บทที่ 1 (2)
ในขณะผู้เป็นแฝดน้องบ่นอุบไม่ได้หยุดปาก ผู้เป็นพี่สาวซึ่งสุขุมรอบคอบและใจเย็นกว่าน้องสาวหลายเท่านัก ก็คลี่ยิ้มหวาน พลางเอ่ยปลอบแฝดน้องในตลอดเวลา
“เอาน่าไข่ตุ๋น ทนไปอีกสักพักนะ พี่คิดว่ายังไงๆ ภายในปีนี้พวกเราทั้งสองคนต้องเก็บเงินได้มากพอสำหรับค่าตั๋วเครื่องบินอย่างแน่นอนจ้ะ”
“สาธุ...ขอให้สมพรปากพี่ไข่หวานทีเถอะ ไข่ตุ๋นอยากกลับบ้านจนแทบทนรอเวลาไม่ไหวแล้ว”
ไม่ได้พูดปากเปล่า แต่บุญธิสาได้ยกมือไหว้ท่วมหัว ในใจนั้นบนบานศาลกล่าวขอให้คำพูดของพี่สาวเป็นจริงสักทีเถอะ เพราะตอนนี้เธอรู้สึกว่าแทบไม่อยากอยู่ในประเทศฮาริยาอีกต่อไปแล้ว
แม้แผ่นดินทะเลทรายแห่งนี้จะเจริญรุดหน้าเทียบเท่าประเทศใหญ่ๆ ในโลกตะวันตก ถึงแม้บ้านเมืองเขาจะน่าอยู่สะดวกสบายมากเพียงใด แต่หญิงสาวก็รู้สึกว่าอยู่ที่ไหน อยู่บนแผ่นดินใดก็ไม่สุขใจเท่ากับอยู่บ้านเรา อยู่ในประเทศไทยอันเป็นบ้านเกิดเมืองนอนมาตั้งแต่อ้อนแต่เอาะ
บัณฑิตาเห็นอาการของน้องสาวแล้วก็ส่ายหน้ายิ้มๆ รู้ว่าบุญธิสาเป็นเช่นนี้มาแต่ไหนแต่ไรแล้ว น้องสาวของเธอใจร้อนมุทะลุ ดื้อรั้นเป็นที่สุด หากต้องการสิ่งใดแล้วมักดิ้นรนหามาจนได้ ซึ่งนิสัยในประการหลังของบุญธิสานั้น ทำให้เธอหนักใจอยู่มาก กระนั้นก็ไม่สามารถดัดนิสัยของน้องสาวได้ เพราะบุญธิสาเข้าทำนองที่ว่าไม้อ่อนดัดง่าย ไม้แก่ดัดยากซะแล้ว สิ่งที่เธอทำได้ในยามนี้คือการประคับประคองคอยเตือนคอยห้ามน้องสาวเท่าที่พอจะทำได้
“น้องสาวพี่ ใจเย็นอีกนิดนะ สักวันมันเราจะต้องได้กลับบ้านอย่างแน่นอนจ้ะ”
“ไข่ตุ๋นจะอดทนรอนะคะ”
บุญธิสารับคำไม่เต็มเสียงนัก พอรู้สึกตัวว่าตนเองชักจะโวยวายมากเกินควร ก็พยายามฝืนยิ้มให้พี่สาวสบายใจ ก่อนจะเอ่ยถามออกมาด้วยความสงสัย เมื่อเห็นอีกฝ่ายอยู่ในชุดพร้อมออกไปทำงาน
“ทำไมวันนี้พี่ไข่หวานออกไปทำงานเร็วจังเลยคะ”
พอถูกน้องสาวทัก บัณฑิตาก็ถอนหายใจยาว พลางเอ่ยตอบด้วยน้ำเสียงที่บ่งบอกให้รู้ถึงความเหน็ดเหนื่อยเหลือเกิน
“วันนี้เจ้านายรับงานใหญ่ จัดค็อกเทลและอาหารไปเลี้ยงแขกกิตติมศักดิ์ ทั้งพวกลูกคนรวย เชื้อพระวงจ์ เชื้อเจ้า หรือพวกสาวไฮโซ ดารา นางแบบ ซึ่งได้รับเชิญให้มาร่วมงานเลี้ยงฉลอง วันประสูติครบรอบ 34 ปี ของชีคฮาริค ดาเนียล อิสมาแอล ในตำหนักของพระองค์ เจ้านายเลยให้พี่และลูกน้องทุกคนไปทำงานก่อนเวลาปกติ สองชั่วโมงนะไข่ตุ๋น”
