บทที่ 3 (2)
คราวนี้ขวัญข้าวถึงกับบางอ้อ! เข้าใจแล้วว่าทำไมผู้เป็นลุงถึงได้ถามย้ำนักย้ำหนา
“เฮ้อ...จะบอกตรงๆ เลยก็ไม่ได้ เล่นเกมทายคำถามปริศนาซะนาน เล่นเอาเรางงไปหมด”
ขวัญข้าวบ่นงึมงำเป็นหมีกินผึ้ง กลอกตาขึ้นบนอย่างเซ็งจัด เมื่อได้ยินคำตอบของลุงเป็นที่ชัดเจนแล้ว
ลุกซ์มองใบหน้างดงามของหลานสาวเขม็ง พร้อมกับย้ำในคำสั่งเดิมอีกครั้ง “เข้าใจแล้วใช่ไหมขวัญข้าว ว่ารถคันนี้ต้องวิ่งทั้งไปและกลับ ในความเร็วสูงสุดแค่ 90 กิโลเมตรต่อชั่วโมงเท่านั้น”
“เข้าใจแล้วค่ะคุณลุง”
ขวัญข้าวจำใจต้องตกปากรับคำสั่งของผู้เป็นลุง แต่ในใจนั้นไม่อาจตอบได้ว่าตนเองจะทำตามที่ลุงสั่งได้หรือเปล่า ก็แหม! ให้ขับแค่ความเร็ว 90 กิโลเมตรต่อชั่วโมง สงสัยต้องใช้เวลาสักครึ่งค่อนวัน กว่าจะไปถึงสนามบินสุวรรณภูมิได้
“เข้าใจแล้วก็กรุณาปฏิบัติตามด้วยนะคุณขวัญข้าว พาเรลส์”
ผู้เป็นลุงสั่งเสียงเข้มอีกครั้ง และในตอนท้ายก็ไม่ลืมเหน็บแนมหลานสาว ด้วยการเรียกชื่อเสียงเรียงนามของอีกฝ่ายซะเต็มยศ
ส่วนผู้เป็นเจ้าของชื่อได้แต่ตีหน้ามุ่ย กลอกตาไปมาอย่างเซ็งๆ พร้อมกันนั้นก็ได้พยักหน้าหงึกๆ และตอบรับคำสั่งของลุงอีกครั้ง
“ขวัญข้าวเข้าใจแล้วค่ะ และจะปฏิบัติตามกฎระเบียบของคุณลุงอย่างเคร่งครัดค่ะ คราวนี้ขวัญข้าวไปได้หรือยังคะคุณลุง”
“ไปได้แล้ว” ลุกซ์อนุญาต แต่พอนึกอะไรขึ้นมาได้ ก็รีบสั่งห้ามหลานสาวเป็นการด่วน
“ขวัญข้าว ห้ามทะเลาะเบาะแว้งกับคุณเรนย์เป็นอันขาด”
“โอเค รับทราบ และจะปฏิบัติตามทุกคำสั่งเลยค่ะ”
ขวัญข้าวรับคำอีกครั้ง พร้อมกับใส่เกียร์แล้วค่อยๆ เคลื่อนรถออกจากโรงรถด้วยกริยาแสนนุ่มนวลเป็นไปอย่างเชื่องช้าไม่ต่างจากเต่าคลาน เพื่อเป็นการอ๋อยเหยื่อให้ผู้เป็นลุงได้ตายใจ
‘สั่งไปเถอะค่ะคุณลุงสุดที่รัก ออกถนนมอเตอร์เวย์เมื่อไร แม่ขวัญข้าวเหยียบเต็มที่แน่’
