บทที่ 1 (1)
“หนึ่งพัน...สองพัน...สามพัน...”
น้ำเสียงหวานๆ ของผู้เป็นเจ้าของห้อง ซึ่งทุบกระปุกออมสินรูปช้างตัวใหญ่ซะละเอียดไม่เหลือชิ้นดี ได้โกยเงินทั้งเงินเหรียญ ทั้งธนบัตร ที่ตนเองเก็บหอมรอมริบมานานหลายปี ออกมานับดูว่ามีเงินจำนวนเท่าใดแล้ว มีมากพอสำหรับค่าตั๋วเครื่องบินสองที่นั่ง ในการเดินทางกลับยังแผ่นดินเกิดนั่นก็คือประเทศไทย หรือเปล่า
และเมื่อนับทั้งเงินเหรียญทั้งธนบัตร ที่นำมาเทกองรวมกันอยู่บนเตียงนอนแล้ว ผู้เป็นเจ้าของน้ำเสียงหวานๆ ก็ได้แต่ถอนหายใจเฮือกใหญ่ด้วยความหนักใจกับจำนวนเงินที่มีอยู่น้อยนิด ไม่พอค่าเครื่องบินในชั้นประหยัดด้วยซ้ำไป
“เฮ้อ!...มีเงินอยู่แค่นี้ แค่หยิบมือเดียว ต้องเก็บสะสมกี่ปีกี่ชาติล่ะเนี่ย ถึงจะมีเงินซื้อตัวเครื่องบินกลับประเทศไทย”
บุญธิสา ทิพปภา หรือ ไข่ตุ๋น สาวน้อยนัยน์ตาคม ริมฝีปากแดงระเรื่อสีกุหลาบ รับกันได้ดีกับจมูกเล็กรั้นเอาเรื่องและใบหน้ารูปไข่เรียวงาม บ่นกระปอดกระแปดหลังจากนับเงินเก็บออมที่มีอยู่ทั้งหมดเรียบร้อยแล้ว พอดวงตากลมโตคู่สวยจ้องมองเงินจำนวนดังกล่าวอีกครั้ง คราวนี้เจ้าตัวก็ทิ้งตัวลงนอนแผ่หลาอยู่บนเตียง พร้อมกับโอดครวญเสียงเศร้าๆ ราวกับจะร้องไห้ออกมาให้ได้
“ประเทศไทยจ๋า ฉันคิดถึงเธอ...”
พอคร่ำครวญถึงบ้านเกิดเมืองนอน ซึ่งต้องจากมาช้านาน อีกทั้งยังนึกถึงอาหารไทยรสแซบจัดจ้าน ที่ไม่ได้กินมานานแรมปี นับตั้งแต่เดินทางมาศึกษาเล่าเรียนต่อใบปริญญาอยู่ในประเทศฮาริยา ประเทศอันมีเนินทรายเม็ดเล็กๆ ครอบคลุมไปเกือบทุกพื้นที่ของประเทศ บุญธิสาก็นึกอยากให้ตัวเองมีอำนาจวิเศษ หายตัวได้เหมือนพวกนินจา เธอจะได้หายตัวไปอยู่ในประเทศไทยให้รู้แล้วรู้รอดไป ไม่ต้องมานอนคร่ำครวญเหมือนเฉกเช่นที่เป็นอยู่ในตอนนี้
“หนูอยากกลับบ้าน...”