“ให้ไปทำงานก่อนเวลาเข้างานจริงตั้งสองชั่วโมง แล้วเจ้านายของพี่ไข่หวานให้เบิกเงินโอทีด้วยหรือเปล่าคะ”
บัณฑิตาส่ายหน้าปฏิเสธช้าๆ พลางเอ่ยบอกด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา อย่างคนปลงตกไม่มีทางเลือกในชีวิตของตนเอง
“ไม่มีให้หรอกไข่ตุ๋น พี่และพนักงานคนอื่นๆ ทำงานล่วงเวลา บางทีก็ครึ่งชั่วโมงหรือหนึ่งชั่วโมง แต่เจ้านายหน้าเลือดไม่ยอมให้เบิกโอที เขาอ้างว่างานของพวกพี่ยังไม่จบกระบวนการ คุณเสิร์ฟอาหาร เสิร์ฟเหล้าให้ลูกค้าแล้ว คุณก็ต้องเก็บแก้วเก็บชามไปล้างด้วย กว่าพวกพี่จะทำเสร็จมันก็ล่วงเวลาทำงานปกติไปแล้ว บางทีล่วงเวลาไปอีกชั่วโมงกว่าหรือเกือบสองชั่วโมงก็มี”
“บ้าชะมัด! ทำไมถึงเอาเปรียบกันแบบนี้นะ”
ในขณะพี่สาวนิ่งขึงเอ่ยตอบเสียงราบเรียบ แต่ผู้เป็นน้องสาวกลับสบถลั่นทุบลงไปบนเตียงนอนเต็มแรงด้วยความเจ็บใจ
“ทำไมคนจนอย่างพวกเราถึงถูกเอาเปรียบไม่มีที่สิ้นสุด คนรวยพวกนี้จะให้โอกาสพวกเราลืมตาอ้าปากบ้างไม่ได้หรือยังไงกัน ไข่ตุ๋นจะไปฟ้องกรมแรงงาน!”
คราวนี้ร่างบางอรชรของบุญธิสา กระโจนลงจากเตียงนอน ทำท่าจะวิ่งออกจากห้องนอน เพื่อทำตามที่ลั่นวาจาออกไปในก่อนหน้านี้
ทว่าบุญธิสาวิ่งไปไม่ทันถึงประตูห้องนอน ก็ถูกผู้เป็นพี่สาวรวบร่างอรชรจับยึดไว้แน่น พร้อมกันนั้นก็รีบเอ่ยเตือนให้ตระหนักถึงความเป็นจริง
“ไข่ตุ๋น จะไปฟ้องให้ได้อะไรขึ้นมา คดีเล็กๆ แบบนี้ พวกเจ้าหน้าที่เขาไม่สนใจทำคดีให้หรอก เขาคงบอกให้พวกพี่ไปคุยกับเจ้านายเอาเอง ซึ่งก็คงไม่ต่างจากการไปพูดกับตอไม้ ยังไงๆ เจ้านายก็ไม่ยอมจ่ายเงินให้พวกพี่หรอก ดีไม่ดีจะไล่พวกพี่ออกด้วยซ้ำไป”
“ไล่ออกเราก็หางานทำใหม่สิคะ”
บุญธิสาโต้กลับตามประสาคนปากไว แต่พอได้ยินคำตอบของพี่สาวอีกหน ก็ถึงกับตีหน้าจ๋อย เริ่มเห็นด้วยกับคำพูดของแฝดพี่
“สำหรับชาวต่างชาติอย่างพวกเรา งานไม่ได้วิ่งเข้าหาง่ายๆ นะไข่ตุ๋น ในประเทศฮาริยามีข้อจำกัดหลายอย่างที่ไม่รับคนต่างชาติอย่างพวกเราเข้าทำงาน”