ผู้ที่นั่งอยู่หลังพวงมาลัยรถ ที่กำลังเคลื่อนตัวออกจากอาณาจักรของกัปตันบารอน ด้วยความเร็วที่ต่ำสุด จนเข็มไมล์รถแทบจะไม่กระดิกด้วยซ้ำไป ได้นึกคิดอยู่ในใจ ร่ำๆ อยากให้รถสปอร์ตคันนี้เคลื่อนตัวถึงทางหลวงมอเตอร์เวย์สักที หลังจากนั้นเธอจะพิสูจน์ให้เห็นกับตาว่ารถเบนซ์คันนี้จะวิ่งได้เร็วสูงสุดสักเท่าไร และจะพิสูจน์ด้วยว่าเธอจะมีความกล้าในการเหยียบคันเร่งให้มิดเท้าหรือเปล่า
มาร์คกับจอห์นนี่หันมามองหน้าแล้วยักคิ้วให้กันอย่างรู้ดีว่า การที่สารถีสาวกำลังเคลื่อนรถอย่างช้าๆ นั้นเป็นการอ๋อยเหยื่อ ให้เหยื่อตัวใหญ่ยักษ์อย่างผู้เป็นลุงได้ตายใจ ซึ่งพวกเขาเชื่อว่าหากได้พารถเข้าสู่ถนนใหญ่เมื่อไร ขวัญข้าวคงได้ตะบึงห้อ เป็นพายุสลาตันแน่
และเพื่อเป็นการยั่วให้ต้นหนเรือ ที่กำลังจ้องมองหลานสาวเขม็งได้โกรธเล่น จอห์นนี่จึงรับอาสาทำหน้าที่นี้อย่างรู้กัน โดยการตะโกนถามขวัญข้าว ที่กำลังพารถเคลื่อนตัวออกไปได้สัก 10 เมตรแล้ว
“ขวัญข้าว! กลับมาถึงเมื่อไร มารายงานพวกอาด้วยว่ารถคันนี้เหยียบได้เร็วสูงสุดเท่าไร”
“โอเค! เดี๋ยวขวัญข้าวกลับมาบอกนะคะ”
ขวัญข้าวเอี้ยวตัวหันมาตะโกนบอกคุณอาสุดหล่อทั้งสองแทบจะทันที ก่อนจะหัวเราะร่วนอยู่คนเดียว เมื่อได้ยินเสียงของผู้เป็นลุงได้ตะโกนสวนกลับมาแทบจะทันควัน
“ขวัญข้าว! ถ้าทำแบบนั้นได้เจอไม้เรียวหวดก้นแน่”
ลุกซ์ตะโกนคาดโทษตามหลังหลานสาว ที่ไม่ได้คิดจะอยู่ฟัง เพราะพอขับรถออกไปได้ราวๆ 15 เมตรแล้ว หลานสาวจอมแก่นที่ไม่ค่อยจะเชื่อฟังผู้เป็นลุงสักเท่าไร ก็ได้ขยับเท้าเหยียบคันเร่งเพิ่มความเร็วรถแล้วขับออกไปอย่างรวดเร็ว ผิดกับตอนที่อยู่ต่อหน้าเขา ที่ขวัญข้าวทำเป็นขับอย่างเชื่องช้าเคลื่อนรถไปเอื่อยๆ ช้าๆ จนเข็มไมล์แทบไม่กระติกด้วยซ้ำไป
และเมื่อเล่นงานหลานรักไม่ได้ เพราะขวัญข้าวขับรถไปพ้นอาณาบริเวณของคฤหาสห์ ดี ทีสต์ แล้ว ต้นหนเรือวัยเฒ่าที่ได้ตีหน้าดุ ขึงตาวาววับ ก็หันมาเล่นงานคุณอาสุดหล่อทั้งสองของขวัญข้าวทันที
“ไอ้จอห์นนี่! ไอ้มาร์ค!”
