะเป็นการแหย่ให้ผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ต้องอารมณ์เสียเพราะคำพูดปากสุนัขของเธอ หญิงสาวจึงได้แต่ยิ้มแห้งๆ ให้เจ้าหน้าที่ตำรวจ พร้อมกับเอ่ยตอบอย่างดูดีและเป็นการปลอบใจตัวเองไปในตัวด้วย
“พี่สาวกำลังเดินทางมาประกันตัว อีกไม่นานก็คงมาถึงสถานีตำรวจแล้วค่ะ”
เอ่ยตอบไปแล้ว บุญธิสาก็นั่งกอดอกก้มหน้าลงต่ำ เพื่อเป็นการตัดบทการสนทนากับเจ้าหน้าที่ตำรวจผู้นี้ ด้วยอารมณ์ในตอนนี้เธอไม่อยากเสวนากับใครทั้งสิ้น เธอกำลังโกรธและน้อยใจพี่สาวจับใจ ที่ไม่ยอมมาประกันตัวเธอออกไปสักที
บุญธิสาเกิดอาการน้อยใจคิดว่าพี่สาวไม่สนใจตนเอง คิดว่าพี่สาวคงโกรธมากจนไม่ยอมมาประกันตัวเธอออกไปจากสถานีตำรวจ ซึ่งในขณะความน้อยใจในตัวพี่สาวจู่โจมเข้าสู่หัวใจ หญิงสาวหารู้ไม่ว่าตอนนี้แฝดพี่กำลังทำทุกหนทางเพื่อหาเงินมาประกันตัวเธอออกจากสถานีตำรวจ รวมทั้งหาเงินจำนวนหนึ่งล้านบาทมาใช้หนี้ให้เธอ ด้วยการยอมเป็นของเล่น เป็นนางบำเรอของชีคฮาริค ดาเนียล อิสมาแอล ประมุขแห่งประเทศฮาริยา
ทางด้านท่านชีคฮาริคผู้หล่อเหลา ในขณะหลอกล่อให้พี่สาวของบุญธิสาต้องตกเป็นนางบำเรอสวาทของพระองค์ตลอดค่ำคืนอันหนาวเหน็บ พระองค์ก็ไม่ลืมส่งองครักษ์เอกผู้เก่งกาจของพระองค์ มาประกันตัวบุญธิสาออกจากสถานีตำรวจด้วย