บัณฑิตาเอ่ยพูดอย่างคนมองโลกในแง่ดี ไม่ว่าประเทศไหนๆ ต่างก็มีข้อจำกัด ข้อยกเว้นในการรับคนต่างชาติเข้าทำงาน ทั้งนี้ทั้งนั้นก็เพื่อเป็นการกันให้คนในประเทศของตนเองมีงานมีอาชีพทำก่อน ซึ่งหญิงสาวก็เข้าใจในหลักการนี้เป็นอย่างดี แต่คนที่กำลังตีโพยตีพาย และเป็นคนที่เข้าใจอะไรยากอย่างบุญธิสาดูท่าว่าจะหงุดหงิดไม่เลิก
“เฮ้อ...ทำไมอะไรๆ มันก็อับจนหนทางไปหมดแบบนี้ นี่ถ้าอยู่ในประเทศไทย พวกเราคงไม่ถูกเอาเปรียบแบบนี้หรอก”
บุญธิสาทิ้งตัวลงนั่งบนเตียงนอนอีกครั้งอย่างคนหมดแรง หมดกำลังใจ ใบหน้างามหมองเศร้า ดวงตาคู่สวยเต็มไปด้วยริ้วรอยแห่งความท้อแท้ในชีวิต จนผู้เป็นพี่สาวเห็นแล้วก็อดสงสารไม่ได้ ต้องโอบแขนเนียนไปรอบร่างเล็ก พร้อมกับเอ่ยให้กำลังใจอีกหน
“ไม่ต้องท้อนะไข่ตุ๋น พี่บอกแล้วว่าสักวันจะต้องมีวันของพวกเราทั้งสองคน”
ผู้เป็นแฝดน้องไม่เอ่ยตอบพี่สาว นอกจากการถอนหายใจเฮือกใหญ่ให้พี่สาวได้ยิน พร้อมกันนั้นก็ยกมือโอบไปรอบเอวบางคอดกิ่วของพี่สาว แล้วพึมพำออกมาเบาๆ ตามประสาคนที่มีอารมณ์แปรปรวนไม่อยู่กับร่องกับรอย
“ไข่ตุ๋นคิดถึงคุณแม่ คิดถึงคุณตาคุณยาย คิดถึงคุณพะ...”
ถ้อยคำในประโยคท้ายขาดหายไปพร้อมๆ กับเสียงสูดสะอื้นเบาๆ บุญธิสาเกือบหลุดคำว่าคุณพ่อออกมา ดีที่ระงับไว้ได้ทันท่วงที กระนั้นหญิงสาวก็รู้ว่าพี่สาวคงรู้ว่าเธอกำลังจะเอื้อนถ้อยคำใดออกมา เพราะสีหน้าของพี่สาวก็ถอดสีเผือดเช่นเดียวกัน
“พี่ไข่หวานคิดว่าคุณแม่ และคุณตาคุณยาย จะรู้ไหมคะว่าพวกเรากำลังลำบากอยู่”
บัณฑิตาประคองใบหน้างามของน้องสาวไว้ พลางทำหน้าที่เอ่ยปลอบแฝดน้องอีกครั้ง เพราะบุพการีทั้งสามท่านที่น้องสาวกล่าวถึงนั้น ได้สิ้นบุญไปรอพวกเธออยู่ในสรวงสวรรค์แล้ว
“ไข่ตุ๋นจ๋า ฟังพี่นะ คุณตาคุณยายรวมทั้งคุณแม่ ท่านได้เฝ้ามองพวกเราทั้งสองคนในทุกวินาที และก็คอยให้กำลังใจเราสองคนพี่น้องในทุกวินาทีเช่นเดียวกัน เพราะฉะนั้นถ้าหากไข่ตุ๋นอ่อนแอ ถ้าไข่ตุ๋นร่ำไห้ และท้อแท้ในการดำเนินชีวิต พี่เชื่อว่าท่านทั้งสามคนจะต้องไม่สบายใจ และเป็นห่วงพวกเราเป็นอย่างมาก ไข่ตุ๋นเลิกร้องไห้ได้แล้วนะ ไม่งั้นเสียงร้องไห้ดังสามบ้านแปดบ้านของไข่ตุ๋น จะดังไปถึงหูของพวกท่านบนสรวงสวรรค์ พลอยทำให้คุณตาคุณยาและคุณแม่ นอนตายตาไม่หลับนะไข่ตุ๋น”