ลุกซ์เค้นเสียงตะเบ่งเรียกลูกเรือที่เป็นลูกน้องของตนเอง ก่อนจะตะโกนด่าออกมาด้วยความโมโห
“อยากกินลูกตะกั่วแทนข้าวใช่ไหม สอนหลานแต่ละอย่างดีๆ เหลือเกินนะพวกมึง”
“ไม่ได้สอน แค่ชี้ทางให้เท่านั้นเอง”
มาร์คตะโกนตอบขณะวิ่งตามหลังจอห์นนี่ออกไปให้พ้นจากพายุโกรธของผู้เป็นต้นหนเรือ
“ที่มึงพูดมา ไม่ได้มีความหมายต่างกันเลยนะไอ้มาร์ค”
ลุกซ์ได้แต่ตะโกนด่าลูกน้องตามหลัง เพราะทันทีที่คุณอาสุดหล่อทั้งสองได้ตะเบ่งเสียงถามขวัญข้าวไปแล้ว ทั้งสองก็รีบโกยแนบทันที เพราะรู้ดีว่าขืนชักช้าแม้แต่นาทีเดียว ก็คงได้กินบาทาหนักๆ ของเขาเป็นแน่
เมื่อบริเวณโรงรถตกอยู่ในความเงียบสงบอีกครั้ง ลุกซ์ก็ได้แต่ถอนหายใจเฮือกๆ ก่อนจะบ่นพึมพำอยู่คนเดียว โดยไม่รู้ว่า ผู้เป็นเจ้าของคฤหาสน์ ดี ทีสต์ ได้เดินมายืนกอดอกฟังลูกน้องใต้อาณัติโต้เถียงกันเป็นเวลานานแล้ว
“เฮ้อ...ทำยังไงนะ ขวัญข้าวถึงจะเชื่อฟังคำสั่งของเรา เชื่อฟังแค่สัก 10 เปอร์
เซ็นต์ของคำสั่งทั้งหมดก็ยังดี”
“บ่นเป็นหมีกินผึ้งเลยนะตาเฒ่าลุกซ์”
กัปตันบารอนเอ่ยแซวยิ้มๆ ก่อนจะหัวเราะออกมาเบาๆ เมื่อผู้เป็นต้นหนเรือได้ถอนหายใจอีกเฮือกใหญ่ แถมยังทำหน้านิ่วคิ้วขมวดหนักกว่าเดิม ขณะได้เอ่ยบ่นออกมาอีกครั้ง
“ขนาดว่าผมบ่นอยู่ทุกวี่ทุกวัน จนจะกลายเป็นตาเฒ่าขี้บ่น เหมือนที่ไอ้จอห์นนี่กับไอ้มาร์คได้พากันล้อเลียน แต่ขวัญข้าวก็ไม่มีเชื่อฟังผมแม้แต่กระพี้เดียว”
“บ่นไปก็ไม่ได้ประโยชน์หรอกลุกซ์ ขวัญข้าวนะนอกจากจะมีนันท์นลินคอยให้ท้ายแล้ว ยังมีคุณอาสุดหล่อทั้งสองไม่ว่าจะเป็นไอ้มาร์คหรือไอ้จอห์นนี่ ที่คอยปกป้องขวัญข้าวไม่ต่างจากไข่ในหิน หากนายหวดก้นขวัญข้าวอยากที่ตะโกนคาดโทษเมื่อตะกี้ เราว่านายคงได้วางมวยกับเจ้าสองคนนั่นก่อนแน่”
กัปตันบารอนเอ่ยบอกถึงความเป็นจริง ที่ตัวผู้เป็นลุงของสาวน้อยจอมแก่นไม่อาจปฏิเสธได้ ซึ่งลุกซ์เองก็รู้อยู่เต็มอกว่าขวัญข้าวเป็นที่รัก เป็นที่เอ็นดูของบรรดาป้าๆ น้าๆ อาๆ ที่ได้อาศัยอยู่ภายใต้ร่มชายคาของคฤหาสน์ ดี ทีสต์ แต่ในบรรดาพี่ป้าน้าอาทั้งหลาย เห็นจะมีอามาร์คและอาจอห์นนี่สองคนนี่แหละ ที่รักและเป็นห่วงหลานสาวแสนสวยเป็นอย่างมาก ซึ่งที่ห่วงก็ไม่ใช่เรื่องอะไร คุณอาสุดหล่อทั้งสองห่วงว่าหลานสาวจะเกาะคานทองนิเวศน์ไปจนตายต่างหาก