และเสียงโอดครวญในประโยคหลังของเจ้าของใบหน้างามติดแก่นแก้ว ก็ลอยมากระทบประสาทหูของผู้เป็นแฝดพี่ ซึ่งเพิ่งเดินออกจากห้องนอนของตนเอง เตรียมออกไปทำงานในอีกไม่กี่นาทีข้างหน้า จนอดสัพยอกออกมาไม่ได้
“ร้องไห้อยากกลับบ้านเหมือนเด็กน้อยในละครเรื่อง ตุ๊กตา เลยนะยายไข่ตุ๋น”
บัณฑิตา หรือ ไข่หวาน ซึ่งเป็นพี่สาวฝาแฝดเทียม ได้เอ่ยแซวน้องสาวด้วยน้ำเสียงกลั้วหัวเราะแฝงไปด้วยความรักใคร่ในตัวน้องสาวยิ่งนัก
บุญธิสาเหลือบสายตามองแฝดสาวทั้งๆ ที่ยังนอนแผ่หลาอยู่บนเตียง ก่อนจะบ่นอุบตามประสาคนขี้บ่น
“ก็ไข่ตุ๋นคิดถึงบ้าน คิดถึงอาหารไทย คิดถึงคนไทย คิดถึงทุกๆ อย่างที่อยู่ในประเทศไทย และตอนนี้ก็อยากกลับบ้านใจจะขาดอยู่แล้ว”
ร่างบางโปร่งระหงผุดลุกขึ้นนั่งบนเตียงเล็ก พลางชี้นิ้วเรียวยาวประดุจลำเทียนไปยังเหรียญและธนบัตรหลายใบ ที่อยู่ใกล้ตัว แล้วโอดครวญบอกพี่สาวไม่ต่างจากครั้งที่ผ่านๆ มา
“พี่ไข่หวานดูนี่สิคะ ไข่ตุ๋นทุบเจ้าช้างน้อยของไข่ตุ๋นเมื่อสักครู่ พอเอาเงินมานับดูแล้วก็มีไม่เท่าไร ไม่พอค่าตั๋วเครื่องบินในชั้นประหยัดด้วยซ้ำไป แล้วแบบนี้ไข่ตุ๋นต้องเก็บเงินอีกกี่เดือนกี่ปี ถึงจะมีเงินพอค่าตั๋วเครื่องบินกลับประเทศไทย”
บัณฑิตาส่ายหน้ายิ้มๆ พลางทรุดตัวลงนั่งใกล้กับร่างบางของน้องสาว โดยไม่ลืมโอบแขนไปรอบบ่าเล็ก แล้วเอ่ยปลอบคนทำหน้าเหยเกราวกับกำลังจะร้องไห้ออกมาให้
“ไข่ตุ๋นจ๋า จำสุภาษิตสอนหญิงของท่านสุนทรภู่ได้ไหม ท่านบอกว่ามีสลึง พึงบรรจบให้ครบบาท อย่าให้ขาดสิ่งของต้องประสงค์ เพราะฉะนั้นไข่ตุ๋นและพี่ต้องช่วยกันเก็บหอมรอบริบ ใช้เงินอย่างมีสติ และช่วยกันประหยัดให้ถึงที่สุด พี่คิดว่าอีกไม่นานเกินรอ พวกเราก็คงเก็บเงินได้มากพอสำหรับค่าตั๋วเครื่องบินกลับประเทศไทยแล้วจ้ะ”
‘เจอแม่ชีสวดให้ฟังอีกแล้วเรา’
บุญธิสาบ่นอุบอยู่ในใจ หากแม้ทำได้ตอนนิ่งฟังพี่สาวอบรมสั่งสอน หญิงสาวอยากยกมือพนมไหว้สาธุด้วย แต่เพราะเกรงว่าจะถูกพี่สาวเอ็ดและหยิกจนเนื้อเขียว จึงได้แต่นั่งนิ่งๆ ทำตัวสงบเสงี่ยมฟังพี่สาวอบรมสั่งสอนแบบเข้าหูซ้ายทะลุหูขวา
และพอแฝดพี่สั่งสอนจบแล้ว คนปากมากอย่างบุญธิสา ก็หลุดปากบ่นคร่ำครวญออกมาในทันควันเช่นเดียวกัน