พอพี่สาวเท้าความถึงวีรกรรมในสมัยเด็กๆ ของตนเอง บุญธิสาก็ตีหน้าม่อย เอ่ยค้านพี่สาวด้วยน้ำเสียงอ่อยๆ ไม่เต็มเสียงเท่าไรนัก
“พี่ไข่หวานก็พูดเกินไป ไข่ตุ๋นไม่ได้ร้องไห้เสียงดังขนาดนั้นสักหน่อย”
“ใครว่าล่ะ” บัณฑิตาย้อนกลับกลั้วหัวเราะ ก่อนจะเอ่ยพูดต่อด้วยน้ำเสียงสดใสเต็มไปด้วยความสุข “คุณตาบอกว่าไข่ตุ๋นนะแสบกว่าพี่มาก ไข่ตุ๋นปอดดีที่สุด กระบังลมดีที่สุด เวลาตะโกนร้องไห้ที คุณตาคุณยาย ต้องรีบเดินหนีไปในสวนหลังบ้านแทบทันที ท่านบอกพี่ว่าถ้าไข่ตุ๋นไม่เลิกร้องไห้ คุณตากับคุณยายก็จะไม่กลับเข้าบ้านเป็นเด็ดขาด ไม่งั้นมีหวังแก้วหูแตกไปตามๆ กัน”
พอพี่สาวพูดถึงเรื่องความแสบซนของตนเองในยามเยาว์วัย อีกทั้งยังนึกถึงสีหน้าแววตาของคุณตาคุณยาย ที่มักจะส่ายหน้าราวกับระอา เวลาเธอแผลงฤทธิ์อาละวาดบ้านแทบพัง บุญธิสาก็หัวเราะคิกด้วยความขบขำ พลางเอ่ยพูดด้วยน้ำเสียงอันเต็มไปด้วยความสุขใจไม่แพ้กัน
“พี่ไข่หวานรู้ไหมคะว่าไข่ตุ๋นชอบที่สุด ที่คุณตาตั้งฉายาให้ไข่ตุ๋นว่าเจ้าของเสียงร้องไห้สามบ้านแปดบ้าน เวลาได้ยินคุณตาพูดถึงฉายานี้ ไข่ตุ๋นรู้สึกได้ว่าคุณตาและคุณยายรักไข่ตุ๋นมาก”
“ใช่แล้วจ้ะ คุณตาบอกว่าท่านรักไข่ตุ๋นมาก อืม...รักมากกว่าพี่ด้วยซ้ำไป เพราะไข่ตุ๋นชอบหาเรื่องให้คุณตาปวดหัว และลงท้ายด้วยการหัวเราะขบขำกับลูกอ้อนของไข่ตุ๋น ที่สามารถละลายความโกรธออกไปจากใจของคุณตาได้อย่างรวดเร็ว”
บัณฑิตาเอ่ยยิ้มๆ สีหน้าและแววตา อีกทั้งน้ำเสียงที่เอื้อนวาจาออกมา ไม่มีวี่แววว่าอิจฉาริษยาในตัวน้องสาว ที่ได้รับความรักจากคุณตามากกว่าตัวเธอ
ส่วนบุญธิสา พอได้ยินพี่สาวพูดออกมาเช่นนั้นก็ไม่สบายใจเล็กน้อย หญิงสาวเงยใบหน้างามทอดมองแฝดพี่แสนสวย พลางเอ่ยถามต่อ
“พี่ไข่หวาน เอ่อ...ไม่อิจฉา ไม่น้อยใจหรือคะ ที่คุณตารักไข่ตุ๋นมากกว่าพี่ไข่หวานนะคะ”
บัณฑิตาอมยิ้มขณะส่ายหน้าปฏิเสธ จากนั้นก็เอ่ยบอกถึงความลับที่น้องสาวไม่เคยล่วงรู้มาก่อน
“ไม่โกรธเลยจ้ะ เพราะคุณยายกระซิบบอกพี่ว่าคุณยายรักพี่มากกว่าไข่ตุ๋นเหมือนกันจ้ะ”
“โอเค ถ้างั้นก็ถือว่าเจ๊ากันนะพี่ไข่หวาน”
บุญธิสาแสร้งเอ่ยตอบเสียงเข้ม ทว่าในน้ำเสียงนั้นไม่มีแววโกรธพี่สาวเช่นเดียวกัน จากนั้นสองพี่น้องก็หัวเราะร่วนสวมกอดกันไว้แน่นด้วยสายใยแห่งรักที่มักจะมอบให้แก่กันเสมอ