และนอกจะห่วงหลานสาวในเรื่องของเนื้อคู่ตุนาหงันแล้ว คุณอาทั้งสองยังปกป้องหลานสาวราวกับไข่ในหิน คราใดที่ถูกผู้เป็นลุงตำหนิติเตียนเอา ทั้งอามาร์คทั้งอาจอห์นนี่ก็กระโจนมาทั้งตัว เพื่อปกป้องหลานสาวคนนี้ ถ้าจะเรียกว่าหลานข้าใครอย่าแตะ ก็คงไม่ผิดแน่
“คงจะจริงอย่างที่กัปตันพูดมานั่นแหละครับ ไอ้มาร์คกับไอ้จอห์นนี่ มันไม่ยอมให้ผมต่อว่าขวัญข้าวเลย แถมยังถือท้ายซะจนขวัญข้าวไม่กลัวผมแล้ว คิดๆ ไปแล้วผมก็งงเหมือนกันนะครับกัปตัน ว่าผมหรือไอ้สองคนนั้นกันแน่ที่เป็นผู้ปก
ครองของขวัญข้าว”
แม้ต้นหนเรือจะทำตัวเป็นพ่อแก่ ทั้งบ่นทั้งต่อว่าลูกน้องทั้งสองไม่ได้หยุดปาก แต่น้ำเสียงที่หลุดออกมานั้นหาใช่เป็นเพราะความโกรธเคืองมาร์คกับจอห์นนี่ไม่ เพราะเขารู้ดีว่าที่ทั้งสองคนนั้นทำไป ก็เป็นเพราะว่ารักในตัวของขวัญข้าว ซึ่งนับว่าขวัญข้าวมีบุญยิ่งนัก ที่มีแต่ผู้หลักผู้ใหญ่รักและเอ็นดู คอยให้ความอุปถัมภ์อยู่เรื่อยไป
“อย่าบ่นเลยตาเฒ่า เรานะชินซะแล้ว เพราะใช่ว่าจะมีแค่ขวัญข้าวที่ถูกบรรดาน้าๆ อาๆ คอยถือท้าย เจ้าอารอนของเราก็เหมือนกัน หากเราเอ็ดหรือดุลูกแค่เพียงนิดเดียง เจ้าพวกนั้นมันพากันขึงตามองเราซะเขียวปั้ดที่บังอาจไปดุหลานรักยิ่งกว่าดวงใจของพวกมัน”
เอ่ยบอกไปแล้วกัปตันบารอนก็ได้แต่หัวเราะออกมาเบาๆ เมื่อนึกถึงบางช่วงบางเวลาที่กัปตันน้อยอารอนลูกรักของเขา ได้เกเรอาละวาดเสียงดัง พอเขากำราบลูกน้อยด้วยการดุเสียงดังแค่เพียงนิดเดียว บรรดาลูกเรือแต่ละคนก็ได้มองเขาด้วยความไม่พอใจอย่างเห็นได้ชัด ที่เขาได้ลงโทษกัปตันน้อยของพวกเขา
คราวนี้ลุกซ์ได้หัวเราะร่วนอย่างเห็นด้วยกับเขาพูดของกัปตันหนุ่ม เพราะตัวเขาเองก็เป็นหนึ่งในนั้นเช่นเดียวกัน เรียกว่าทั้งรักทั้งหลงกัปตันน้อยอารอนเป็นที่สุด หากใครจะทำร้ายกัปตันอารอน ก็ต้องผ่านศพเขาไปก่อน
“ว่าแต่กัปตัน จะเป็นพ่อสื่อจับคู่ให้ขวัญข้าวได้ลงขันกับคุณเรนย์จริงหรือครับ”
ลุกซ์วกกลับมายังเรื่องเดิม ที่เขายอมรับตามตรงว่าไม่ค่อยเห็นด้วยสักเท่าไร เพราะตามประสาของคนที่เป็นห่วงหลานสาวผู้เป็นแก้วตาดวงใจ ซึ่งกลัวว่าเรนย์ เจรามี่ จะเห็นหลานสาวของตนเป็นแค่เพียงของเล่น ไม่ได้รักใคร่จริงจัง จนถึงขึ้นกับยกย่องให้เป็นนายหญิงแห่งเดอะ บลู เฮ้าส์