“โธ่...พี่ไข่หวานจ๋า...ไข่ตุ๋นทั้งประหยัด ทั้งรัดเข็มขัด กินแต่บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป จนตอนนี้หน้าไข่ตุ๋นจะเปลี่ยนมาเป็นเส้นบะหมี่แล้ว แต่ไข่ตุ๋นก็ยังเก็บเงินได้ไม่มากพอสำหรับค่าตั๋วเครื่องบิน ถ้ารู้ว่ามาแล้วลำบากขนาดนี้ ไข่ตุ๋นไม่สอบชิงทุนมาเรียนที่ประเทศฮาริยาหรอก”
บุญธิสาบ่นไปยกมือปาดน้ำตาที่เริ่มเอ่อคลอเบ้าไป นึกโทษตัวเองที่อุตริชวนพี่สาวสอบชิงทุนมาเรียนปริญญาโทต่อในประเทศฮาริยา ซึ่งเป็นประเทศเล็กๆ ในแถบตะวันออกกลาง อันเต็มไปด้วยทรัพย์ตามธรรมชาติอย่างสายน้ำมันที่มีให้ขุดขายไปทั่วโลก
ในตอนแรกนั้นหญิงสาวไม่คิดว่าตนเองและพี่สาวจะสอบผ่าน พอผ่านทั้งสอบข้อเขียนและสอบสัมภาษณ์ สองคนพี่น้องต่างก็ตรึกตรองอยู่นานว่าจะรับทุนดีหรือเปล่า หลังจากใคร่ครวญอยู่นาน ในที่สุดเธอและพี่สาวก็ตัดสินใจรับทุนมาศึกษาต่อในประเทศฮาริยา
การเดินทางมาศึกษาอยู่ในประเทศฮาริยาในช่วงปีแรก เธอกับพี่สาวไม่สบปัญหาเรื่องการเงินแต่อย่างใด แต่พอเข้าสองปีหลัง เศรษฐกิจของประเทศฮาริยาเจริญรุ่งเรืองเป็นอย่างมาก แทบจะเป็นแบบก้าวกระโดดเลยก็ว่าได้ ส่งผลให้ค่าครองชีพในประเทศแห่งนี้ดีดตัวสูงไม่ต่างจากราคาทองคำ เงินค่าใช้จ่ายที่เธอและพี่สาวได้รับจากผู้มอบทุนเริ่มใช้ไม่เพียงพอ แม้จะประหยัดมัธยัสถ์มากเพียงใด เงินที่ได้รับก็แทบชักหน้าไม่ถึงหลัง พวกเธอสองพี่น้องจึงจำต้องออกหางานพิเศษทำในตอนกลางคืน
พอทำงานพิเศษในตอนกลางคืน แรกว่าทำเกือบ 6-7 ชั่วโมงเห็นจะได้ ก็เริ่มส่งผลกระทบต่อการเรียน เมื่อพัก
ผ่อนน้อย ไม่ค่อยมีเวลาอ่านหนังสือ เพราะต้องแบ่งเวลามาทำงานหาเงินเลี้ยงตัวเองด้วย ทำให้ผลการเรียนตกฮวบฮาบ แทนที่จะเรียนจบตามกำหนดที่ผู้มอบทุนระบุไว้ พวกเธอกลับจบช้าไปหนึ่งเทอม ซึ่งนั่นก็ทำให้เกิดปัญหาใหญ่ตามมา เมื่อผู้ให้ทุนตัดเงินค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับค่าใช้จ่ายส่วนตัวออกไปทั้งหมด เพราะถือว่าเธอกับพี่สาวไม่จบตามสัญญาที่ระบุไว้
คราวนี้ทั้งเธอทั้งพี่สาวก็ทำงานไปเรียนไปจนแทบสลบเหมือดค่าห้องเรียน แต่ไม่ว่าจะยากลำบากมากสักเพียงใด พวกเธอสองพี่น้องก็สามารคคว้าใบปริญญาโทมาให้กับตนเองได้ในที่สุด
และเมื่อเรียนจบแล้ว ก็เริ่มคิดถึงบ้านเกิดเมืองนอนจับใจ อยากกลับประเทศไทยในทุกวินาที แต่ติดตรงที่ว่าไม่มีเงินมากพอสำหรับซื้อตั๋วเครื่องบินกลับประเทศไทย จนต้องมานั่งโอดครวญเหมือนที่ทำอยู่ในเวลานี้