บัณฑิตาปล่อยให้น้องสาวสวมกอดอยู่อีกครู่หนึ่ง ก่อนจะดันกายออกห่างเล็กน้อย แล้วยกนาฬิกาข้อมือเรือนเล็กมองเวลา ก่อนจะเอ่ยบอกแฝดน้อง
“พี่ต้องไปทำงานแล้วนะไข่ตุ๋น พี่ทำอาหารเก็บไว้ให้ในตู้เย็นแล้ว ถ้าหิวก็เอามาอุ่นกินก่อนไปทำงานนะ”
บุญธิสายกนาฬิกาข้อมือราคาถูกแสนถูกของตนเองมามองเวลาบ้าง พลางถอนหายใจเฮือกๆ แล้วเอ่ยตอบพี่สาวอย่างคนเกียจคร้าน
“เฮ้อ...คงไม่มีเวลากินข้าวแล้วค่ะ อีกสามสิบนาที ไข่ตุ๋นก็ต้องไปสแกนนิ้วเข้าทำงานเหมือนกันค่ะ”
“ถ้างั้นพี่ไปทำงานก่อนนะ ดึกๆ ค่อยเจอกันอีกที ถ้าวันนี้โชคดีได้ทิปมาบ้าง พี่จะซื้ออาหารไทยที่ไข่ตุ๋นชอบมาฝากนะจ้ะ”
“ค่ะพี่ไข่หวาน” บุญธิสาสวมกอดร่างบางระหงของพี่สาวไว้อีกครั้ง พร้อมกันนั้นก็ไม่ลืมปฏิเสธในสิ่งที่พี่สาวได้เอ่ยบอกมา
“พี่ไข่หวานไม่ต้องซื้ออะไรมาหรอกค่ะ ไข่ตุ๋นเสียดายเงิน เก็บไว้เป็นค่าตั๋วเครื่องบินดีกว่านะคะ”
ในยามนี้เงินทองทุกบาททุกสตางค์มีค่ากับเธอและพี่สาวมากที่สุด เธอจะต้องประหยัดตัดค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็น
ทุกอย่างออกไปให้หมด
เมื่อร่างบางอรชรของพี่สาวเดินออกไปจากห้องพักแล้ว บุญธิสาก็นั่งจ้องมองกองเหรียญ ธนบัตร รวมทั้งซากออมสินรูปช้างที่ตนเองอุตริทุบเสียเละ เพื่อนำเงินออมมานับว่ามีเท่าไรแล้ว และเมื่อความจริงแล่นเข้าสู่โสตประสาท หญิงสาวก็ยกมือเขกหัวตัวเองหนักๆ ให้สมกับความโง่เขลาอันใหญ่โต
“ไข่ตุ๋นนะไข่ตุ๋น ทุบเจ้าช้างน้อยแตกละเอียดไม่เหลือชิ้นดี แล้วเธอจะเอาออมสินจากไหนมาไว้หยอดเหรียญละทีนี้”
เจ้าของใบหน้างามบ่นอุบกับความโง่เขลาของตนเอง จากนั้นก็โกยเศษช้างน้อยสีชมพูหวาน ที่ถูกทุบซะเละทั้งงวงทั้งหาง และลำตัวแตกละเอียดไปทิ้งลงถังขยะ พอหันกลับมามองกองเหรียญและธนบัตร ซึ่งยังคงนอนนิ่งอยู่กลางเตียงนอนเล็ก ก็ได้แต่ถอนหายใจเฮือกๆ ด้วยความหนักใจ จากนั้นก็คว้าธนบัตรทั้งหมดมากำไว้แน่น พร้อมกับหยิบเสื้อคลุมตัวใหญ่มาสวมทับร่างกายป้องกันอาการหนาวเหน็บจับขั้วหัวใจ ก่อนจะก้าวเดินออกจากห้อง เพื่อไปดิ้นรนใช้แรงงานเสาะแสวงหาคำว่า เงิน อันเป็นปัจจัยสำคัญที่สุดในชีวิตของใครต่อใครหลายคนไปแล้ว