กัปตันบารอนมองลึกเข้าไปในดวงตาของต้นหนเรือ รู้ว่าอีกฝ่ายกำลังคิดอะไรอยู่ จึงได้ตบหนักๆ ลงไปบนบ่าของอีกฝ่าย พร้อมกับเอ่ยถามออกมาด้วยน้ำเสียงทุ้มลึก
“ลุกซ์ นายอยู่กับเรามานานสักเท่าไรแล้ว
ผู้ที่ถูกเอ่ยถามได้ขมวดคิ้วชนกัน ออกจะสงสัยอยู่มาก ที่จู่ๆ กัปตันหนุ่มที่ตนเองเคารพรักได้เอ่ยถามออกมาเช่นนี้ แต่ไม่ว่าจะสงสัยมากเพียงใด ก็ยังคงเก็บงำความสงสัยไว้ข้างใน ก่อนจะเอ่ยตอบตามผู้เป็นนายต้องการได้ยินคำตอบ
“ผมจำไม่ได้ว่าอยู่กับกัปตันมานานกี่สิบปีแล้ว แต่ที่ผมจำได้ก็คือผมอยู่กับกัปตัน ตั้งแต่กัปตันเพิ่งหัดเดินได้แค่ไม่กี่ก้าว”
กัปตันหัวเราะเบาๆ ราวกับพึงพอใจในคำตอบที่ได้ยิน จากนั้นก็ได้เอ่ยพูดต่อให้ต้นหนเรือได้ถอนหายใจยาวอย่างยอมรับในความเป็นจริง ที่เขาได้เอื้อนวาจาออกมา
“ถ้างั้นนายก็รู้ว่าเราไม่เคยรักเพื่อนคนไหนเท่ากับเรนย์ เจรามี่ และหากเรนย์ไม่ดีจริง ไม่ดีพอ เราก็ไม่มีทางจับคู่ให้กับขวัญข้าวหรอก เพราะเราเองก็รักและเอ็นดูขวัญข้าวไม่ต่างจากเธอเป็นน้องสาวของเรา และหากจะมีใครที่สามารถปราบขวัญข้าวได้ เราก็เห็นว่ามีแค่เพียงเรนย์ เจรามี่ คนเดียวเท่านั้นที่จะทำได้”
“แต่ผมกลัวว่าคนของเราจะไม่ดีพอ ไม่เหมาะสมกับคุณเรนย์นะสิครับ อีกอย่างผมก็เกรงว่าความแก่นแก้วของขวัญข้าว จะไม่สามารถมัดใจของคุณเรนย์ได้”
ลุกซ์เผยความเป็นกังวลที่อัดแน่นอยู่ในใจให้ผู้เป็นนายได้รับรู้ แต่กัปตันหนุ่มกลับหัวเราะร่วนอย่างมั่นใจในสิ่งที่ตนเองได้คาดคิดไว้
“เชื่อเราเถอะลุกซ์ ไม่มีใครเหมาะสมที่จะเป็นนายหญิงแห่งเดอะ บลู เฮ้าส์เท่ากับขวัญข้าว และทันทีที่เรนย์ได้เห็นขวัญข้าว กามเทพต้องเล่นกลแผลงศรใส่เรนย์ เจรามี่แน่”
“ผมหวังว่าทุกอย่างจะลงเอยด้วยดี โดยที่คุณเรนย์ไม่ต้องนอนหยอดน้ำเกลือ เพราะฝีมือของขวัญข้าวนะครับ”
ลุกซ์เอ่ยออกมาอย่างปลงๆ เริ่มยอมรับในพรหมลิขิตเรื่องชีวิตคู่ของหลานสาว หากแม้ขวัญข้าวและเรนย์ เจรามี่ เกิดมาเพื่อเป็นเนื้อคู่ตุนาหงันกันจริงๆ ตามที่กัปตันบารอนและทุกๆ คนต้องการให้เป็นเช่นนั้น เขาก็จะไม่ขัดขวางเส้นทางรักของหลานสาว ในตรงกันข้ามเขาพร้อมที่จะให้ความร่วมมืออย่างเต็มที่ เพื่อให้ได้มาซึ่งความรัก ความสุขของหลานสาวอันเป็นที่รักของตนเอง